รุ่งเช้า แสงอาทิตย์อ่อนจางสาดคลุมสายธารา เรือใหญ่ทั้งหกลำแล่นออกจากทะเลสาบมังกรสวรรค์ ผ่านเส้นทางลำน้ำจินหลงมุ่งหน้านครหนานสุ่ย
ยามสายค่อยบรรลุถึงท่าเทียบเรือของกองทัพ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหนานสุ่ย จัดสร้างเป็นป้อมปราการมหึมาอันแข็งแกร่ง นับเป็นหนึ่งในสามท่าเทียบใหญ่ที่สุดของอาณาจักร ทั้งขบวนเรือรบทั้งกำลังทหารประจำการล้วนพรักพร้อมสู่สมรภูมิ
องค์หญิงอวี่หมิง เย่เข่ออ้าย หานอี้ซิน พร้อมเหล่าราชองครักษ์ เร่งรีบจัดขบวนเดินทางด้วยม้ามุ่งหน้าสู่นครหลวง องค์หญิงแต่งพระองค์ชุดเกราะอ่อน พระเกศาขมวดมุ่นเสียบพระจุฑาทองรูปหงส์เหิน
พระสิริโฉมผุดผาดทว่ายังแฝงแววซีดเซียว หากสายพระเนตรนั้นสงบนิ่งมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว วรองค์สูงโปร่งทรงอาชาเหยาะย่างผ่านแถวทหารซึ่งรอรับเสด็จขนัดแน่น
เหล่าทหารทั้งหมด ถวายคำนับพร้อมกัน เปล่งเสียงกึกก้อง
“องค์หญิงอวี่หมิง ทรงพระเจริญ!”
กระแสเสียงนั้นสะท้านสะเทือนก้องลำน้ำกว้าง เนิ่นนานยังมิยอมจางหาย
เนื่องเพราะนี่มิใช่เป็นการถวายพระพรตามหน้าที่ซึ่งต้องกระทำ หากกระแสเสียงนั้นเปล่งออกจากห้วงลึกในจิตใจ ของเหล่าทหารกล้าแห่งอาณาจักรเทียนหมิง
เย่เข่ออ้ายในชุดราชองครักษ์ ติดตามเบื้องหลังพระองค์ไม่ห่าง แววตาเปล่งประกายรักใคร่จงรักภักดี จับจ้องพระพักตร์ด้วยความปีติยินดียิ่ง
เนื่องเพราะการเตรียมเคลื่อนทัพ ล้อมเทือกเขาเทียมเมฆาเป็นปฏิบัติการใหญ่ จู่ๆ กลับล้มเลิกกลางคัน เหล่าทหาร บรรดาแม่ทัพนายกอง ล้วนสอบถามสาเหตุกันอื้ออึง ดังนั้นเวลานี้ทั้งกองทัพย่อมทราบแล้วว่า องค์หญิงทรงเสี่ยงภัยออกสืบข่าวด้วยพระองค์เอง กระทั่งสามารถหาหลักฐานหยุดยั้งทัพทันก่อนเข้าสู่กับดักของศัตรู
พระปรีชาขององค์หญิงซึ่งทุกผู้แจ้งประจักษ์มานานแล้ว ยามนี้ยิ่งเพิ่มพูนความเคารพและภักดีอย่างลึกซึ้ง
เสียดาย...องค์หญิงอวี่หมิง...มิใช่พระราชบุตร...
หากในสายตาเย่เข่ออ้าย ใช่พระราชบุตรหรือไม่...ไม่มีอันใดแตกต่าง
เนื่องเพราะไม่เคยมีกฎมนเทียรบาลข้อใด ห้ามมิให้พระราชธิดาขึ้นครองบัลลังก์!
ประกายคมกล้าลึกล้ำในดวงตาหานอี้ซิน ฉายแววประหลาดใจไม่น้อยต่อความภักดี ซึ่งเหล่าทหารทั้งหลายแสดงต่อองค์หญิงอวี่หมิง บุรุษหนุ่มยังไม่มีตำแหน่งในกองทัพ ยามนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดามิได้สวมใส่เกราะใด เหยาะย่างอาชาอยู่แถวเกือบหลังสุด กระนั้นด้วยรูปร่างสูงใหญ่ทั้งแววตาสีเขียวจางๆ ย่อมเด่นสะดุดตาทุกผู้
แม่ทัพนายกองหลายคน มองด้วยสายตาฉงนฉงาย แต่ก็เพียงแวบเดียวแล้วจางหาย ไม่มีผู้ใดประหลาดใจหรือสงสัยมากความ ว่าเหตุใดจึงปรากฏชาวภาคเหนือร่วมขบวนองค์หญิง
ทั้งนี้เพราะสงครามแบ่งแยกมหาอาณาจักร ดำเนินต่อเนื่องยาวนาน การเปลี่ยนข้างแปรพักตร์เกิดขึ้นตลอดเวลา สงครามครั้งนี้เกิดจากความขัดแย้งของผู้ครองอำนาจ และความคิดด้านการปกครองอาณาจักรที่แตกต่าง
มิใช่เป็นความขัดแย้งจากเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ขอเพียงเป็นผู้มีความสามารถทั้งอาณาจักรเหนือและใต้ต่างยินดีใช้สอย ทุกผู้ย่อมคาดเดาว่าบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้ เป็นอีกหนึ่งในผู้สวามิภักดิ์ต่อแดนใต้
ทว่าเจตจำนงแท้จริงเป็นเช่นไร...ย่อมมีเพียงหานอี้ซินที่ทราบกระจ่าง...
ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขบวนเสด็จบรรลุถึงนครหลวงแห่งมหาอาณาจักร ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครและเหล่าทหารที่เฝ้ารักษาประตูเมือง ย่อมได้รับทราบข่าวสารทั้งหมดตั้งแต่รุ่งสาง
ดังนั้นตั้งแถวรอรับเสด็จองค์หญิงอวี่หมิงกลับเข้านครหนานสุ่ยเนืองแน่น สภาพการณ์มิต่างจากเหล่าทหารที่ป้อมปราการท่าเทียบเรือ เป็นอีกครั้งที่เสียงถวายพระพรดังกระหึ่มกึกก้องประตูเมือง
“องค์หญิงอวี่หมิง ทรงพระเจริญ!”
องค์หญิงทรงโบกพระหัตถ์ แย้มสรวลให้กับเหล่าทหารกล้าซึ่งประจำอยู่ทั้งบนกำแพงเมือง ทั้งตั้งแถวรับเสด็จตั้งแต่หน้าประตูเมือง ไปจนกระทั่งถึงหน้าตึกที่ทำการผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร
เสียงถวายพระพรดังต่อเนื่องยาวนาน กระทั่งทรงหยุดยั้งอาชาหน้าตึกที่ทำการ ขบวนทหารราชองครักษ์เกราะเงินประจำวังหลวง ตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่นานแล้ว สีหน้าแต่ละผู้ล้วนฉายแววจงรักภักดี
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครเข้ามาถวายคำนับอีกครั้ง บังคับอาชาขึ้นนำหน้าแถวทหาร ทำหน้าที่นำขบวนเสด็จมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง
เส้นทางสู่พระราชวังหลวงมุ่งตามถนนหลักสายใหญ่ ตัดผ่านเกือบกึ่งกลางนครหนานสุ่ย พระราชวังหลวงตั้งอยู่ทางทิศเหนือ รายล้อมด้วยคูน้ำกว้าง ก่อกำแพงสูงหลายชั้น ประดุจดั่งมหานครขนาดย่อมอันเป็นเอกเทศ
บริเวณโดยรอบล้วนเป็นย่านคฤหาสน์ ตึกพำนักของเหล่าเสนาบดี ขุนนาง คหบดีใหญ่ รวมถึงบรรดาราชองครักษ์ เหล่าราชทูตและผู้มีตำแหน่งต้องเข้าเฝ้าทั้งหลาย นับเป็นย่านที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในนครหลวง
ขณะขบวนเสด็จกำลังผ่านย่านตึกรับรองราชทูต หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์กองหนึ่งซึ่งเฝ้าประจำการ ณ บริเวณนั้น พลันชักม้าตรงเข้าสนทนากับผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร สีหน้าฉายแววยุ่งยากลำบากใจไม่น้อย
องค์หญิงอวี่หมิงทอดพระเนตรดังนั้น ทรงหยุดยั้งอาชาประทับนิ่ง รับสั่งถาม
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร รีบเหยาะย่างม้าเข้ากราบทูล
“ท่านบัณฑิต ‘หวังอี’ ขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลพระเจ้าค่ะ”
สีพระพักตร์องค์หญิงปีติยินดียิ่ง กระแสรับสั่งฉับไว
“รีบนำทางเราไป”
ทว่าสีหน้าหัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์ กลับยิ่งแสดงความยุ่งยากลำบากใจ อึกอักอ้ำอึ้งดั่งมิกล้านำเสด็จ ทั้งพยายามกราบทูล
“ฝ่าบาท…ท่านบัณฑิตหวัง มิได้…มิได้…”
องค์หญิงทรงกำลังกระตือรือร้นพระทัย ครั้นหัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์แสดงท่าทางอิดเอื้อน คล้ายไม่ต้องการนำเสด็จไปพบท่านบัณฑิตหวังอี สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน เคร่งครึมขุ่นพระทัย รับสั่งสุรเสียงเฉียบขาด
“มิได้อันใด! ท่านไม่รู้หรือว่าท่านอาจารย์หวังอีเคยรับราชการ ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองราชเลขาธิการ ภายหลังเมื่อลาออกออกจากราชการ องค์ฝ่าบาทยังทรงพระราชทานป้ายหยกราชบัณฑิต มีสิทธิ์ขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าและยื่นถวายฎีกาได้ทุกเมื่อ ท่านอาจารย์อุตส่าห์มารอเราที่นี่แสดงว่ามีธุระสำคัญ ไฉนท่านจึงอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่นำทางเรา!”
หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์ รีบลงจากหลังม้า ถวายคำนับ กราบทูลโดยพลัน
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า! กระหม่อมทราบดีพระเจ้าค่ะ หากท่านบัณฑิตหวังขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าเพียงผู้เดียว กระหม่อมย่อมไม่ลำบากใจ แต่…แต่ทว่า ท่านบัณฑิตหวังพาผู้อื่นมาขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าด้วยพระเจ้าค่ะ”
ทั้งหมดเข้าใจสถานการณ์โดยพลัน บัณฑิตหวังอีได้รับพระราชทานป้ายหยกราชบัณฑิต ย่อมสามารถขอประทานโอกาสเข้าเฝ้า แต่หากนำผู้อื่นติดตามมาด้วยย่อมเป็นคนละเรื่อง ไหนเลยสามารถปล่อยให้ผู้ใดก็เข้าเฝ้าพระองค์ ยังไม่นับว่าจู่ๆ ขอเข้าเฝ้ากลางเส้นทางเสด็จ นับว่าขัดกับหลักการคุ้มครองอารักขาพระองค์อย่างยิ่ง
องค์หญิงทรงหันสบพระเนตรกับเย่เข่ออ้าย ทรงฉงนพระทัยยิ่ง เย่เข่ออ้ายก็หลากใจไม่ต่างจากพระองค์ เพราะตลอดสิบกว่าปีหลังลาออกจากราชการ ท่านบัณฑิตหวังอีถือสันโดษ พักอาศัยอยู่ในบ้านนอกเมืองเพียงคนเดียว ยามเดินทางมิเคยต้องให้มีผู้ติดตาม สัญจรไปทุกแห่งหนเพียงลำพังเสมอมา
ในปีหนึ่งๆ มีเพียงไม่กี่ครั้งซึ่งท่านบัณฑิตหวังมิอาจปฏิเสธราชโองการ ต้องเข้าร่วมงานพระราชพิธีสำคัญประจำปี เฉพาะโอกาสเช่นนั้นท่านบัณฑิตหวังจึงยอมเดินทางเข้าพระราชวังหลวง และเฉพาะในโอกาสนั้นท่านบัณฑิตหวังจึงกราบทูลข้อราชการต่างๆ ถวายองค์จักรพรรดิ
บัณฑิตหวังอี เคยดำรงตำแหน่งรองราชเลขาธิการ นับตั้งแต่องค์จักรพรรดิว่านอู้ทรงขึ้นครองราชย์ กระทั่งเมื่อย้ายเมืองหลวงมายังหนานสุ่ย ก็รับราชการในตำแหน่งเดิมอีกหลายปี ทว่าจู่ๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านกลับลาออกจากราชการ ทั้งไม่สนใจยุ่งเกี่ยวกิจการใดในบ้านเมืองอีกเลย
เหตุใดครั้งนี้ท่านอาจารย์หวังจึงขอเข้าเฝ้ากลางทางเสด็จ ทั้งยังนำผู้อื่นมาเข้าเฝ้าด้วย…
สีพระพักตร์ฉงนฉงายครุ่นคิด รับสั่งถามหัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์
“ท่านอาจารย์หวังนำผู้ใดร่วมคณะมาด้วย”
หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์ รีบกราบทูลว่า
“นอกจากท่านบัณฑิตหวังอี ยังมีเหล่าบัณฑิตนาม หลี่เอ้อร์ จังซาน หลิวซื่อ เฉินหวู่ หยังลิ่ว โจวชี ทั้งหมดขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ”
คราวนี้องค์หญิงอวี่หมิง ถึงกับทรงอุทานด้วยความตื่นพระทัย เพราะนามของบัณฑิตทั้งหกเมื่อรวมกับท่านอาจารย์หวังอีเป็นเจ็ดคน ทั้งหมดถูกเรียกขานว่า ‘เจ็ดบัณฑิตแห่งป่าสนสราญ’!
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากท่านอาจารย์หวังอีปลีกตัวถือสันโดษ ยังมีบัณฑิตอีกหกคนล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในกิจการบ้านเมือง ทว่าบางคนเหน็ดเหนื่อยต่อการรับราชการ บางคนเบื่อหน่ายชีวิตในวงราชการ บางคนถึงกับไม่สนใจเข้ารับราชการ
บัณฑิตทั้งหกชื่นชมวัตรปฏิบัติอันสันโดดของท่านอาจารย์หวัง ดังนั้นทั้งหมดแม้ปกติไม่ไปมาหาสู่กัน เว้นแต่ในเทศกาลรื่นเริงประจำปี เนื่องในโอกาสวันสำคัญต่างๆ เหล่าบัณฑิตจะพบปะสังสรรค์ ร่ำสุรา แต่งโคลงกลอน บรรเลงดนตรี ในศาลาพักกลางป่าสน ทางทิศใต้ของเมืองหนานสุ่ย
ทั้งหมดปฏิบัติต่อเนื่องเช่นนี้นับสิบปี ผู้คนจึงตั้งชื่อให้บัณฑิตทั้งเจ็ดว่า ‘เจ็ดบัณฑิตแห่งป่าสนสราญ’
นอกจากท่านอาจารย์หวังอี ซึ่งบิดาตั้งชื่อให้ว่า ‘อี’ เพราะท่านเป็นลูกชายคนโต เหล่าบัณฑิตอีกหกคนย่อมมิได้มีชื่อว่า ‘เอ้อร์’ ‘ซาน’ ‘ซื่อ’ ‘หวู่’ ‘ลิ่ว’ ‘ชี’ ตั้งแต่แรกเกิด หากแต่เมื่อทั้งหมดถูกเรียกขานว่าเจ็ดบัณฑิต ทุกคนจึงพลอยเปลี่ยนชื่อตนเองให้คล้องจองกับท่านบัณฑิตหวังอี
องค์หญิงทรงครุ่นคิดในพระทัย
‘เหล่าบัณฑิตแห่งป่าสนสราญหากเข้ารับราชการ แต่ละคนต้องได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญในการบริหาร เสียดายทั้งหมดไม่สนใจกิจการบ้านเมือง อย่างนั้นเหตุใดคราวนี้จึงพร้อมใจกันมา เกรงว่าเรื่องราวจะไม่รวบรัดธรรมดา’ ทรงตัดสินพระทัยมีรับสั่งโดยพลัน
“เราอนุญาตให้บัณฑิตทุกท่านเข้าเฝ้า รีบนำทางให้เรา”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร รับพระดำรัสทันที จัดส่งหน่วยล่วงหน้าไปเตรียมดูแลสถานที่รับเสด็จ หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์รีบขึ้นม้านำทาง
ขบวนเสด็จยังคงมุ่งหน้าในเส้นทางเดิม หากเมื่อพ้นย่านตึกพักราชทูต แทนที่จะมุ่งหน้าสู่ประตูพระราชวัง กลับเปลี่ยนทิศมุ่งตะวันออกเข้าสู่เขตอุทยานนอก พื้นที่รอบบริเวณเป็นสวนขนาดใหญ่ ไม้นานาพันธุ์เขียวขจีดั่งป่าอันอุดม บรรยากาศสงบร่มรื่น กลิ่นหอมอ่อนจางของดอกไม้ฟุ้งกระจายสดชื่น
อุทยานแห่งนี้ก่อสร้างเพื่อให้เหล่าเสนาบดี ขุนนาง ราชองครักษ์ซึ่งพักอาศัยอยู่รอบพระราชวังหลวงใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ท่ามกลางหมู่แมกไม้ใหญ่อันร่มรื่น แทรกแซมด้วยศาลาพัก ทั้งหลังเล็กหลังใหญ่เป็นระยะ ทุกหลังล้วนตั้งอยู่อย่างเหมาะเจาะลงตัว ปลูกสร้างวิจิตรสวยงาม กระเบื้องหลังคาสีสันสดใส ที่นั่งภายในเป็นหินอ่อนทั้งสิ้น
เบื้องนอกศาลาพักใหญ่หลังหนึ่ง เจ็ดบัณฑิตแห่งป่าสนสราญยืนสำรวมรอรับเสด็จ
ผู้ยืนอยู่แถวหน้าย่อมเป็นอดีตรองราชเลขาธิการ บัณฑิตหวังอี ปีนี้อายุร่วมห้าสิบแล้ว เส้นผม ขนคิ้ว หนวดเคราล้วนเริ่มเป็นสีดอกเลา กิริยาสำรวมเคร่งขรึม ดวงตาทั้งคู่หลุบต่ำ ดั่งมิกล้าเงยหน้าขึ้นมอง เสื้อผ้าสีเทาซีดจาง จากรูปกายภายนอกมิมีที่ใดแตกต่างจากผู้สูงวัยสมถะคนหนึ่ง
ทว่าองค์หญิงอวี่หมิงกลับมิได้ทรงดำริเช่นนั้น…
เนื่องเพราะเสื้อผ้าสีเทาแม้ซีดจาง แต่กลับไม่มีรอยปะชุนทั้งยังสะอาดสะอ้าน แสดงว่าผู้สวมใส่เป็นคนจิตใจประณีตพิถีพิถัน ดวงตาทั้งคู่แม้หลุบต่ำ แต่โสตสองข้างย่อมมิยอมให้สรรพสิ่งรอบด้านคลาดเคลื่อนหลุดรอด ริมฝีปากซึ่งเม้มสนิท แสดงว่ามิเอ่ยวาจาพร่ำเพรื่อไร้สาระ ทุกถ้อยคำต้องขบคิดรอบคอบ
กิริยาอันสำรวมสงบนิ่ง สองเท้ามิเคลื่อน สองแขนมิขยับ ดั่งสามารถรอรับคำสั่งในสภาพเช่นนี้ชั่วกาลนาน แต่ห้วงความคิดไหนเลยหยุดนิ่งเช่นกิริยา สติปัญญาความสามารถประจักษ์ชัดตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน เหล่านี้คือคุณลักษณะของผู้เคยดำรงตำแหน่งสูงเป็นอันดับสอง ในวงราชการมหาอาณาจักรเทียนหมิง
ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 6. ศักดิ์ศรีเหนือคาดหมาย
ยามสายค่อยบรรลุถึงท่าเทียบเรือของกองทัพ สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของหนานสุ่ย จัดสร้างเป็นป้อมปราการมหึมาอันแข็งแกร่ง นับเป็นหนึ่งในสามท่าเทียบใหญ่ที่สุดของอาณาจักร ทั้งขบวนเรือรบทั้งกำลังทหารประจำการล้วนพรักพร้อมสู่สมรภูมิ
องค์หญิงอวี่หมิง เย่เข่ออ้าย หานอี้ซิน พร้อมเหล่าราชองครักษ์ เร่งรีบจัดขบวนเดินทางด้วยม้ามุ่งหน้าสู่นครหลวง องค์หญิงแต่งพระองค์ชุดเกราะอ่อน พระเกศาขมวดมุ่นเสียบพระจุฑาทองรูปหงส์เหิน
พระสิริโฉมผุดผาดทว่ายังแฝงแววซีดเซียว หากสายพระเนตรนั้นสงบนิ่งมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว วรองค์สูงโปร่งทรงอาชาเหยาะย่างผ่านแถวทหารซึ่งรอรับเสด็จขนัดแน่น
เหล่าทหารทั้งหมด ถวายคำนับพร้อมกัน เปล่งเสียงกึกก้อง
“องค์หญิงอวี่หมิง ทรงพระเจริญ!”
กระแสเสียงนั้นสะท้านสะเทือนก้องลำน้ำกว้าง เนิ่นนานยังมิยอมจางหาย
เนื่องเพราะนี่มิใช่เป็นการถวายพระพรตามหน้าที่ซึ่งต้องกระทำ หากกระแสเสียงนั้นเปล่งออกจากห้วงลึกในจิตใจ ของเหล่าทหารกล้าแห่งอาณาจักรเทียนหมิง
เย่เข่ออ้ายในชุดราชองครักษ์ ติดตามเบื้องหลังพระองค์ไม่ห่าง แววตาเปล่งประกายรักใคร่จงรักภักดี จับจ้องพระพักตร์ด้วยความปีติยินดียิ่ง
เนื่องเพราะการเตรียมเคลื่อนทัพ ล้อมเทือกเขาเทียมเมฆาเป็นปฏิบัติการใหญ่ จู่ๆ กลับล้มเลิกกลางคัน เหล่าทหาร บรรดาแม่ทัพนายกอง ล้วนสอบถามสาเหตุกันอื้ออึง ดังนั้นเวลานี้ทั้งกองทัพย่อมทราบแล้วว่า องค์หญิงทรงเสี่ยงภัยออกสืบข่าวด้วยพระองค์เอง กระทั่งสามารถหาหลักฐานหยุดยั้งทัพทันก่อนเข้าสู่กับดักของศัตรู
พระปรีชาขององค์หญิงซึ่งทุกผู้แจ้งประจักษ์มานานแล้ว ยามนี้ยิ่งเพิ่มพูนความเคารพและภักดีอย่างลึกซึ้ง
เสียดาย...องค์หญิงอวี่หมิง...มิใช่พระราชบุตร...
หากในสายตาเย่เข่ออ้าย ใช่พระราชบุตรหรือไม่...ไม่มีอันใดแตกต่าง
เนื่องเพราะไม่เคยมีกฎมนเทียรบาลข้อใด ห้ามมิให้พระราชธิดาขึ้นครองบัลลังก์!
ประกายคมกล้าลึกล้ำในดวงตาหานอี้ซิน ฉายแววประหลาดใจไม่น้อยต่อความภักดี ซึ่งเหล่าทหารทั้งหลายแสดงต่อองค์หญิงอวี่หมิง บุรุษหนุ่มยังไม่มีตำแหน่งในกองทัพ ยามนี้แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดามิได้สวมใส่เกราะใด เหยาะย่างอาชาอยู่แถวเกือบหลังสุด กระนั้นด้วยรูปร่างสูงใหญ่ทั้งแววตาสีเขียวจางๆ ย่อมเด่นสะดุดตาทุกผู้
แม่ทัพนายกองหลายคน มองด้วยสายตาฉงนฉงาย แต่ก็เพียงแวบเดียวแล้วจางหาย ไม่มีผู้ใดประหลาดใจหรือสงสัยมากความ ว่าเหตุใดจึงปรากฏชาวภาคเหนือร่วมขบวนองค์หญิง
ทั้งนี้เพราะสงครามแบ่งแยกมหาอาณาจักร ดำเนินต่อเนื่องยาวนาน การเปลี่ยนข้างแปรพักตร์เกิดขึ้นตลอดเวลา สงครามครั้งนี้เกิดจากความขัดแย้งของผู้ครองอำนาจ และความคิดด้านการปกครองอาณาจักรที่แตกต่าง
มิใช่เป็นความขัดแย้งจากเชื้อสายเผ่าพันธุ์ ขอเพียงเป็นผู้มีความสามารถทั้งอาณาจักรเหนือและใต้ต่างยินดีใช้สอย ทุกผู้ย่อมคาดเดาว่าบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้ เป็นอีกหนึ่งในผู้สวามิภักดิ์ต่อแดนใต้
ทว่าเจตจำนงแท้จริงเป็นเช่นไร...ย่อมมีเพียงหานอี้ซินที่ทราบกระจ่าง...
ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ขบวนเสด็จบรรลุถึงนครหลวงแห่งมหาอาณาจักร ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครและเหล่าทหารที่เฝ้ารักษาประตูเมือง ย่อมได้รับทราบข่าวสารทั้งหมดตั้งแต่รุ่งสาง
ดังนั้นตั้งแถวรอรับเสด็จองค์หญิงอวี่หมิงกลับเข้านครหนานสุ่ยเนืองแน่น สภาพการณ์มิต่างจากเหล่าทหารที่ป้อมปราการท่าเทียบเรือ เป็นอีกครั้งที่เสียงถวายพระพรดังกระหึ่มกึกก้องประตูเมือง
“องค์หญิงอวี่หมิง ทรงพระเจริญ!”
องค์หญิงทรงโบกพระหัตถ์ แย้มสรวลให้กับเหล่าทหารกล้าซึ่งประจำอยู่ทั้งบนกำแพงเมือง ทั้งตั้งแถวรับเสด็จตั้งแต่หน้าประตูเมือง ไปจนกระทั่งถึงหน้าตึกที่ทำการผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร
เสียงถวายพระพรดังต่อเนื่องยาวนาน กระทั่งทรงหยุดยั้งอาชาหน้าตึกที่ทำการ ขบวนทหารราชองครักษ์เกราะเงินประจำวังหลวง ตั้งแถวรอรับเสด็จอยู่นานแล้ว สีหน้าแต่ละผู้ล้วนฉายแววจงรักภักดี
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนครเข้ามาถวายคำนับอีกครั้ง บังคับอาชาขึ้นนำหน้าแถวทหาร ทำหน้าที่นำขบวนเสด็จมุ่งหน้าสู่พระราชวังหลวง
เส้นทางสู่พระราชวังหลวงมุ่งตามถนนหลักสายใหญ่ ตัดผ่านเกือบกึ่งกลางนครหนานสุ่ย พระราชวังหลวงตั้งอยู่ทางทิศเหนือ รายล้อมด้วยคูน้ำกว้าง ก่อกำแพงสูงหลายชั้น ประดุจดั่งมหานครขนาดย่อมอันเป็นเอกเทศ
บริเวณโดยรอบล้วนเป็นย่านคฤหาสน์ ตึกพำนักของเหล่าเสนาบดี ขุนนาง คหบดีใหญ่ รวมถึงบรรดาราชองครักษ์ เหล่าราชทูตและผู้มีตำแหน่งต้องเข้าเฝ้าทั้งหลาย นับเป็นย่านที่คึกคักที่สุดแห่งหนึ่งในนครหลวง
ขณะขบวนเสด็จกำลังผ่านย่านตึกรับรองราชทูต หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์กองหนึ่งซึ่งเฝ้าประจำการ ณ บริเวณนั้น พลันชักม้าตรงเข้าสนทนากับผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร สีหน้าฉายแววยุ่งยากลำบากใจไม่น้อย
องค์หญิงอวี่หมิงทอดพระเนตรดังนั้น ทรงหยุดยั้งอาชาประทับนิ่ง รับสั่งถาม
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร รีบเหยาะย่างม้าเข้ากราบทูล
“ท่านบัณฑิต ‘หวังอี’ ขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าอยู่เบื้องหน้าไม่ไกลพระเจ้าค่ะ”
สีพระพักตร์องค์หญิงปีติยินดียิ่ง กระแสรับสั่งฉับไว
“รีบนำทางเราไป”
ทว่าสีหน้าหัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์ กลับยิ่งแสดงความยุ่งยากลำบากใจ อึกอักอ้ำอึ้งดั่งมิกล้านำเสด็จ ทั้งพยายามกราบทูล
“ฝ่าบาท…ท่านบัณฑิตหวัง มิได้…มิได้…”
องค์หญิงทรงกำลังกระตือรือร้นพระทัย ครั้นหัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์แสดงท่าทางอิดเอื้อน คล้ายไม่ต้องการนำเสด็จไปพบท่านบัณฑิตหวังอี สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน เคร่งครึมขุ่นพระทัย รับสั่งสุรเสียงเฉียบขาด
“มิได้อันใด! ท่านไม่รู้หรือว่าท่านอาจารย์หวังอีเคยรับราชการ ดำรงตำแหน่งเป็นถึงรองราชเลขาธิการ ภายหลังเมื่อลาออกออกจากราชการ องค์ฝ่าบาทยังทรงพระราชทานป้ายหยกราชบัณฑิต มีสิทธิ์ขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าและยื่นถวายฎีกาได้ทุกเมื่อ ท่านอาจารย์อุตส่าห์มารอเราที่นี่แสดงว่ามีธุระสำคัญ ไฉนท่านจึงอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่นำทางเรา!”
หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์ รีบลงจากหลังม้า ถวายคำนับ กราบทูลโดยพลัน
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า! กระหม่อมทราบดีพระเจ้าค่ะ หากท่านบัณฑิตหวังขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าเพียงผู้เดียว กระหม่อมย่อมไม่ลำบากใจ แต่…แต่ทว่า ท่านบัณฑิตหวังพาผู้อื่นมาขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าด้วยพระเจ้าค่ะ”
ทั้งหมดเข้าใจสถานการณ์โดยพลัน บัณฑิตหวังอีได้รับพระราชทานป้ายหยกราชบัณฑิต ย่อมสามารถขอประทานโอกาสเข้าเฝ้า แต่หากนำผู้อื่นติดตามมาด้วยย่อมเป็นคนละเรื่อง ไหนเลยสามารถปล่อยให้ผู้ใดก็เข้าเฝ้าพระองค์ ยังไม่นับว่าจู่ๆ ขอเข้าเฝ้ากลางเส้นทางเสด็จ นับว่าขัดกับหลักการคุ้มครองอารักขาพระองค์อย่างยิ่ง
องค์หญิงทรงหันสบพระเนตรกับเย่เข่ออ้าย ทรงฉงนพระทัยยิ่ง เย่เข่ออ้ายก็หลากใจไม่ต่างจากพระองค์ เพราะตลอดสิบกว่าปีหลังลาออกจากราชการ ท่านบัณฑิตหวังอีถือสันโดษ พักอาศัยอยู่ในบ้านนอกเมืองเพียงคนเดียว ยามเดินทางมิเคยต้องให้มีผู้ติดตาม สัญจรไปทุกแห่งหนเพียงลำพังเสมอมา
ในปีหนึ่งๆ มีเพียงไม่กี่ครั้งซึ่งท่านบัณฑิตหวังมิอาจปฏิเสธราชโองการ ต้องเข้าร่วมงานพระราชพิธีสำคัญประจำปี เฉพาะโอกาสเช่นนั้นท่านบัณฑิตหวังจึงยอมเดินทางเข้าพระราชวังหลวง และเฉพาะในโอกาสนั้นท่านบัณฑิตหวังจึงกราบทูลข้อราชการต่างๆ ถวายองค์จักรพรรดิ
บัณฑิตหวังอี เคยดำรงตำแหน่งรองราชเลขาธิการ นับตั้งแต่องค์จักรพรรดิว่านอู้ทรงขึ้นครองราชย์ กระทั่งเมื่อย้ายเมืองหลวงมายังหนานสุ่ย ก็รับราชการในตำแหน่งเดิมอีกหลายปี ทว่าจู่ๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ท่านกลับลาออกจากราชการ ทั้งไม่สนใจยุ่งเกี่ยวกิจการใดในบ้านเมืองอีกเลย
เหตุใดครั้งนี้ท่านอาจารย์หวังจึงขอเข้าเฝ้ากลางทางเสด็จ ทั้งยังนำผู้อื่นมาเข้าเฝ้าด้วย…
สีพระพักตร์ฉงนฉงายครุ่นคิด รับสั่งถามหัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์
“ท่านอาจารย์หวังนำผู้ใดร่วมคณะมาด้วย”
หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์ รีบกราบทูลว่า
“นอกจากท่านบัณฑิตหวังอี ยังมีเหล่าบัณฑิตนาม หลี่เอ้อร์ จังซาน หลิวซื่อ เฉินหวู่ หยังลิ่ว โจวชี ทั้งหมดขอประทานโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าค่ะ”
คราวนี้องค์หญิงอวี่หมิง ถึงกับทรงอุทานด้วยความตื่นพระทัย เพราะนามของบัณฑิตทั้งหกเมื่อรวมกับท่านอาจารย์หวังอีเป็นเจ็ดคน ทั้งหมดถูกเรียกขานว่า ‘เจ็ดบัณฑิตแห่งป่าสนสราญ’!
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากท่านอาจารย์หวังอีปลีกตัวถือสันโดษ ยังมีบัณฑิตอีกหกคนล้วนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในกิจการบ้านเมือง ทว่าบางคนเหน็ดเหนื่อยต่อการรับราชการ บางคนเบื่อหน่ายชีวิตในวงราชการ บางคนถึงกับไม่สนใจเข้ารับราชการ
บัณฑิตทั้งหกชื่นชมวัตรปฏิบัติอันสันโดดของท่านอาจารย์หวัง ดังนั้นทั้งหมดแม้ปกติไม่ไปมาหาสู่กัน เว้นแต่ในเทศกาลรื่นเริงประจำปี เนื่องในโอกาสวันสำคัญต่างๆ เหล่าบัณฑิตจะพบปะสังสรรค์ ร่ำสุรา แต่งโคลงกลอน บรรเลงดนตรี ในศาลาพักกลางป่าสน ทางทิศใต้ของเมืองหนานสุ่ย
ทั้งหมดปฏิบัติต่อเนื่องเช่นนี้นับสิบปี ผู้คนจึงตั้งชื่อให้บัณฑิตทั้งเจ็ดว่า ‘เจ็ดบัณฑิตแห่งป่าสนสราญ’
นอกจากท่านอาจารย์หวังอี ซึ่งบิดาตั้งชื่อให้ว่า ‘อี’ เพราะท่านเป็นลูกชายคนโต เหล่าบัณฑิตอีกหกคนย่อมมิได้มีชื่อว่า ‘เอ้อร์’ ‘ซาน’ ‘ซื่อ’ ‘หวู่’ ‘ลิ่ว’ ‘ชี’ ตั้งแต่แรกเกิด หากแต่เมื่อทั้งหมดถูกเรียกขานว่าเจ็ดบัณฑิต ทุกคนจึงพลอยเปลี่ยนชื่อตนเองให้คล้องจองกับท่านบัณฑิตหวังอี
องค์หญิงทรงครุ่นคิดในพระทัย
‘เหล่าบัณฑิตแห่งป่าสนสราญหากเข้ารับราชการ แต่ละคนต้องได้รับตำแหน่งหน้าที่สำคัญในการบริหาร เสียดายทั้งหมดไม่สนใจกิจการบ้านเมือง อย่างนั้นเหตุใดคราวนี้จึงพร้อมใจกันมา เกรงว่าเรื่องราวจะไม่รวบรัดธรรมดา’ ทรงตัดสินพระทัยมีรับสั่งโดยพลัน
“เราอนุญาตให้บัณฑิตทุกท่านเข้าเฝ้า รีบนำทางให้เรา”
ผู้บัญชาการทหารรักษาพระนคร รับพระดำรัสทันที จัดส่งหน่วยล่วงหน้าไปเตรียมดูแลสถานที่รับเสด็จ หัวหน้าหน่วยทหารรักษาการณ์รีบขึ้นม้านำทาง
ขบวนเสด็จยังคงมุ่งหน้าในเส้นทางเดิม หากเมื่อพ้นย่านตึกพักราชทูต แทนที่จะมุ่งหน้าสู่ประตูพระราชวัง กลับเปลี่ยนทิศมุ่งตะวันออกเข้าสู่เขตอุทยานนอก พื้นที่รอบบริเวณเป็นสวนขนาดใหญ่ ไม้นานาพันธุ์เขียวขจีดั่งป่าอันอุดม บรรยากาศสงบร่มรื่น กลิ่นหอมอ่อนจางของดอกไม้ฟุ้งกระจายสดชื่น
อุทยานแห่งนี้ก่อสร้างเพื่อให้เหล่าเสนาบดี ขุนนาง ราชองครักษ์ซึ่งพักอาศัยอยู่รอบพระราชวังหลวงใช้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ ท่ามกลางหมู่แมกไม้ใหญ่อันร่มรื่น แทรกแซมด้วยศาลาพัก ทั้งหลังเล็กหลังใหญ่เป็นระยะ ทุกหลังล้วนตั้งอยู่อย่างเหมาะเจาะลงตัว ปลูกสร้างวิจิตรสวยงาม กระเบื้องหลังคาสีสันสดใส ที่นั่งภายในเป็นหินอ่อนทั้งสิ้น
เบื้องนอกศาลาพักใหญ่หลังหนึ่ง เจ็ดบัณฑิตแห่งป่าสนสราญยืนสำรวมรอรับเสด็จ
ผู้ยืนอยู่แถวหน้าย่อมเป็นอดีตรองราชเลขาธิการ บัณฑิตหวังอี ปีนี้อายุร่วมห้าสิบแล้ว เส้นผม ขนคิ้ว หนวดเคราล้วนเริ่มเป็นสีดอกเลา กิริยาสำรวมเคร่งขรึม ดวงตาทั้งคู่หลุบต่ำ ดั่งมิกล้าเงยหน้าขึ้นมอง เสื้อผ้าสีเทาซีดจาง จากรูปกายภายนอกมิมีที่ใดแตกต่างจากผู้สูงวัยสมถะคนหนึ่ง
ทว่าองค์หญิงอวี่หมิงกลับมิได้ทรงดำริเช่นนั้น…
เนื่องเพราะเสื้อผ้าสีเทาแม้ซีดจาง แต่กลับไม่มีรอยปะชุนทั้งยังสะอาดสะอ้าน แสดงว่าผู้สวมใส่เป็นคนจิตใจประณีตพิถีพิถัน ดวงตาทั้งคู่แม้หลุบต่ำ แต่โสตสองข้างย่อมมิยอมให้สรรพสิ่งรอบด้านคลาดเคลื่อนหลุดรอด ริมฝีปากซึ่งเม้มสนิท แสดงว่ามิเอ่ยวาจาพร่ำเพรื่อไร้สาระ ทุกถ้อยคำต้องขบคิดรอบคอบ
กิริยาอันสำรวมสงบนิ่ง สองเท้ามิเคลื่อน สองแขนมิขยับ ดั่งสามารถรอรับคำสั่งในสภาพเช่นนี้ชั่วกาลนาน แต่ห้วงความคิดไหนเลยหยุดนิ่งเช่นกิริยา สติปัญญาความสามารถประจักษ์ชัดตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน เหล่านี้คือคุณลักษณะของผู้เคยดำรงตำแหน่งสูงเป็นอันดับสอง ในวงราชการมหาอาณาจักรเทียนหมิง