ลิขิตรักธารามังกร บทที่ 7. การเมืองในการหารือ

กระทู้สนทนา
ทันทีเมื่อขบวนเสด็จถึงประตูพระราชวังหลวง หัวหน้าราชองครักษ์ตำหนักนอกรีบเข้ามาถวายคำนับ กราบทูลว่า

“ฝ่าบาททรงมีพระบัญชา รับสั่งให้องค์หญิงและท่านหัวหน้าแซ่เย่ เข้าเฝ้าทันทีพระเจ้าค่ะ”

องค์หญิงอวี่หมิง รับสั่งถาม

“ฝ่าบาทประทับอยู่ที่ใด”

หัวหน้าราชองครักษ์ตำหนักนอก กราบทูลว่า

“ทรงหารือข้อราชการกับท่านเสนาบดี และท่านแม่ทัพใหญ่ในพระตำหนักมุ่งฟ้าพระเจ้าค่ะ”

องค์หญิงทรงพยักพระพักตร์กับเย่เข่ออ้าย เนื่องเพราะทรงทราบดีว่าเหล่าคนนำสาร ซึ่งธิดาแม่ทัพแยกย้ายส่งไปแจ้งข่าว ทางหนึ่งส่งไปยั้งทัพ อีกทางแจ้งเรื่องราวทั้งหมด ให้แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายรับทราบ ย่อมถึงหนานสุ่ยตั้งแต่รุ่งสาง ดังนั้นฝ่าบาทต้องทรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว

ฝ่าบาทเมื่อทรงเรียกหารือข้อราชการในพระตำหนักมุ่งฟ้า แสดงว่าต้องการหารือเป็นการลับ ไม่เช่นนั้นคงมีพระบัญชาเรียกประชุมเหล่าขุนนางในห้องท้องพระโรง

ผู้ที่ทรงหารือด้วยนอกจากท่านแม่ทัพเย่ซือป้าย คาดว่าอาจมีเพียงท่าน ‘เซี่ยสุ่ยเสอ’ เสนาบดีกลาโหม และท่าน ‘หลูเฟิงต้า’ เสนาบดีคลังสองท่านเท่านั้น

องค์หญิงทรงสั่งเย่เข่ออ้าย ให้สั่งการเหล่าราชองครักษ์ตำหนักนอก จัดหาสถานที่พักชั่วคราวแก่หานอี้ซิน ทั้งทรงกำชับให้เฝ้าจับตาบุรุษร่างใหญ่อย่างเข้มงวด จากนั้นรีบเสด็จไปยังพระตำหนักมุ่งฟ้า พร้อมเย่เข่ออ้ายตามพระบัญชา

ทันทีที่เสด็จถึงหน้าพระตำหนัก หัวหน้าขันทีแซ่เตียวซึ่งรอรับเสด็จด้วยความกระวนกระวาย รีบนำเสด็จเข้าสู่ภายในพระตำหนักทันที ทั้งยังแอบกระซิบกราบทูลว่า

“ฝ่าบาททรงพิโรธตั้งแต่เมื่อวาน กระทั่งบัดนี้ยังไม่ทรงคลาย องค์หญิง...เอ่อ...องค์หญิง...”

องค์หญิงอวี่หมิงฝืนแย้มสรวล รับสั่งว่า

“กงกงวางใจ เราจะระมัดระวัง ไม่ทำให้เสด็จพ่อ กริ้วเพิ่มขึ้นอีก”

พระตำหนักมุ่งฟ้าเป็นหอสูงตั้งโดดเดี่ยวกลางพระราชอุทยาน สร้างในปีแรกเมื่อย้ายนครหลวงสู่หนานสุ่ย เดิมเมื่อจักรพรรดิว่านอู้ทรงมีดำริจะสร้างพระตำหนักหลังนี้ เหล่าแม่ทัพ เสนาบดีล้วนใจหายวาบ

ทั้งหมดเกรงว่าพระองค์จะดำเนินรอยตามพระราชบิดา ผู้สร้างพระตำหนักเทิดฟ้าอันเป็นหอสูงเสียดฟ้าในนครหลวงเดิม อันทุกผู้เชื่อว่าเป็นต้นเหตุแห่งความตกต่ำเสื่อมโทรมของมหาอาณาจักร

แต่จักรพรรดิว่านอู้ไม่ทรงกระทำผิดพลาดเยี่ยงอดีตจักรพรรดิ พระตำหนักหลังนี้มิได้สูงเสียดฟ้า ทั้งมิได้ตกแต่งตระการฟุ่มเฟือยผลาญพระราชทรัพย์เสียเปล่า

สาเหตุที่รับสั่งให้ปลูกสร้างเพราะทรงต้องการใช้เป็นที่ประชุมลับ ด้วยในระยะแรกเมื่อย้ายนครหลวงราชสำนักระส่ำระสาย มิอาจแยกแยะผู้ใดภักดีผู้ใดคิดเอาใจออกห่าง

เชื้อพระวงศ์หลายองค์ต่างคิดตั้งตนเป็นใหญ่ ภายหลังเมื่อกำราบจนเหตุการณ์ในราชสำนักสงบเรียบร้อย ความสำคัญของพระตำหนักมุ่งฟ้าก็ลดน้อยลง

ทว่าตั้งแต่สามเดือนก่อน นับจากเริ่มสงสัยว่ามีไส้ศึกในกองทัพ องค์จักรพรรดิทรงมีบัญชาให้แม่ทัพใหญ่ และเสนาบดีซึ่งทรงไว้เนื้อเชื่อพระทัยที่สุด หารือข้อราชการเป็นการลับบ่อยครั้ง

เหล่าราชองครักษ์กระบี่ทองนำเสด็จองค์หญิง และนำเย่เข่ออ้ายขึ้นสู่ชั้นบนสุดของพระตำหนัก หลังกราบทูลและมีพระบัญชาให้องค์หญิงและเย่เข่ออ้ายเข้าเฝ้า พระองค์จึงเสด็จนำเข้าสู่ภายใน

ทว่าทรงชะงักเล็กน้อย ขมวดพระขนงมุ่น เมื่อทอดพระเนตรพบว่า นอกจากแม่ทัพใหญ่ และเสนาบดีคนสนิททั้งสองยังมีบุคคลอื่นร่วมหารือ...

หนึ่งคือ ‘องค์หญิงเซี่ยหมิง’ อีกหนึ่งคือ ‘องค์ชายตงหมิง’ ทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระเชษฐภคินี และพระอนุชาต่างพระราชมารดาขององค์หญิงอวี่หมิง...

จักรพรรดิว่านอู้ประทับนิ่งขึง สีพระพักตร์เคร่งเครียด แววพระเนตรขุ่นมัว ปีนี้มีพระชนมายุสี่สิบเจ็ดชันษา พระเกศาเริ่มปรากฏสีดอกเลา

หน้าที่ประทับ ประกอบด้วยบุคคลผู้มีกระแสรับสั่ง ให้เข้าเฝ้าปรึกษาข้อราชการเป็นการลับโดยด่วนอันได้แก่ องค์หญิงเซี่ยหมิง องค์ชายตงหมิง แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย เสนาบดีกลาโหมเซี่ยสุ่ยเสอ และเสนาบดีคลังหลูเฟิงต้า

จักรพรรดิว่านอู้รับสั่ง พระสุรเสียงกราดเกรี้ยว สองพระหัตถ์ทุบพระบัลลังก์

“เจ้าออกไปก่อเรื่องครั้งแล้วครั้งเล่า! คำนึงถึงฐานะตัวเองบ้างหรือไม่!”

องค์หญิงอวี่หมิงสีพระพักตร์เผือด แม้ทรงคาดไว้แต่แรกว่าเสด็จพ่อต้องกริ้ว แต่อย่างน้อยทรงคิดว่าความดีความชอบที่ทรงกระทำ อาจทำให้กริ้วน้อยลงได้บ้าง ทว่าการณ์กลับไม่เป็นดังคาด

“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะ”

แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายรีบก้าวออกมา กราบบังคมทูลว่า

“ครั้งนี้องค์หญิงทรงสร้างทำความดีความชอบ ทำให้กองทัพไม่สูญเสียไพร่พล ทั้งมีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัดว่าในกองทัพมีไส้ศึก…”

ทันใด พระสุรเสียงกังวานใส แฝงแววประชดประชันขององค์หญิงเซี่ยหมิง รับสั่งแทรกขึ้น

“ยามนี้เมื่อปรากฏผลงาน ย่อมสามารถกล่าวเช่นนั้น แต่ท่านแม่ทัพใช่คิดในทางกลับกันบ้างหรือไม่ หากผิดพลาดขึ้นผู้ใดสามารถรับผิดชอบได้...”

‘องค์หญิงเซี่ยหมิง’ พระชนมายุมากว่าองค์หญิงอวี่หมิงสี่พระชันษา พระวรกายสูงทัดเทียบพระขนิษฐา พระขนงบางเฉียบ ดวงพระเนตรคมกริบเฉียบขาด ราวจะกรีดทะลุถึงจิตใจผู้คน แม้พระสิริโฉมงดงาม หากพระพักตร์เย็นชา ริมพระโอษฐ์บางคล้ายแย้มสรวลเย้ยหยันเป็นอาจิณ

สายพระเนตรคมกริบ ตวัดเขม้นมององค์หญิงอวี่หมิง

“จากข่าวที่เรารับทราบ ครั้งนี้น้องอวี่หมิงถูกซุ่มทำร้ายระหว่างทาง เคราะห์ดีที่ยังรักษาชีวิตรอด หากพลาดพลั้งถูกจับเป็นตัวประกันจะเป็นอย่างไร...”

องค์ชายตงหมิงทรงแย้มพระสรวล พระสุรเสียงร่าเริงรับสั่งแทรกขึ้น

“เสด็จพี่เซี่ยหมิงทรงกังวลเกินไปแล้ว ผู้มีความสามารถเช่นเสด็จพี่อวี่หมิง ไหนเลยยินยอมให้ถูกจับได้ อย่าว่าแต่คนดีย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ครั้งนี้...เสด็จพี่ได้รับความช่วยเหลือ จากคนของอดีตหน่วยพยัคฆ์คำรณใช่หรือไม่ เหว่ยกงกงเพิ่งเข้ามากราบทูลว่า ผู้ที่ช่วยเสด็จพี่ไว้คือเหยี่ยวเมฆาผู้เลื่องชื่อ”

‘องค์ชายตงหมิง’ พระชนมายุน้อยกว่าองค์หญิงอวี่หมิงสี่พระชันษา วรองค์ยังสูงไม่ทัดเทียมพระเชษฐภคินีทั้งสอง สีพระพักตร์ผ่องใส ดวงพระเนตรเป็นประกายหากสงบแน่วนิ่ง ฉายพระปัญญาอันสุขุมเฉลียวฉลาด พระอิริยาบถแม้คล้ายปล่อยพระองค์ตามสบาย กระนั้นยังนุ่มนวลเปี่ยมสง่าราศี คล้ายดั่งมังกรน้อยเกียจคร้านที่ยังมิอาจเหินบิน

องค์หญิงเซี่ยหมิงทรงแค่นพระสรวล รับสั่งพระสุรเสียงเย้ยหยัน

“นั่นมิใช่รับไส้ศึกอีกคนเข้ามาหรือ”

จักรพรรดิว่านอู้ทรงโบกพระหัตถ์ พยักพระพักตร์ รับสั่งถามเย่ซือป้าย

“ท่านแม่ทัพคิดเห็นอย่างไร เหยี่ยวเมฆาผู้นี้...นี่ใช่กับดักอีกหรือไม่”

แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้ายนิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง กราบทูลตอบว่า

“เฉพาะข่าวสารที่ได้รับขณะนี้ กระหม่อมยังไม่อาจถวายความเห็นได้ ขอองค์หญิงทรงเล่ารายละเอียดของเหตุการณ์ทั้งหมดให้กระหม่อมรับทราบอีกครั้ง ค่อยถวายความเห็นให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย”

องค์หญิงอวี่หมิงทรงพยักพระพักตร์ การณ์เป็นเช่นที่ทรงคาดไว้แต่แรก เหว่ยกงกงกราบทูลทุกเรื่องราวให้ฝ่าบาททรงทราบแล้วจริงๆ จะอย่างไรตลอดทางเสด็จสู่พระราชวัง พระองค์ก็ทรงลำดับเรื่องราวไว้กราบทูลเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

ดังนั้นทรงเริ่มต้นเล่าเรื่องราวตามลำดับ นับจากเดินทางออกจากหนานสุ่ยเมื่อสองวันก่อน ขณะมุ่งหน้าสู่จุดหมายกลับถูกซุ่มทำร้ายระหว่างทาง หลบหนีกระทั่งถึงสาขาของลำน้ำจินหลง หานอี้ซินพบเห็นเหตุการณ์จึงเข้าช่วยเหลือโดยบังเอิญ

หลังจากนั้นมุ่งสู่บึงภูตจันทรา พบเถียนฟู่โหย่วถูกสังหารในบ้านกลางบึง ค้นเจอหลักฐานจดหมายและกระบอกส่งสารโลหะภายในบรรจุม้วนผ้าแพร ล้วนเป็นแบบก่อสร้างแปลกประหลาดไม่คุ้นตา จากนั้นหลบหนีมาทางทะเลสาบมังกรสวรรค์กระทั่งพบกองเรือของเย่เข่ออ้าย

สุดท้ายทรงบอกเล่าปูมหลังของหานอี้ซิน ทั้งทรงเล่าถึงรายละเอียดเรื่องราวการสมคบคิดและการทรยศหักหลัง อันเกี่ยวเนื่องกับเฉินเทียนหรานและเถียนฟู่โหย่ว ซึ่งหานอี้ซินเป็นผู้บอกเล่าให้ฟัง...

ขณะทรงรับฟังรายละเอียดของม้วนผ้าแพร สีพระพักตร์องค์จักรพรรดิพลันแปรเปลี่ยน...

ทรงหันพระพักตร์ปรายสายพระเนตร ไปยังแม่ทัพเย่ซือป้ายและเสนาบดีคลังหลูเฟิงต้า สีหน้าบุคคลทั้งสองก็แฝงแววประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าเถียนฟู่โหย่วยังเก็บสิ่งนี้ไว้กับตัว…

จักรพรรดิว่านอู้เมื่อทรงรับฟัง แผนการที่เฉินเทียนหรานร่วมมือกับเถียนฟู่โหย่วกำจัดจูกัดจิ้น จากนั้นจึงให้เถียนฟู่โหย่วแสร้งแปรพักตร์ แต่ท้ายสุดกลับถูกเฉินเทียนหรานทรยศ จำต้องแปรพักตร์จริงๆ สีพระพักตร์ของพระองค์ถึงกับแดงก่ำ ทรงพิโรธจนทุบพระหัตถ์กับพระบัลลังก์อย่างแรง!

หลังองค์หญิงอวี่หมิงทรงเล่าจบ แม่ทัพเย่ซือป้ายครุ่นคิดแล้วกราบทูลว่า

“พฤติการณ์และพลังฝีมือของหานอี้ซิน ในเมื่อเหว่ยกงกงยืนยันด้วยตนเองย่อมไม่ผิดพลาด คนผู้นี้ใช่อดีตหัวหน้าหน่วยองครักษ์ ฉายาเหยี่ยวเมฆาจริงๆ กระนั้นสิ่งที่สำคัญกว่าคือ...เจตนาที่คนผู้นี้เข้าร่วมกับกองทัพของเรา กระหม่อมคิดว่ายังมีสิ่งที่น่าเคลือบแคลงหลายประการ...”

องค์หญิงเซี่ยหมิงทรงแค่นพระสุรเสียงอีกครั้ง

“ในเมื่อยังคลางแคลงสงสัย ท่านแม่ทัพควรสั่งประหารให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”

จักรพรรดิว่านอู้ทรงยกพระหัตถ์ห้าม ส่ายพระพักตร์รับสั่งว่า

“ทำเช่นนั้นไม่ได้ หากทำเช่นนั้นกับผู้ต้องการสวามิภักดิ์ ซ้ำยังเพิ่งสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ ไหนเลยมีผู้ยอมกลับใจสภามิภักดิ์กับเรา จงจำไว้...ศัตรูของศัตรูย่อมเป็นมิตรของเรา ผู้มีความสามารถหากยอมสวามิภักดิ์ด้วยใจจริง ไหนเลยไม่รับไว้ใช้สอย ท่านแม่ทัพมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไร”

แม่ทัพใหญ่เย่ซือป้าย กราบทูลตอบ

“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง หานอี้ซินขณะนี้มีความดีความชอบช่วยคุ้มครององค์หญิง ทั้งยังไม่มีหลักฐานว่าเป็นไส้ศึกย่อมไม่อาจด่วนประหารชีวิต ทว่าก่อนสืบทราบเจตนาที่แน่ชัด ย่อมต้องระมัดระวังคนผู้นี้ไว้ หากเหยี่ยวเมฆาสวามิภักดิ์ด้วยใจจริง นับเป็นบุคลากรอันทรงค่ายิ่งของกองทัพ สำหรับเรื่องนี้ไว้เป็นหน้าที่ของกระหม่อม”

จักรพรรดิว่านอู้ทรงอนุญาตเห็นชอบ

“เรื่องของหานอี้ซิน ท่านแม่ทัพดำเนินการได้เต็มที่”

องค์หญิงเซี่ยหมิงกลับทรงขมวดพระขนงมุ่น กราบทูลว่า

“เสด็จพ่อ หม่อมฉันขอแสดงความคิดเห็นได้หรือไม่เพคะ”

จักรพรรดิว่านอู้ทรงพยักพระพักตร์อนุญาต

องค์หญิงเซี่ยหมิง ทรงหันไปรับสั่งกับแม่ทัพเย่ซือป้าย

“ท่านแม่ทัพ...เช่นนี้มิใช่เสี่ยงไปหรือ ขณะนี้เรารู้แล้วว่ามีไส้ศึกในกองทัพ แล้วจู่ๆ ตอนนี้มีคนมาสวามิภักดิ์ ซ้ำยังเป็นถึงอดีตหัวหน้าองครักษ์ของจูกัดจิ้น นี่อาจเป็นกลซ้อนเพิ่มไส้ศึกเข้ามาภายใน เช่นนี้อันตรายอย่างยิ่ง ประหารผิดยังดีเสียกว่าปล่อยให้ถูกทรยศ”

เสนาบดีกลาโหมเซี่ยสุ่ยเสอ ก้าวออกมาถวายคำนับ กราบทูลแย้ง

“องค์หญิงทรงวิตกเกินไปจริงๆ หานอี้ซินกล้าเข้ามาในวังอย่างเปิดเผย แต่คนผู้เดียวจะทำอะไรได้...หรือทรงเกรงว่าคนนี้เป็นมือสังหาร...ลอบเข้ามาเพื่อ...”

แววพระเนตรคมกริบขององค์หญิงเซี่ยหมิง แทบจะเฉือนเนื้อเซี่ยสุ่ยเสอออกเป็นริ้ว

เซี่ยสุ่ยเสอกลับไม่ใส่ใจสายพระเนตรเช่นนั้น กราบทูลต่อไป

“นับจากย้ายเมืองหลวง การรักษาความปลอดภัยในพระราชวังไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ราชองครักษ์เกราะเงินตรวจตราบริเวณรอบนอกพระราชวัง เหล่าราชครักษ์ตำหนักนอกดูแลอารักขาตั้งแต่ประตูพระราชวัง ถึงพระตำหนักรอบนอก เหล่าราชองครักษ์กระบี่ทองรับผิดชอบดูแลเขตราชฐานขั้นใน

“ราชองครักษ์กระบี่ทองล้วนเป็นชนชั้นยอดฝีมือ กระหม่อมเชื่อว่าพลังฝีมือต้องไม่เป็นรองหานอี้ซิน ทั้งหมดพร้อมสละชีวิตเพื่อคุ้มครองทุกพระองค์ คนเพียงคนเดียวแม้มีแผนการร้ายจะทำอย่างไรได้ โดยเพราะอย่างยิ่งองค์ชายตงหมิง...ทรงมีเหว่ยกงกงคอยอารักขา หรือองค์หญิงยังทรงเกรงเกิดเรื่องใดขึ้น...”

“เรามิได้กลัว!”

เซี่ยสุ่ยเสอปีนี้อายุสี่สิบเศษ ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมเมื่อสามปีก่อน ร่างสันทัดไม่สูงใหญ่ หากบึกบึนแข็งแรง ด้วยเคยเป็นแม่ทัพกล้าแห่งอาณาจักรเทียนหมิง

คิ้วหนาขมวดเป็นนิจ ดั่งใบหน้าบังเกิดโทสะตลอดเวลา แววตาดุดัน แฝงประกายคมกล้าประดุจเหยี่ยวร้าย น้ำเสียงทุ้มกังวาน วาจาขวานฝ่าซากไม่เกรงกลัวฟ้าดิน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่