ตอนล่าสุด ตอนที่ 39-40
http://pantip.com/topic/30089011

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อย่าเพิ่งบ่นนะคะ ว่าตอนนี้สั้นจัง...ตอนหน้าจะยาวกว่านี้ค่ะ เขียนเสร็จสดๆ ร้อนๆ รีบมาโพสเลยค่ะ กลัวรอกันนาน
ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง นอนก็น้อย เปื่อยอีกต่างหาก ตอนหน้าสัญญาว่าจะยาวกว่านี้ค่ะ
ตอนที่ 41
ความในใจ
นอกหน้าต่างถูกคลุมไปด้วยห้วงเวลาแห่งรัตติกาล บ้านหลังใหญ่ริมน้ำมีแสงไฟนวลจากโคมระย้าดวงโต ส่องออกมาจากห้องนั่งเล่นที่ชายหนุ่มรูปงามสองคนกำลังสนทนากัน คนแรกนั้นสูงใหญ่กว่าเล็กน้อยมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก ต่างกับคู่สนทนาซึ่งดวงหน้าคมคายปราศจากรอยยิ้ม สีหน้าเรียบเฉยจนมองดูเย็นชา มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่มีเปลวไฟสีทองวิบไหวอยู่ภายใน
“ผู้หญิงเป็นเพศที่คิดมากโดยกำเนิด ชายาของท่านคงจะสงสัยทำไมต้องเกรี้ยวกราดใส่นางกำนัลขนาดนั้น”
“พวกนางละเลยหน้าที่!” เสียงที่ตอบมาดุดัน “เราเพียงต้องการให้หลาบจำ หาได้มีสิ่งใดเคลือบแคลงไปกว่านั้น ไม่ว่าหญิงที่จะฆ่าตัวตายจะเป็นกุสุมาลย์หรือผู้ใด ชีวิตคนๆ หนึ่งนั้นสำคัญนัก นี่กระไรมีคนอยู่มากมายทั้งตำหนัก กลับปล่อยปละจนมีคนจะฆ่าตัวตายได้ หากใส่ใจกันสักนิดคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้...ที่สำคัญ เรากำชับแล้ว”
“แล้วนางเข้าใจสิ่งที่ท่านคิดหรือไม่” คนถูกถามเงียบไปอีกครั้ง วิมุตติคาดเดาคำตอบนั้นได้ไม่ยากเย็น
“เรื่องเลยไปกันใหญ่สินะ...เฮ้อ แล้วกุสุมาลย์รู้ได้อย่างไรว่าเป็นผู้ใดกลั่นแกล้งนาง”
“เราหาทราบไม่...ไม่รู้ทั้งสิ่งที่มหิตาคิด รวมไปถึง...เมื่อเราเห็นกุสุมาลย์อีกครั้งบาดแผลก็เกินเยียวยาเสียแล้ว”
นาคเจ้ามิได้กล่าวเกินความจริง ในช่วงที่ราชกิจยุ่งเหยิงและมหิตาเทวีไม่โปรดให้พระพี่เลี้ยงคนงามได้เข้าเฝ้า ภูวิษะเจ้าจึงไม่ได้พบนางหลายวัน กว่าจะรู้ก็เมื่อสายจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะเยียวยา ด้วยจิตเมตตาแก่สตรีนางหนึ่งโดยเฉพาะสตรีนางนั้นเป็นที่รักของชายาแห่งตน
“คงเป็นเวรกรรมของนาง...ท่านเคยคิดรักษานางด้วยฤทธีหรือไม่”
“วิมุตติ...สำหรับอสรพิษเยี่ยงเรา...”
“กล่าวหนักเกินไป...ท่านเป็นนาค”
“แล้วก็เป็นสัตว์มีพิษ...เข้าใจหรือไม่”
“ทุกชีวิตก็ล้วนเป็นสัตว์...อย่างเราเรียกว่าสัตว์มนุษย์”
“ท่านเป็นวิทยาธร เป็นกึ่งเทพ”
“เคยเป็นมนุษย์...ตอนนี้ก็เป็นมนุษย์ ต่างกันแค่ว่า...สัตว์ที่รู้จักคิด รู้จักวางตนอยู่ในศีลธรรม เรียกว่าประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉาน...เราไม่ต่างกันอย่าว่ากล่าวตนเองนัก” เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าเรียบเฉยมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ขอบใจ..สหาย” อีกฝ่ายยิ้มตอบ
“เรื่องกุสุมาลย์มิใช่เราไม่เคยคิด แต่...ท่านจงดู”
ภูวิษะเจ้าผายฝ่ามือยื่นออกมาเบื้องหน้า มือว่างเปล่าเมื่อครู่ปรากฏงูสีเขียวตัวหนึ่งผุดขึ้นมา จากนั้นงูเขียวเลื้อยลงมาบนโต๊ะมันตรงเข้าฉกผลไม้ที่วางอยู่ในถาดอย่างดุร้าย เพียงครู่เดียวผลไม้ลูกนั้นเปลี่ยนสีเป็นหมองคล้ำและเหี่ยวเฉาลงทันที
“งูถนัดเรื่องการแพร่พิษ...ทีนี้ถอนพิษ”
งูเขียวได้รับคำสั่งก็ละล้าละลังเลื้อยวนไปรอบถาดผลไม้ คล้ายคิดไม่ตกว่าจะเรียกพิษคืนอย่างไรดี
“งูย่อมทำไม่ได้ แล้วนาคเล่า?”
“ทำได้...แต่ชีวิตของนางจะเปลี่ยนไปตลอดกาล นางมิอาจอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้ เพราะการรักษาไม่ใช่เรื่องปกติ หากจู่ๆ แผลบนหน้าหายไปผู้คนจะสงสัย หรืออย่างน้อยที่สุดคงจะต้องพานางไป...นาคาลัย ปวารณาตัวเป็นข้ารองบาทแห่งเรา คิดว่ามหิตาจะยินดีหรือไม่?”
“คงจะไม่...แต่ในตอนนั้นท่านมิได้รู้สิ่งที่นางคิด” นาคเจ้าพยักหน้า
“ดังนั้นเราจึงพยายามจะรักษาด้วยวิถีของมนุษย์ให้ดีที่สุดก่อน เรายังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากุสุมาลย์โดนพิษอันใด”
“พิษที่นางโดนนั้น..เรียกว่าพิษริษยา..พิษแห่งความหึงหวง ยึดติดการเป็นเจ้าของ พิษชนิดนี้ท่านรักษามิได้ดอก”
“เราอับจนปัญญา ความรักมิอาจเยียวยา เรามิได้รู้ว่านางต้องการสิ่งใด...” ภูวิษะเจ้าทอดถอนหทัยโดยแรง งูเขียวบนโต๊ะเมื่อครู่พลันสลายไป
“ความรักนั้นบางครั้งมิได้ต้องการเหตุผล ไม่ได้ต้องการสติปัญญา ใครหลงในบ่วงมันก็โง่งมทั้งสิ้น...มันเกิดขึ้นได้กับทุกผู้คน ทุกวรรณะ เหตุนี้อาจเป็นกรรมลิขิตก็เป็นได้ อย่าได้ตำหนิตนเองไป...เรื่องราวมันผ่านมาแสนนานแล้ว”
“แต่อดีตกำลังจะกลับมา กุสุมาลย์จะแก้แค้น นางจะเอาคืน”
“เราอยู่ตรงนี้...ขอสัญญาว่า จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเป็นอันขาด!” นัยน์ตาคู่นั้นส่องแสงวาวขึ้นมาทันที นาคเจ้าอยากตรัสต่อว่าจะขวางทางกรรมได้หรือ หากวิทยเทพทำสำเร็จหญิงสองนางเลิกละต่อกัน จะเป็นกุศลกรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับกุสุมาลย์ นาคเจ้าปรารถนาให้นางปลดปล่อยตัวเองจากห้วงทุกข์เสียที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 41
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ช่วงนี้ไม่ค่อยว่าง นอนก็น้อย เปื่อยอีกต่างหาก ตอนหน้าสัญญาว่าจะยาวกว่านี้ค่ะ
ตอนที่ 41
ความในใจ
นอกหน้าต่างถูกคลุมไปด้วยห้วงเวลาแห่งรัตติกาล บ้านหลังใหญ่ริมน้ำมีแสงไฟนวลจากโคมระย้าดวงโต ส่องออกมาจากห้องนั่งเล่นที่ชายหนุ่มรูปงามสองคนกำลังสนทนากัน คนแรกนั้นสูงใหญ่กว่าเล็กน้อยมีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มุมปาก ต่างกับคู่สนทนาซึ่งดวงหน้าคมคายปราศจากรอยยิ้ม สีหน้าเรียบเฉยจนมองดูเย็นชา มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่มีเปลวไฟสีทองวิบไหวอยู่ภายใน
“ผู้หญิงเป็นเพศที่คิดมากโดยกำเนิด ชายาของท่านคงจะสงสัยทำไมต้องเกรี้ยวกราดใส่นางกำนัลขนาดนั้น”
“พวกนางละเลยหน้าที่!” เสียงที่ตอบมาดุดัน “เราเพียงต้องการให้หลาบจำ หาได้มีสิ่งใดเคลือบแคลงไปกว่านั้น ไม่ว่าหญิงที่จะฆ่าตัวตายจะเป็นกุสุมาลย์หรือผู้ใด ชีวิตคนๆ หนึ่งนั้นสำคัญนัก นี่กระไรมีคนอยู่มากมายทั้งตำหนัก กลับปล่อยปละจนมีคนจะฆ่าตัวตายได้ หากใส่ใจกันสักนิดคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้...ที่สำคัญ เรากำชับแล้ว”
“แล้วนางเข้าใจสิ่งที่ท่านคิดหรือไม่” คนถูกถามเงียบไปอีกครั้ง วิมุตติคาดเดาคำตอบนั้นได้ไม่ยากเย็น
“เรื่องเลยไปกันใหญ่สินะ...เฮ้อ แล้วกุสุมาลย์รู้ได้อย่างไรว่าเป็นผู้ใดกลั่นแกล้งนาง”
“เราหาทราบไม่...ไม่รู้ทั้งสิ่งที่มหิตาคิด รวมไปถึง...เมื่อเราเห็นกุสุมาลย์อีกครั้งบาดแผลก็เกินเยียวยาเสียแล้ว”
นาคเจ้ามิได้กล่าวเกินความจริง ในช่วงที่ราชกิจยุ่งเหยิงและมหิตาเทวีไม่โปรดให้พระพี่เลี้ยงคนงามได้เข้าเฝ้า ภูวิษะเจ้าจึงไม่ได้พบนางหลายวัน กว่าจะรู้ก็เมื่อสายจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะเยียวยา ด้วยจิตเมตตาแก่สตรีนางหนึ่งโดยเฉพาะสตรีนางนั้นเป็นที่รักของชายาแห่งตน
“คงเป็นเวรกรรมของนาง...ท่านเคยคิดรักษานางด้วยฤทธีหรือไม่”
“วิมุตติ...สำหรับอสรพิษเยี่ยงเรา...”
“กล่าวหนักเกินไป...ท่านเป็นนาค”
“แล้วก็เป็นสัตว์มีพิษ...เข้าใจหรือไม่”
“ทุกชีวิตก็ล้วนเป็นสัตว์...อย่างเราเรียกว่าสัตว์มนุษย์”
“ท่านเป็นวิทยาธร เป็นกึ่งเทพ”
“เคยเป็นมนุษย์...ตอนนี้ก็เป็นมนุษย์ ต่างกันแค่ว่า...สัตว์ที่รู้จักคิด รู้จักวางตนอยู่ในศีลธรรม เรียกว่าประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉาน...เราไม่ต่างกันอย่าว่ากล่าวตนเองนัก” เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าเรียบเฉยมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น
“ขอบใจ..สหาย” อีกฝ่ายยิ้มตอบ
“เรื่องกุสุมาลย์มิใช่เราไม่เคยคิด แต่...ท่านจงดู”
ภูวิษะเจ้าผายฝ่ามือยื่นออกมาเบื้องหน้า มือว่างเปล่าเมื่อครู่ปรากฏงูสีเขียวตัวหนึ่งผุดขึ้นมา จากนั้นงูเขียวเลื้อยลงมาบนโต๊ะมันตรงเข้าฉกผลไม้ที่วางอยู่ในถาดอย่างดุร้าย เพียงครู่เดียวผลไม้ลูกนั้นเปลี่ยนสีเป็นหมองคล้ำและเหี่ยวเฉาลงทันที
“งูถนัดเรื่องการแพร่พิษ...ทีนี้ถอนพิษ”
งูเขียวได้รับคำสั่งก็ละล้าละลังเลื้อยวนไปรอบถาดผลไม้ คล้ายคิดไม่ตกว่าจะเรียกพิษคืนอย่างไรดี
“งูย่อมทำไม่ได้ แล้วนาคเล่า?”
“ทำได้...แต่ชีวิตของนางจะเปลี่ยนไปตลอดกาล นางมิอาจอยู่ในดินแดนมนุษย์ได้ เพราะการรักษาไม่ใช่เรื่องปกติ หากจู่ๆ แผลบนหน้าหายไปผู้คนจะสงสัย หรืออย่างน้อยที่สุดคงจะต้องพานางไป...นาคาลัย ปวารณาตัวเป็นข้ารองบาทแห่งเรา คิดว่ามหิตาจะยินดีหรือไม่?”
“คงจะไม่...แต่ในตอนนั้นท่านมิได้รู้สิ่งที่นางคิด” นาคเจ้าพยักหน้า
“ดังนั้นเราจึงพยายามจะรักษาด้วยวิถีของมนุษย์ให้ดีที่สุดก่อน เรายังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากุสุมาลย์โดนพิษอันใด”
“พิษที่นางโดนนั้น..เรียกว่าพิษริษยา..พิษแห่งความหึงหวง ยึดติดการเป็นเจ้าของ พิษชนิดนี้ท่านรักษามิได้ดอก”
“เราอับจนปัญญา ความรักมิอาจเยียวยา เรามิได้รู้ว่านางต้องการสิ่งใด...” ภูวิษะเจ้าทอดถอนหทัยโดยแรง งูเขียวบนโต๊ะเมื่อครู่พลันสลายไป
“ความรักนั้นบางครั้งมิได้ต้องการเหตุผล ไม่ได้ต้องการสติปัญญา ใครหลงในบ่วงมันก็โง่งมทั้งสิ้น...มันเกิดขึ้นได้กับทุกผู้คน ทุกวรรณะ เหตุนี้อาจเป็นกรรมลิขิตก็เป็นได้ อย่าได้ตำหนิตนเองไป...เรื่องราวมันผ่านมาแสนนานแล้ว”
“แต่อดีตกำลังจะกลับมา กุสุมาลย์จะแก้แค้น นางจะเอาคืน”
“เราอยู่ตรงนี้...ขอสัญญาว่า จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเป็นอันขาด!” นัยน์ตาคู่นั้นส่องแสงวาวขึ้นมาทันที นาคเจ้าอยากตรัสต่อว่าจะขวางทางกรรมได้หรือ หากวิทยเทพทำสำเร็จหญิงสองนางเลิกละต่อกัน จะเป็นกุศลกรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับกุสุมาลย์ นาคเจ้าปรารถนาให้นางปลดปล่อยตัวเองจากห้วงทุกข์เสียที
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++