การแต่งงานเหมือนกับการบริหารพอร์ตลงทุนของผู้จัดการกองทุนในหลายๆ ด้าน
เพราะในชีวิตสมรส คน 2 คนจะได้ทะเบียนสมรส ซึ่งก็เหมือนผู้จัดการกองทุนต้องมีใบอนุญาต
การสมรสของคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว มักจะมีการทำแผนชีวิตล่วงหน้า มีกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตร่วมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งมักจะเป็นการถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพ็ชร ที่ภาษานิทานเขาเรียกว่า ”แล้วเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขไปชั่วนิจนิรันดร์ ” แต่พวกหน้ามืดก็มีเหมือนกันคือขอให้ได้กันเหอะ อย่างอื่นไม่ต้องสนใจคิดตอนนี้
ผู้จัดการกองทุนก็เช่นกัน เขาต้องวางแผนจัดพอร์ตลงทุนของกองทุนที่ตนบริหาร มีเป้าหมาย มีการคาดหวังผลตอบแทน มีกลยุทธ์ที่จะลงทุนให้ได้ตามเป้าหมาย มีวิธีการลดความเสี่ยงเมื่อต้องผ่านมรสุมทางเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และอื่นๆ ไปให้ได้ ไม่ใช่หน้ามืดตัดสินใจ โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายและนโยบายหลักของกองทุน
การแต่งงานเป็นการรวมทุนที่ยิ่งใหญ่ของทรัพยากร (คือ ตัวเอง ความรู้ ความคิด ทรัพย์สิน) เข้าด้วยกัน เพื่อร่วมเดินไปให้ถึงเป้าหมายที่กำหนด ด้วยความหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงสุดในอนาคต ซึ่งก็คือความสุขในชีวิตสมรส ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ยกตัวอย่างความเสี่ยงที่ว่า เช่น ก่อนแต่งงานควรมองเห็นทั้งส่วนดี/ไม่ดี ของคนที่จะมาร่วมชีวิตกับเรา หากใครบอกว่าคนรักของเขาเลิศเลอเพอร์เฟ็ค ไม่มีข้อติเลย ก็ขอให้กลับไปคิดใหม่ เพราะคนอย่างนั้นไม่มีในโลกนี้ หากเรารู้ข้อเสียทั้งเราและเขาก่อนแต่ง เราก็รู้จักความเสี่ยงแล้ว และจะวางแผนจัดการความเสี่ยงล่วงหน้าได้ดีกว่าคู่อื่นๆ
กองทุนรวมก็คล้ายๆ กัน เพราะเป็นการรวมทรัพยากร ซึ่งก็คือ เงินของผู้ลงทุน เป็นการรวมทรัพยากรบุคคล ซึ่งก็คือ ความรู้ ประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ และนักวางกลยุทธ์ โดยผู้จัดการกองทุนต้องเข้าใจความเสี่ยงของกองทุนที่เขาบริหาร มีการเตรียมการที่จะจัดการความเสี่ยงไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ใช่พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา ก็ตื่นตระหนกตกใจจนตัดสินใจทำอะไรที่ไม่น่าทำ (Panic) หรือซื่อบื้อจนไม่ทำอะไรที่ควรจะทำ (Shock)
หลักคิดแบบต้นทุน-กำไร หรือ ผลได้-ผลเสีย
ในชีวิตสมรสจะมีการตัดสินใจเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำไม่ง่ายเหมือนตอนเป็นโสด เพราะเมื่อแต่งงานแล้ว การตัดสินใจของคนหนึ่งย่อมมีผลกระทบต่อคู่ของเรา รวมไปถึงบุตรและคนในครอบครัวด้วย
การตัดสินใจของผู้จัดการกองทุนไม่ควรใช้อารมณ์เข้ามานำทาง ต้องคิดถึงต้นทุนและผลตอบแทนของการตัดสินใจแต่ละครั้งให้ดี ซึ่งก็เหมือนกับการตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตคู่ที่ต้องไม่ใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ให้คำนึงถึงผลได้-ผลเสีย หากเราทำหรือไม่ทำเรื่องนั้นๆ
การที่เราจะคอยจุกจิกกับคู่ของเราในอุปนิสัยบางเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันจะคุ้มไหมกับการทะเลาะกันให้อารมณ์เสียจนเรื่องเล็กๆ บานปลายไปใหญ่โต เพียงแค่เขาชอบถอดถุงเท้าแบบม้วนเดียวจบ (เหมือนเด็กๆ ที่ชอบเอามือรูดถุงเท้าออกจากเท้าจนเป็นวงคล้ายหนังสติ๊ก) มันไม่ได้ทำให้โลกแตก แต่การไปบ่นๆๆๆๆ ใส่หูเขาเรื่อยๆ ถึงโลกไม่แตก แต่ชีวิตคู่อาจแตกร้าวได้
หลักคิดแบบวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็ง
การบริหารพอร์ตลงทุนนั้น ไม่ใช่ว่าผู้จัดการกองทุนจะเก่งไปทุกเรื่อง บางคนเก่งเรื่องหุ้น บางคนเก่งเรื่องพันธบัตร บางคนก็ทำได้ดีเวลาหุ้นตก บางคนกลับบริหารได้ดีเวลาหุ้นขึ้น คนไหนเก่งด้านไหนเราก็ควรให้เขาเน้นทำด้านนั้นมากกว่าคนอื่น
การดำเนินชีวิตคู่ ก็ควรดูว่า ใครเด่นด้านไหนก็ให้นำในด้านนั้น หากใครทำอาหารได้ดีกว่า ก็ให้เขาทำในขณะที่เราคอยช่วยเป็นลูกมือหรือล้างจานให้ หรือไล่ออกจากครัวให้ไปดูแลลูก ในขณะที่เราทำอาหารก็ได้ หากต้องมี 1 คนที่ต้องสละทิ้งการทำงานนอกบ้านมาดูแลลูกเล็กๆ ก็ควรให้คนที่ทำเงินได้มากกว่า มีโอกาสทางการงานมากกว่า เป็นคนรับผิดชอบทำงานนอกบ้าน
มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มเหลว
ในช่วงวิกฤติ Subprime ของสหรัฐ บางคนอาจจะจำได้ว่ามีสถาบันการเงินบางแห่งที่ใหญ่มาก ที่รัฐบาลสหรัฐบอกว่าปล่อยให้ล้มไปไม่ได้ ต้องช่วยอุ้มไว้ เช่น Fannie Mae, Freddie Mac และ Bear Sterns เพราะหากปล่อยให้ล้มแล้วจะลามไปทั้งระบบแบบหาจุดจบไม่ได้
หากคุณเชื่อว่าชีวิตคู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ปล่อยให้ล้มเหลวไม่ได้ ก็จงลงทุนในสัมพันธภาพที่ดีในชีวิตสมรสให้มากๆ เพราะหากจะล้มแล้ว ไม่มีรัฐบาลที่ไหนมาช่วยอุ้ม
ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง และแก้ไข
ผู้จัดการกองทุนบางคนไม่ยอมขายหุ้นที่ขาดทุนออกไป ทั้งๆ ที่หุ้นตัวนั้นไม่มีหวังอีกแล้ว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกลัวคนจะรู้ว่าตนตัดสินใจผิดที่ไปลงทุนหุ้นตัวนั้นจนขาดทุน ได้แต่หวังว่าหากตลาดหุ้นดีขึ้น หุ้นตัวนั้นจะมีราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องและจะยิ่งมีผลเสียต่อพอร์ตกองทุน
สามีภรรยาที่ทะเลาะกัน มักเป็นเพราะคนผิดไม่อยากยอมรับว่าตนเองผิด ก็เลยทะเลาะกันไม่รู้จบ แต่การที่ไม่ยอมรับว่าตนเองผิดก็ไม่ได้แปลว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง กลายเป็นผิดสองเท่าเพราะการไม่ยอมรับและไปทะเลาะกับคนที่อยู่กับเรายิ่งทำให้เหตุการณ์และบรรยากาศแย่ลง
การอุ้มหุ้นแย่ๆ ในพอร์ต ไม่ยอมรับว่าตนตัดสินใจผิดพลาดแล้วแก้ไขด้วยการขายทิ้งไปเพื่อหาโอกาสอื่นที่ดี กว่าจะทำให้กองทุนเสียหาย หากมีหุ้นหลายๆ ตัวที่แย่แบบนี้ในกองทุน จุดจบก็คือการขาดทุนย่อยยับ
โรแมนติก กับ เหตุผล
การนำเอาชีวิตคู่ไปเปรียบเทียบกับการบริหารกองทุนอาจทำให้หลายคนตกใจ แต่การคิดถึงชีวิตคู่แบบมีเหตุมีผล แม้จะดูเหมือนว่าไม่โรแมนติกเอาเสียเลย มันจะช่วยให้คุณจัดการชีวิตคู่ได้ประสบผลสำเร็จกว่าคู่อื่นๆ ที่ตกอยู่ในความฝันไม่รู้ตื่น เรื่องโรแมนติกที่ชีวิตคู่ต้องการนั้นไม่ต้องให้ผู้จัดการกองทุนแนะนำ เพราะคุณก็แค่ทำแค่คิดแบบที่คุณเคยทำเคยคิดในช่วงก่อนแต่งงานกัน นั่นละความโรแมนติก
หากสิ่งที่กล่าวถึงข้างต้นทำให้ผู้จัดการกองทุนประสบผลสำเร็จในการบริหารกองทุนได้ มันก็น่าจะช่วยให้ชีวิตสมรสของคุณมีโอกาสดีกว่าคู่อื่นๆ ที่ไม่เคยคิดแบบใช้เหตุผล
คนหลายคนใช้เหตุผลกับเพื่อน ใช้กับผู้ร่วมงาน ใช้กับทุกคนได้ แต่ไม่เคยคิดแบบมีเหตุมีผลกับคนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต เอาแต่อารมณ์โกรธ น้อยอกน้อยใจ มานำทาง น่าแปลกจริงๆ
แต่หากใช้เหตุใช้ผลจนถึงที่สุดแล้วมันไม่ได้ผล คู่ของคุณก็ยังคงเป็นหุ้นแย่ๆ ที่ขาดทุนอยู่ในพอร์ตกองทุน ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้
ในกรณีนี้ผู้จัดการกองทุนขอแนะนำให้ Cut Loss และหากยังต้องการลงทุนอีก ก็น่าจะแสวงหาหุ้นตัวอื่นๆ ที่มีคุณค่ากว่า มีอนาคตที่ดีกว่า และในราคาที่ถูกกว่าได้อีกมาก
ก็คือหุ้นที่เขาเรียกว่า Value Stock ไงล่ะ
วรวรรณ ธาราภูมิ
นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง จำกัด
----------------------------------------------------------------------
จาก
http://www.bblam.co.th/asset/eNews_bblam0411.htm#ar01
การแต่งงานคือการบริหารพอร์ตลงทุน
เพราะในชีวิตสมรส คน 2 คนจะได้ทะเบียนสมรส ซึ่งก็เหมือนผู้จัดการกองทุนต้องมีใบอนุญาต
การสมรสของคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้ว มักจะมีการทำแผนชีวิตล่วงหน้า มีกลยุทธ์ในการดำเนินชีวิตร่วมเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งมักจะเป็นการถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพ็ชร ที่ภาษานิทานเขาเรียกว่า ”แล้วเจ้าชายกับเจ้าหญิงก็ได้ครองคู่กันอย่างมีความสุขไปชั่วนิจนิรันดร์ ” แต่พวกหน้ามืดก็มีเหมือนกันคือขอให้ได้กันเหอะ อย่างอื่นไม่ต้องสนใจคิดตอนนี้
ผู้จัดการกองทุนก็เช่นกัน เขาต้องวางแผนจัดพอร์ตลงทุนของกองทุนที่ตนบริหาร มีเป้าหมาย มีการคาดหวังผลตอบแทน มีกลยุทธ์ที่จะลงทุนให้ได้ตามเป้าหมาย มีวิธีการลดความเสี่ยงเมื่อต้องผ่านมรสุมทางเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ และอื่นๆ ไปให้ได้ ไม่ใช่หน้ามืดตัดสินใจ โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายและนโยบายหลักของกองทุน
การแต่งงานเป็นการรวมทุนที่ยิ่งใหญ่ของทรัพยากร (คือ ตัวเอง ความรู้ ความคิด ทรัพย์สิน) เข้าด้วยกัน เพื่อร่วมเดินไปให้ถึงเป้าหมายที่กำหนด ด้วยความหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนสูงสุดในอนาคต ซึ่งก็คือความสุขในชีวิตสมรส ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ยกตัวอย่างความเสี่ยงที่ว่า เช่น ก่อนแต่งงานควรมองเห็นทั้งส่วนดี/ไม่ดี ของคนที่จะมาร่วมชีวิตกับเรา หากใครบอกว่าคนรักของเขาเลิศเลอเพอร์เฟ็ค ไม่มีข้อติเลย ก็ขอให้กลับไปคิดใหม่ เพราะคนอย่างนั้นไม่มีในโลกนี้ หากเรารู้ข้อเสียทั้งเราและเขาก่อนแต่ง เราก็รู้จักความเสี่ยงแล้ว และจะวางแผนจัดการความเสี่ยงล่วงหน้าได้ดีกว่าคู่อื่นๆ
กองทุนรวมก็คล้ายๆ กัน เพราะเป็นการรวมทรัพยากร ซึ่งก็คือ เงินของผู้ลงทุน เป็นการรวมทรัพยากรบุคคล ซึ่งก็คือ ความรู้ ประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุน นักวิเคราะห์ และนักวางกลยุทธ์ โดยผู้จัดการกองทุนต้องเข้าใจความเสี่ยงของกองทุนที่เขาบริหาร มีการเตรียมการที่จะจัดการความเสี่ยงไว้ก่อนล่วงหน้า ไม่ใช่พอเกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา ก็ตื่นตระหนกตกใจจนตัดสินใจทำอะไรที่ไม่น่าทำ (Panic) หรือซื่อบื้อจนไม่ทำอะไรที่ควรจะทำ (Shock)
หลักคิดแบบต้นทุน-กำไร หรือ ผลได้-ผลเสีย
ในชีวิตสมรสจะมีการตัดสินใจเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ซึ่งทำไม่ง่ายเหมือนตอนเป็นโสด เพราะเมื่อแต่งงานแล้ว การตัดสินใจของคนหนึ่งย่อมมีผลกระทบต่อคู่ของเรา รวมไปถึงบุตรและคนในครอบครัวด้วย
การตัดสินใจของผู้จัดการกองทุนไม่ควรใช้อารมณ์เข้ามานำทาง ต้องคิดถึงต้นทุนและผลตอบแทนของการตัดสินใจแต่ละครั้งให้ดี ซึ่งก็เหมือนกับการตัดสินใจในเรื่องราวต่างๆ ของชีวิตคู่ที่ต้องไม่ใช้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ให้คำนึงถึงผลได้-ผลเสีย หากเราทำหรือไม่ทำเรื่องนั้นๆ
การที่เราจะคอยจุกจิกกับคู่ของเราในอุปนิสัยบางเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ มันจะคุ้มไหมกับการทะเลาะกันให้อารมณ์เสียจนเรื่องเล็กๆ บานปลายไปใหญ่โต เพียงแค่เขาชอบถอดถุงเท้าแบบม้วนเดียวจบ (เหมือนเด็กๆ ที่ชอบเอามือรูดถุงเท้าออกจากเท้าจนเป็นวงคล้ายหนังสติ๊ก) มันไม่ได้ทำให้โลกแตก แต่การไปบ่นๆๆๆๆ ใส่หูเขาเรื่อยๆ ถึงโลกไม่แตก แต่ชีวิตคู่อาจแตกร้าวได้
หลักคิดแบบวิเคราะห์จุดอ่อน-จุดแข็ง
การบริหารพอร์ตลงทุนนั้น ไม่ใช่ว่าผู้จัดการกองทุนจะเก่งไปทุกเรื่อง บางคนเก่งเรื่องหุ้น บางคนเก่งเรื่องพันธบัตร บางคนก็ทำได้ดีเวลาหุ้นตก บางคนกลับบริหารได้ดีเวลาหุ้นขึ้น คนไหนเก่งด้านไหนเราก็ควรให้เขาเน้นทำด้านนั้นมากกว่าคนอื่น
การดำเนินชีวิตคู่ ก็ควรดูว่า ใครเด่นด้านไหนก็ให้นำในด้านนั้น หากใครทำอาหารได้ดีกว่า ก็ให้เขาทำในขณะที่เราคอยช่วยเป็นลูกมือหรือล้างจานให้ หรือไล่ออกจากครัวให้ไปดูแลลูก ในขณะที่เราทำอาหารก็ได้ หากต้องมี 1 คนที่ต้องสละทิ้งการทำงานนอกบ้านมาดูแลลูกเล็กๆ ก็ควรให้คนที่ทำเงินได้มากกว่า มีโอกาสทางการงานมากกว่า เป็นคนรับผิดชอบทำงานนอกบ้าน
มันเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะปล่อยให้ล้มเหลว
ในช่วงวิกฤติ Subprime ของสหรัฐ บางคนอาจจะจำได้ว่ามีสถาบันการเงินบางแห่งที่ใหญ่มาก ที่รัฐบาลสหรัฐบอกว่าปล่อยให้ล้มไปไม่ได้ ต้องช่วยอุ้มไว้ เช่น Fannie Mae, Freddie Mac และ Bear Sterns เพราะหากปล่อยให้ล้มแล้วจะลามไปทั้งระบบแบบหาจุดจบไม่ได้
หากคุณเชื่อว่าชีวิตคู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ปล่อยให้ล้มเหลวไม่ได้ ก็จงลงทุนในสัมพันธภาพที่ดีในชีวิตสมรสให้มากๆ เพราะหากจะล้มแล้ว ไม่มีรัฐบาลที่ไหนมาช่วยอุ้ม
ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง และแก้ไข
ผู้จัดการกองทุนบางคนไม่ยอมขายหุ้นที่ขาดทุนออกไป ทั้งๆ ที่หุ้นตัวนั้นไม่มีหวังอีกแล้ว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะกลัวคนจะรู้ว่าตนตัดสินใจผิดที่ไปลงทุนหุ้นตัวนั้นจนขาดทุน ได้แต่หวังว่าหากตลาดหุ้นดีขึ้น หุ้นตัวนั้นจะมีราคาสูงขึ้น ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องและจะยิ่งมีผลเสียต่อพอร์ตกองทุน
สามีภรรยาที่ทะเลาะกัน มักเป็นเพราะคนผิดไม่อยากยอมรับว่าตนเองผิด ก็เลยทะเลาะกันไม่รู้จบ แต่การที่ไม่ยอมรับว่าตนเองผิดก็ไม่ได้แปลว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง กลายเป็นผิดสองเท่าเพราะการไม่ยอมรับและไปทะเลาะกับคนที่อยู่กับเรายิ่งทำให้เหตุการณ์และบรรยากาศแย่ลง
การอุ้มหุ้นแย่ๆ ในพอร์ต ไม่ยอมรับว่าตนตัดสินใจผิดพลาดแล้วแก้ไขด้วยการขายทิ้งไปเพื่อหาโอกาสอื่นที่ดี กว่าจะทำให้กองทุนเสียหาย หากมีหุ้นหลายๆ ตัวที่แย่แบบนี้ในกองทุน จุดจบก็คือการขาดทุนย่อยยับ
โรแมนติก กับ เหตุผล
การนำเอาชีวิตคู่ไปเปรียบเทียบกับการบริหารกองทุนอาจทำให้หลายคนตกใจ แต่การคิดถึงชีวิตคู่แบบมีเหตุมีผล แม้จะดูเหมือนว่าไม่โรแมนติกเอาเสียเลย มันจะช่วยให้คุณจัดการชีวิตคู่ได้ประสบผลสำเร็จกว่าคู่อื่นๆ ที่ตกอยู่ในความฝันไม่รู้ตื่น เรื่องโรแมนติกที่ชีวิตคู่ต้องการนั้นไม่ต้องให้ผู้จัดการกองทุนแนะนำ เพราะคุณก็แค่ทำแค่คิดแบบที่คุณเคยทำเคยคิดในช่วงก่อนแต่งงานกัน นั่นละความโรแมนติก
หากสิ่งที่กล่าวถึงข้างต้นทำให้ผู้จัดการกองทุนประสบผลสำเร็จในการบริหารกองทุนได้ มันก็น่าจะช่วยให้ชีวิตสมรสของคุณมีโอกาสดีกว่าคู่อื่นๆ ที่ไม่เคยคิดแบบใช้เหตุผล
คนหลายคนใช้เหตุผลกับเพื่อน ใช้กับผู้ร่วมงาน ใช้กับทุกคนได้ แต่ไม่เคยคิดแบบมีเหตุมีผลกับคนที่เป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิต เอาแต่อารมณ์โกรธ น้อยอกน้อยใจ มานำทาง น่าแปลกจริงๆ
แต่หากใช้เหตุใช้ผลจนถึงที่สุดแล้วมันไม่ได้ผล คู่ของคุณก็ยังคงเป็นหุ้นแย่ๆ ที่ขาดทุนอยู่ในพอร์ตกองทุน ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้
ในกรณีนี้ผู้จัดการกองทุนขอแนะนำให้ Cut Loss และหากยังต้องการลงทุนอีก ก็น่าจะแสวงหาหุ้นตัวอื่นๆ ที่มีคุณค่ากว่า มีอนาคตที่ดีกว่า และในราคาที่ถูกกว่าได้อีกมาก
ก็คือหุ้นที่เขาเรียกว่า Value Stock ไงล่ะ
วรวรรณ ธาราภูมิ
นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง จำกัด
----------------------------------------------------------------------
จาก http://www.bblam.co.th/asset/eNews_bblam0411.htm#ar01