ทางออกนักโทษ

กระทู้สนทนา
วิธีไหนก็ได้เอาคนออกจากคุกให้เร็วที่สุด โดย  *คณิน บุญสุวรรณ*
วันที่ 08 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เวลา 16:06:18 น.  (ที่มา:มติชนรายวัน 8 ก.พ.2556)

ผมได้ทดลองออกแบบข้อสอบปรนัย เกี่ยวกับความพยายามและการเคลื่อนไหวผลักดันให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่นักโทษการเมืองและผู้ต้องคดีการเมือง ที่เป็นผลกระทบสืบเนื่องจากการรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงวันที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2554

ซึ่งดูเหมือนว่าจะตกผลึกเป็นสามแนวทางตามข่าวที่ปรากฏอยู่ทั่วไปแล้ว

คำถามซึ่งเป็นแบบปรนัย โดยมี Choice ให้เลือกจากข้อหนึ่งข้อใดในสี่ข้อ ก็มีดังต่อไปนี้

คำถาม "การนิรโทษกรรมให้แก่ประชาชนที่ต้องคดี อยู่ในระหว่างพิจารณาคดี หรือถูกศาลพิพากษาให้จำคุก อันสืบเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวเดินขบวนชุมนุมประท้วงทางการเมือง ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 ซึ่งเป็นวันที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุด จะกระทำได้โดยวิธีใด ให้ท่านเลือกเพียงหนึ่งข้อ

(ก) กระทำโดยตราเป็นพระราชกำหนด

(ข) กระทำโดยตราเป็นพระราชบัญญัติ

(ค) กระทำโดยตราเป็นรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม

(ง) ถูกทุกข้อ

ผมเชื่อว่า พอผมอ่านคำถามจบ ทุกคนก็คงกาเครื่องหมายถูกลงที่ข้อ (ง) คือ ถูกทุกข้อ ซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

พูดเป็นภาษาชาวบ้านที่เข้าใจได้ง่าย คือ จะทำอย่างไรก็ได้ วิธีใดก็ได้ ขอให้เอาพวกเขาออกจากคุกเสียที เร็วที่สุดได้ยิ่งดี อย่ามัวแต่เถียงกันอยู่เลย ขอให้ลงมือทำเถอะ วิธีไหนก็ได้

พูดก็พูดเถอะ ทั้งสามแนวทางที่เสนอต่อสาธารณชน ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามแนวทางของคณะนิติราษฎร์ การตราเป็นพระราชบัญญัติตามแนวทางของ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน หรือแม้แต่การตราเป็นพระราชกำหนดตามแนวทางของแกนนำ นปช. ผู้ที่เสนอและผลักดันทั้งสามแนวทาง ทำเองไม่ได้หร็อกครับ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางไหน

เพราะที่สุดแล้ว คนที่จะทำได้และมีอำนาจที่จะทำก็มีแต่คณะรัฐมนตรีกับรัฐสภาเท่านั้น

สําหรับรัฐสภานั้น เลิกหวังได้ เพราะขนาดการลงมติวาระสามร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 ซึ่งง่ายกว่านี้และชอบธรรมกว่านี้ตั้งเยอะ เขายังไม่กล้าขยับเขยื้อน ทีนี้ก็คงหวังได้จากคณะรัฐมนตรีเท่านั้น สิ่งที่คณะรัฐมนตรีสามารถทำได้ทันที ก็คือ การออกเป็นพระราชกำหนดตามแนวทางของแกนนำ นปช. แต่ก็นั่นแหละ การออกเป็นพระราชกำหนดก็เหมือนไปตายเอาดาบหน้า เพราะเดาใจศาลรัฐธรรมนูญไม่ถูกว่าจะวินิจฉัยว่าขัดต่อมาตรา 184 วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง หรือไม่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีมติยับยั้งด้วยคะแนนเสียงตั้งแต่ 6 ต่อ 3 ขึ้นไป พระราชกำหนดก็ไม่มีผลบังคับมาตั้งแต่ต้น พูดง่ายๆ คือ กลายเป็นโมฆะย้อนหลังนั่นเอง

ครั้นจะเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม นอกจากจะต้องใช้เวลานานแล้ว ยังคาดการณ์ได้ล่วงหน้าว่าจะถูกเล่นงานอย่างหนัก ทั้งจาก ส.ส.ฝ่ายค้าน และ ส.ว.ประเภทสรรหา ซึ่งก็คงจะขัดขวางทุกวิถีทางแบบเดียวกับที่ทำกับร่างพระราชบัญญัติการปรองดองแห่งชาติ และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 นั่นแหละ

นี่ก็เป็นอะไรที่คาดเดาได้ยาก ซึ่งก็เข้าตำราไปตายเอาดาบหน้าเหมือนกัน

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมีความเห็นว่า ถ้าขืนปล่อยให้กระบวนการช่วยเหลือนักโทษการเมืองและผู้ต้องคดีการเมืองดำเนินไปในรูปแบบที่ไม่เป็นเอกภาพและรีๆ รอๆ แบบเดียวกับการตัดสินใจลงมติวาระสามร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรพวกเขาจะได้ออกจากคุกเสียที

ผมจึงอยากเสนอว่า ในเมื่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ว่าจะใช้แนวทางไหน มันก็ต้องฝ่าด่านมหากาฬและเจออุปสรรคขวากหนามและการขัดขวางทุกวิถีทางอยู่แล้ว ดังนั้น แทนที่จะมัวมาคิดกันว่าจะเลือกวิธีไหนถึงจะปลอดภัยมากที่สุดและได้ผลมากที่สุด ก็ทำมันทุกวิธีนั่นแหละ ทำในเวลาเดียวกัน พร้อมๆ กันไปเลย

หมายความว่า คณะรัฐมนตรีก็ตราพระราชกำหนดแล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลใช้บังคับเป็นการปลดปล่อยนักโทษการเมืองออกจากเรือนจำ รวมทั้งผู้ต้องคดีที่ยังอยู่นอกคุกให้พ้นจากความรับผิดไป ต่อจากนั้น ถูกขัดขวางแบบไหนหรือจะมาไม้ไหนกันอีก ก็ค่อยๆ หาทางแก้ไขคลี่คลายหรือแก้เกมกันไป ตามจังหวะจะโคนทางการเมือง

ส่วน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งมี ส.ส.อยู่ในมือ 300 คน ก็แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก 100 กว่าคน ก็เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับนิติราษฎร์เข้าสู่รัฐสภาไปเลย และอีกส่วนหนึ่ง อีก 20 กว่าคนก็เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติฉบับ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปเลยเช่นกัน

คณะรัฐมนตรีและ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่กล่าวถึงเท่านั้น ที่จะทำภารกิจนี้ได้ และอันที่จริงก็ถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ และควรทำมานานแล้วด้วย พูดไปทำไมมี ถ้าพี่น้องประชาชนไม่เสียสละไปต่อสู้จนเสียชีวิตบาดเจ็บสาหัส และถูกจับกุมคุมขังอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ในวันนั้น ก็คงไม่มีรัฐบาลและ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มอย่างในวันนี้หร็อก

เพราะฉะนั้น ถ้าคณะรัฐมนตรีและ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลตัดสินใจฝ่าด่านทั้งสามด่านไปพร้อมๆ กัน
ก็เชื่อว่าเป็นยุทธศาสตร์ในการรุกเพื่อปลดปล่อยประชาชนผู้บริสุทธิ์ และนำไปสู่การปรองดองอย่างเป็นรูปธรรม

และในที่สุด ก็จะทำให้สามารถฝ่าฟันทะลุทะลวงไปได้ทุกด่าน อย่างน้อยก็ต้องสำเร็จสักวิธีหนึ่งจนได้

ทําไปทุกวิธีพร้อมๆ กันนั่นแหละ ดีกว่าไปเลือกเอาวิธีใดวิธีหนึ่งให้ฝ่ายต่อต้านจับทางได้ถูกเพราะถ้าทำทั้งสามทางพร้อมๆ กัน ก็เท่ากับฝ่ายประชาธิปไตยเป็นฝ่ายรุกทางยุทธศาสตร์ แต่แยกเป็นสามแนวทาง สามกองทัพ ฝ่ายต่อต้านก็จะพะว้าพะวังและสับสน เพราะอย่างน้อยที่สุด ถ้าต้องต่อต้านทุกทางทั้งสามทาง แล้วคงมีกำลังไม่พอแน่ ที่สำคัญฝ่ายต่อต้านก็ต้องฟังกระแสประชาชนเหมือนกัน ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาต่อต้านคัดค้านตะบี้ตะบันทุกเรื่อง ประชาชนก็คงจะไม่เอาด้วย

ดีไม่ดีการทำทั้งสามแนวทางพร้อมๆ กัน อาจจะเป็นการบีบให้ฝ่ายต่อต้านเองต้องตัดสินใจเลือก
ว่าจะคัดค้านวิธีไหนและจะปล่อยวิธีไหนก็เป็นได้

ยกตัวอย่าง ถ้าออกเป็นพระราชกำหนด แล้วถึงขั้นที่ฝ่ายต่อต้านเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กว่าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีวินิจฉัยก็ใช้เวลาไม่น้อย ระหว่างนั้นสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็พิจารณาร่างพระราชบัญญัติไป และถ้าจำเป็นจริงๆ จะพิจารณารวดเดียวสามวาระโดยคณะกรรมาธิการเต็มสภาก็ยังได้ ดีไม่ดี การตราพระราชบัญญัติที่ห่วงกันว่าจะช้า ถึงเวลาจริงๆ อาจจะเสร็จก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยเรื่องพระราชกำหนดก็เป็นได้
ถ้าพระราชบัญญัติประกาศในราชกิจจานุเบกษาได้ก่อน ก็จะมีการนิรโทษกรรม โดยไม่ต้องรอผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะถ้าพระราชบัญญัติประกาศในราชกิจจานุเบกษามีผลใช้บังคับ วันรุ่งขึ้นก็ปล่อยนักโทษการเมืองทุกคนออกจากคุกได้ทันที

เมื่อถึงเวลานั้น ถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่าอย่างไร ก็ไม่มีความหมาย


อยู่ที่รัฐบาลว่าจะกล้าหรือไม่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่