"ผู้บริหารรถยนต์" วิจารณ์รถคันแรก ทวี มีเงิน คอลัมน์ เมืองไทย 25 น. ข่าวสด
ปีใหม่นี้ได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงบริษัทรถยนต์ท่านหนึ่งตามประสาคนเคารพนับถือจะเจอกันปีละครั้งนอกจากคุย สารทุกข์สุกดิบก็จะคุยถึงธุรกิจรถยนต์ เรื่องที่คุยกันไม่พ้นเรื่องนโยบายรถคันแรก ผลงานที่รัฐบาลภูมิใจนำเสนอกลายเป็น ทอล์กออฟเดอะทาวน์และวิวาทะข้ามปี ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ท่านนี้บอกว่าปีที่แล้วเป็น ปีทองคำฝังเพชร ของอุตสาหกรรมรถยนต์เพราะเป็นปีที่มียอดขายสูงที่สุดนับตั้งแต่ตั้งโรงงานในเมืองไทยเกือบๆ 50 ปี
นอกจากยอดขายดีที่สุดแล้วกำไรยังดีที่สุดเพราะนโยบายรัฐบาลเท่ากับช่วยส่งเสริมการขายไปในตัว บริษัทรถยนต์ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าโฆษณาค่าส่งเสริมการขายสักบาท ปกติทั่วไปจะต้องเสียค่าโฆษณาค่าส่งเสริมการขาย 1 หมื่นบาทต่อคัน นโยบายรถคันแรกทำให้บริษัทรถยนต์ประหยัดงบฯได้เฉลี่ยอีกคันละ 1 หมื่นบาทฟรีๆ
คิดดูยอดขายรถยนต์คันแรกราวๆ 1.2 ล้านคันฟันกำไรเหนาะๆ 1.2 หมื่นล้านบาทแบบเห็นๆ ยังไม่รวมถึงกำไรจากกรณีไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ ออปชั่น คนซื้อไม่สนใจขอแค่ให้ได้รถเร็วๆ ก็พอ เรียกว่าบริษัทรถยนต์ฟันกำไร 3 เด้งคือ กำไรจากการขายรถยนต์ กำไรที่ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา และกำไรจากกรณีไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ออปชั่นต่างๆ
ผู้บริหารท่านนั้นยังบอกว่าในฐานะนักธุรกิจก็ต้องบอกว่าบริษัทรถยนต์มีแต่ได้กับได้ ส่งผลดีกับอุตสาหกรรมรถยนต์แต่ในฐานะคนไทยเป็นห่วงว่าปัญหาตามมาอีกเพียบ จากคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีกำลังจะผ่อนส่งเพราะไม่ใช่แค่ซื้อรถแล้วจบแต่จะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมาก ทั้งค่าน้ำมัน ค่าดูแลรักษาต่างๆ อาจจะทิ้งรถกลางคัน ตอนนี้ผู้บริหารรถยนต์ทุกค่ายต่างจับตาดูว่ากระทรวงการคลังจะจ่ายเช็คคืนคนซื้อรถอย่างไร
ถ้าจ่ายเช็คครั้งเดียวฟันธงเลยว่าจะมีคนรับเช็คแล้วทิ้งรถหนี ได้ขับรถฟรี 1 ปียังได้เงิน 1 แสนบาทใส่กระเป๋าฟรีๆ กลายเป็นว่ารัฐบาลโดนหลอก ทางที่ดีควรทยอยจ่ายเป็นงวดๆ แทนและยังทิ้งท้ายอีกว่าจากการเช็กข้อมูลลูกค้า คนมาจองรถคันแรกส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใช่มีรถคันแรก เคยมีรถมาก่อนแล้วแต่ซื้อคันที่สองคันที่สามเพราะเงื่อนไขจูงใจโดยซิกแซ็กใส่ชื่อคนอื่นซื้อแทน รัฐบาลก็ต้องจ่ายค่าโง่ตามระเบียบ
รถคันแรกยังมีอะไรให้พูดถึงอีกเยอะเอาไว้โอกาส เหมาะๆ มาว่ากันต่อ
คุณรู้ไหม "ผู้บริหารรถยนต์" วิจารณ์รถคันแรก ว่าอย่างไร ???
ปีใหม่นี้ได้คุยกับผู้บริหารระดับสูงบริษัทรถยนต์ท่านหนึ่งตามประสาคนเคารพนับถือจะเจอกันปีละครั้งนอกจากคุย สารทุกข์สุกดิบก็จะคุยถึงธุรกิจรถยนต์ เรื่องที่คุยกันไม่พ้นเรื่องนโยบายรถคันแรก ผลงานที่รัฐบาลภูมิใจนำเสนอกลายเป็น ทอล์กออฟเดอะทาวน์และวิวาทะข้ามปี ผู้บริหารบริษัทรถยนต์ท่านนี้บอกว่าปีที่แล้วเป็น ปีทองคำฝังเพชร ของอุตสาหกรรมรถยนต์เพราะเป็นปีที่มียอดขายสูงที่สุดนับตั้งแต่ตั้งโรงงานในเมืองไทยเกือบๆ 50 ปี
นอกจากยอดขายดีที่สุดแล้วกำไรยังดีที่สุดเพราะนโยบายรัฐบาลเท่ากับช่วยส่งเสริมการขายไปในตัว บริษัทรถยนต์ไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าโฆษณาค่าส่งเสริมการขายสักบาท ปกติทั่วไปจะต้องเสียค่าโฆษณาค่าส่งเสริมการขาย 1 หมื่นบาทต่อคัน นโยบายรถคันแรกทำให้บริษัทรถยนต์ประหยัดงบฯได้เฉลี่ยอีกคันละ 1 หมื่นบาทฟรีๆ
คิดดูยอดขายรถยนต์คันแรกราวๆ 1.2 ล้านคันฟันกำไรเหนาะๆ 1.2 หมื่นล้านบาทแบบเห็นๆ ยังไม่รวมถึงกำไรจากกรณีไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ ออปชั่น คนซื้อไม่สนใจขอแค่ให้ได้รถเร็วๆ ก็พอ เรียกว่าบริษัทรถยนต์ฟันกำไร 3 เด้งคือ กำไรจากการขายรถยนต์ กำไรที่ไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณา และกำไรจากกรณีไม่ต้องติดตั้งอุปกรณ์ออปชั่นต่างๆ
ผู้บริหารท่านนั้นยังบอกว่าในฐานะนักธุรกิจก็ต้องบอกว่าบริษัทรถยนต์มีแต่ได้กับได้ ส่งผลดีกับอุตสาหกรรมรถยนต์แต่ในฐานะคนไทยเป็นห่วงว่าปัญหาตามมาอีกเพียบ จากคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีกำลังจะผ่อนส่งเพราะไม่ใช่แค่ซื้อรถแล้วจบแต่จะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมาก ทั้งค่าน้ำมัน ค่าดูแลรักษาต่างๆ อาจจะทิ้งรถกลางคัน ตอนนี้ผู้บริหารรถยนต์ทุกค่ายต่างจับตาดูว่ากระทรวงการคลังจะจ่ายเช็คคืนคนซื้อรถอย่างไร
ถ้าจ่ายเช็คครั้งเดียวฟันธงเลยว่าจะมีคนรับเช็คแล้วทิ้งรถหนี ได้ขับรถฟรี 1 ปียังได้เงิน 1 แสนบาทใส่กระเป๋าฟรีๆ กลายเป็นว่ารัฐบาลโดนหลอก ทางที่ดีควรทยอยจ่ายเป็นงวดๆ แทนและยังทิ้งท้ายอีกว่าจากการเช็กข้อมูลลูกค้า คนมาจองรถคันแรกส่วนหนึ่งซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ไม่ใช่มีรถคันแรก เคยมีรถมาก่อนแล้วแต่ซื้อคันที่สองคันที่สามเพราะเงื่อนไขจูงใจโดยซิกแซ็กใส่ชื่อคนอื่นซื้อแทน รัฐบาลก็ต้องจ่ายค่าโง่ตามระเบียบ
รถคันแรกยังมีอะไรให้พูดถึงอีกเยอะเอาไว้โอกาส เหมาะๆ มาว่ากันต่อ