ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน อาหารเสริม ที่จับคู่กันอย่างผิดวิธี อาจถึงตายเช่น กาแฟกับแคลเซียม วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน เยี่ยมแย่


          หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัด ๆ

          "Good things come in pair" ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุ
กอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

          ดังนั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก "ความไม่รู้" ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ

แฝดที่ดี

          เสมือนคู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้ครับ

          
หัวใจหัวใจหัวใจจุ๊บๆ
ประหลาดใจ เพื่อลดความแคลงใจในตัวข้อมูลของคุณหมอ ( จขกท ขออภัย อมยิ้ม17 ทุกกรณี ที่ทำให้เพื่อนสมาชิกไม่พอใจ)

จึงนำข้อมูลบทความคุณหมอ(ภาษาไทย)เปรียบเทียบกับความเห็น คุณ Biolab ที่ถามเภสัชนำมาฝาก(เป็นภาษาอังกฤษ) นะคะ
(มีพิจารณาส่วนตัวด้วยนะคะ)

1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย
    
Vitamin C helps in collagen synthesis. However, we cannot absorb collagen as a whole molecule. So, vitamin c and collagen supplement have nothing to do with each other.


2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มีวิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ อมยิ้ม05

Vitamin C reduces ferric ion (+3) to ferrous ion (+2) which bound to carrier protein and can be absorbed. This statement is true.


3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี “ตัวช่วย” พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ

I have no idea about this claim.

( จขกท ขอแทรก - เคยเรียน ม.ปลาย สายวิทย์มามันก็บอกนะคะว่า แคลเซียมมากับ วิต D, K (Mgไม่แน่ใจ) มันมีpathway อ่ะค่ะ


4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและถั่วลิสงสักวันละกำมือ

Vitamin C reduces oxidized vitamin E to its reduced form. Vitamin C can be taken from food too. This statement is true but we can get all of the vitamin mentioned above from vegetables. No need to supplement.

(จขกท ขอแทรก - ในภาวะคนสุขภาพปกติ กินดีอยู่ดี ไม่เจ็บไม่ไข้ กินอาหาร 5 หมู่
                     (คือกินแบบคนสุขภาพดี มีเวลากิน และพอใจที่จะกินผักผลไม้ปริมาณเหมาะสม)
                     ไม่ต้องกินเสริมค่ะ สำหรับเราคนทำงาน ได้กินก็ไม่สนใจสารอาหารแล้วค่ะ
                      แต่บางคนมีโรคเรื้อรัง หรือสุขภาพไม่ดี หรือคนแก่
                      อันนี้ เหมือนจะต้องทำเมนูสุขภาพค่ะ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะมีเวลาทำ หรือหาคนทำให้กินได้)

5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอ

Fish oil prevent blood clot but it has nothing to do with "brain and intelligence". Human clinical trials show no benefit of DHA in alzhimer's disease. I contrary ถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น, it's a junk.

( จขกท ขอแทรก - อันนี้โดยส่วนตัวเจอแต่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้นเลย และโดนฝังใจตั้งแต่เด็ก ถ้ากินน้ำมันตับปลาจะฉลาด)

แฝดที่ร้าย

แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ “ตัวแม่” ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ Facepalm

This is true and very important. Don't forget to tell doctor or dentist before you have an operation. Also tell pharmacist everytimes you buy drugs or food supplement.


2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

Vitamin E in evening primrose oil (or others oils) is not an active ingradient but an antioxidant.
I'm not sure about a significance of this interaction.

(จขกท ขอแทรก - หมอท่านหนึ่งเคยเล่า ว่าเจอเคสที่ ER กินวิตามินอีมากๆ อยากสวยผิวดีแบบว่าสปีดอัพในเวลาสั้น หัวใจวาย มา รพ.)

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้า ท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็งได้

Before taking any vitamin and mineral, see recommended daily allowance. This statement is reasonable.


4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย + นมสด (ไม่ใช่นมถั่วเหลือง) ก็ไม่ควรกินกับแคลเซียม จะให้ไม่ดูดซึมเช่นกัน กาแฟ

First, caffeine doesn't effect calcium absorbtion. (Ref: http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/12204390 )
Second, milk proteins promote calcium absorption.
This statement is a junk.

( จขกท ขอแทรก - อันนี้เราไปหมอ เค้าห้ามกินแคลเซียมกับนมสด(วัว แพะ ฯลฯ) ... ที่ใส่กาแฟใส่ทั้งกากนม (นมข้นหวาน+จืด) ครีม นมสด)

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

This is true. Thalassemia makes hemoglobin and red blood cell abnormal. Therefore, thalassemia patients who take iron have an increase risk for red blood cell rupture (break). This statement is true.

ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย  เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า "ไม่ใช่" แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ

ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

          เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

*** นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ) ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ drkrisda@gmail.com

ข้อมูลจาก - หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
http://www.chularat.com/knowledge_detail.php?id=86
เครดิต คุณ Rita_Bunny

จขกท ก็อปจากเว็บนี้ ---> http://www.sasimall.com/index.php?mo=3&art=405712

***** (อันนี้ จขกท ขอเสริม)
และไม่พอ อาหารเสริมควรกินให้ถูกเวลา เช่น พวกน้ำมัน ควรกินพร้อมอาหาร เพราะต้องดูดซึมขณะที่ท้องกำลังทำงาน มีปริมาณอาหาร
ประเภทไขมันปนอยู่มาก หากเป็นพวกวิตามินที่ละลายน้ำ หรือพวกซิงค์ ไบโอติน (เป็นต้น) ให้กินตอนท้องว่าง หากกินผิดเวลาแล้ว เหมือนกับไม่ได้กิน กลายเป็นอุจจาระขับทิ้งไม่เกิดประโยชน์ (ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะกินท้องว่างได้ทุกคน ปรับได้ (ปรับยังไงถามหมอ))
(เครดิต ถามหมอ รพ รัฐ 2ที่ และเอกชน 1 ที่ ได้ความเห็นตรงกัน ขอไม่เอ่ยนามค่ะ)
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่