[Review] Steven Wilson - The Raven That Refused to Sing (and other Stories)



1. Luminol
2. Drive Home
3. The Holy Drinker
4. The Pin Drop
5. The Watchmaker
6. The Raven That Refused to Sing

แม้ว่าพี่สตีแว่น วิลสันจะทำ Grace for Drowning เสร็จแล้ว แกก็ยังเดินสายออกทัวร์และขยันทำงานอย่างต่อเนื่อง และหลายๆท่านก็คงทราบดีว่าเวลาส่วนหนึ่งของพี่แว่นนั้นได้หมดไปกับ Storm Corrosion ที่ร่วมลงขันกับท่านไมเคล อาเกอร์เฟลต์ โดยโปรเจ็คนั้นก็จะเน้นบรรยากาศที่ล่องลอยแบบยุคเก่าอย่างที่ทั้งคู่ถวิลหากันมาตั้งแต่พี่แว่นไปช่วยงาน Opeth แล้วก็มาทำงานเดี่ยวชุดที่สองของตัวเองจนกระทั่งออกทัวร์ โดยพ่วงข่าวดีมาด้วยคือทั้ง Grace for Drowning และ Storm Corrosion ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในสาขา 5.1 Surround Mix ในครั้งก่อนและครั้งที่จะถึงนี้ตามลำดับ

ส่วนในการออกทัวร์สนับสนุนอัลบั้มก่อนนั้น นักดนตรีที่ร่วมเดินทางไปกับพี่แว่นก็ประกอบด้วย ธีโอ ทราวิส (เครื่องลมไม้) อดัม โฮลซมัน (คีย์บอร์ด) นิค เบกก์ส (เบส) และ มาร์โค มิเนมานน์ (กลอง) ชื่อสมาชิกเหล่านี้อ้างอิงมาจากดีวีดีแสดงสดตัวล่าสุดที่ไปเล่นกันที่เม็กซิโกโดยใช้ชื่อว่า Get All You Deserve และก็ในดีวีดีตัวนี้เองละครับที่พวกเขาได้เล่นเพลงใหม่เป็นครั้งแรกซึ่งก็คือ Luminol ซึ่งภายหลังเพลงนี้ก็จะกลายเป็นเพลงเปิดอัลบั้มที่ผมกำลังจะบรรยายต่อไปนี้นี่เอง

หลังจากผ่านเดินสายทัวร์กันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น พี่แว่นและเพื่อนร่วมทีมจากทัวร์ครั้งก่อนก็เดินทางไปอัดเสียงอัลบั้มใหม่นี้กันที่ลอสแองเจอลิส โดยคราวนี้แกได้มือกีต้าร์ผู้มากประสบการณ์และมากความสามารถอย่างท่านกุธรี โกแวนมาเสริมทัพ รวมถึงได้ซาวด์เอนจิเนียร์ระดับตำนานอย่างลุงอลัน พาร์สันส์ที่เคยเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของ Pink Floyd ในอัลบั้ม Dark Side of the Moon มาแล้วมาร่วมงานอีกคน เรียกว่าไลน์อัพที่ออกทัวร์กันคราวก่อนยังซูเปอร์กรุ๊ป (น้าอดัมที่เป็นมือคีย์บอร์ดนี่ก็แคยเป็นมือคีย์บอร์ดให้ลุงไมล์ส เดวิสมาแล้วในยุค 80s) ไม่พอ พอลุงอลันเข้ามาช่วยอีกก็เลยกลายเป็น “ไฮเปอร์กรุ๊ป” ไปเลยกระมัง ฮา...

อัลบั้มนี้ถือเป็นการตอกย้ำพี่แว่นคงจะเดินทางเข้าสู่โปรเกรสสีฟร็อคในยุค 70s แบบไม่มีวันหวนกลับ (?) ซึ่งไปๆมาๆแกดูจะใส่ใจกับงานเดี่ยว (หรือแม้แต่กับ Storm Corrosion) มากกว่าวงหลักของตัวเองอย่าง Porcupine Tree เสียอีก แต่สิ่งที่แตกต่างในชุดนี้ก็คือการที่พี่แว่นมีไลน์อัพที่แน่นอนเช่นนี้ ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างเข้าขาและราบรื่นมากกว่าสองชุดก่อนหน้านี้ที่เอานักดนตรีรับเชิญระดับห้าดาวมากมายมาไว้ในชุดเดียว และสิ่งที่ช่วยเสริมให้สุ้มเสียงของอัลบั้มนี้พัฒนาขึ้นคือการดูแลโปรดักชั่นที่ละเอียดอ่อนของลุงอลัน พาร์สันส์นั่นเอง โดยการมิกซ์ในชุดนี้จะทำให้นักดนตรีทุกคนได้ใช้ประโยชน์จากเครื่องดนตรีของตัวเองอย่างเต็มที่

อัลบั้มก่อนหน้านี้พี่แว่นทำงานเพลงออกมามากจนต้องออกเป็นแผ่นคู่ แต่ในชุดนี้กลับแตกต่างออกไปโดยจะมีเพียงหกเพลงเท่านั้น และทั้งหกเพลงนี้ก็เป็นหกเพลงแบบจัดเต็มเสียด้วย และการเรียบเรียงดนตรีในชุดนี้ก็ถือได้ว่ามีความลงตัวกว่าชุดก่อนมาก และบทบาทของเครื่องดนตรีแต่ละชื้นนั้นก็มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน ซึ่งก็ต้องยกความดีให้ลุงอลันด้วยที่มิกซ์เสียงเครื่องดนตรีออกมาได้สดและนำมาประสานกันได้อย่างลงตัว และด้วยความที่นักดนตรีชุดนี้มีเทคนิคและลูกเล่นที่หลากหลาย การมิกซ์แบบนี้ก็จะช่วยให้นักดนตรีปล่อยของออกมาได้อย่างเต็มที่ รวมถึงเสียงร้องนำของพี่แว่นเองด้วย แต่อัลบั้มนี้จะเน้นเสียงประสานของนักดนตรีเสียมากกว่าจะเป็นแกร้องเดียวเสียอีก โดยเพลงที่เน้นร้องประสานเด่นๆหน่อยก็จะเป็นเพลงเปิดตัวอย่าง Luminol ส่วนเพลงที่พี่แว่นร้องเดี่ยวมากหน่อยก็มี The Pin Drop และ The Watchmaker ส่วนเพลงที่เหลือนั้นคงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณกันมากเพราะพี่แว่นและผองเพื่อนจัดเต็มกันทุกเพลง

อัลบั้มนี้พี่แว่นได้แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการที่ชัดเจนในแนวทางปัจจุบันของตัวเอง เริ่มจากสุ้มเสียงที่หนักแน่น กระชับ และมีความสมดุลมากขึ้น แม้จะมีเพลงยาวสิบกว่านาทีถึงสามเพลงแต่แกก็เอาเสียอยู่หมัด ทางด้านท่านโกแวนที่มาร่วมงานกันเป็นครั้งแรกก็ผสานเคมีทางดนตรีกับพี่แว่นได้อย่างลงตัวด้วยเช่นกัน และส่วนหนึ่งก็คงต้องยกความดีให้กับการมิกซ์ของลุงอลัน พาร์สันส์ด้วย อัลบั้มนี้จึงกลายเป็นอัลบั้มที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดางานเดี่ยวที่พี่แว่นเคยทำมา

ปล. อาร์ตเวิร์คของชุดนี้ก็เปลี่ยนมาใช้บริการของ Hajo Muller แทน Carl Glover ที่ทำมาตั้งแต่ Porcupine Tree จนถึง Grace for Drowning แต่ช่างภาพก็ยังคงเป็น Lasse Hoile เช่นเดิม

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่