จากลิงก์
http://www.thaicritic.com/?p=1368
ข้าพเจ้าอ่านแล้วคิดว่า ศาสตราจารย์เจตนา นาควัชระ ท่านไม่ควรจะเสียเวลาและเสียสุขภาพไปชม Zubin Mehta/ Israel PO ที่ท้องสนามหลวงในวันนั้นเสียเลยด้วยซ้ำไป...
นอกกว่าที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกขบขันไปกับอาการของหลายต่อหลายท่านที่พอจะทราบตัวตนของพวกเขาทั้งหลายอยู่บ้างว่าเป็นผู้ที่รักมักที่ชอบการฟัง Classical music แต่เขาก็มักจะเลือกไปชมการแสดงการบรรเลงของ "ดาราที่มีชื่อ" ในบางเวลาบางโอกาสในเชิงอวดโอ่เท่านั้น แล้ว -- ข้าพเจ้ายังรู้สึกแปลกใจที่เขายังกระ

กระสนที่จะไปชมสุบิน เมห์ทากลาง "ท้องสนามหลวง" อยู่ด้วย!
ดนตรีคลาสสิคของยุโรปก็เหมือนกันกับวัฒนธรรมดนตรีที่พัฒนามาจากดนตรีรับใช้ศาสนาในหลายๆ ที่ นั่นคือ เป็นดนตรีที่ต้องอาศัย Sonority และ Reverberation ของห้องโถงที่มีขนาดและพื้นที่พอเหมาะพอสม -- เครื่องดนตรีที่อาศัยการกำทอนโดยปล่องลม, ท่อลม, ช่องทึบเก็บลม หรือ บรรยากาศแห่งลม จึงจะสามารถเปล่งประสิทธิภาพการก้องกังวานและเดินทางผ่านอากาศมาสู่ผู้ฟังภายในสถานที่ที่เหมาะสมทั้งพื้นที่และขนาดได้
ความทุกข์หลักที่รบกวนใจของอาจารย์เจตนาในเหตุการณ์ของวันนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ
ประการแรก -- เครื่องขยายสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความผิดเพี้ยนบิดเบือนสูง (อันไม่ควรปรากฏตัวตนเป็นหลักในวัฒนธรรมดนตรีคลาสสิก)
ประการที่สอง -- สาส์นอันสุนทรและสันทัดของคู่ศิลปินเดี่ยวผู้บรรเลงงานของ Mozart อย่างเหนื่อยหนัก ไปไม่ถึงเหล่าชนผู้มาชมบารมีของท่านวาทยกร
ประการที่สาม -- การตีความ Symphony No. 1 ของ Brahms ที่เป็นไปในลักษณะของดนตรีสำหรับการรบทัพจับศึก -- เรื่องเศร้าก็คือ เมห์ทาและอิสราเอลฟิลฮาร์มอนิกร่วมกับท่านผู้จัดงานชาวไทยด้วย ได้นำบราห์มส์มาฆ่าทิ้งกลางทุ่งพระเมรุเสียแล้ว...
ประการที่สี่ -- จำนวนเงินทั้งรายรับและรายจ่ายสำหรับงานในครั้งนี้ สามารถนำมาจัดการศึกษาวิชาการดนตรีที่มีคุณภาพให้แก่เยาวชนได้อย่างกว้างขวางและมีรูปธรรม
ประการที่ห้า -- ลักษณาการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างเหล่าชนผู้ที่โอ่อ่าอยู่กลางท้องสนามหลวง (หรือแม้กระทั่งโอ่อ้างว่าอยากจะเข้าไปยังใจกลางสนามหลวงในวันนั้น) กับเหล่าชนผู้ยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติบนท้องถนนรอบๆ หรือป้ายรถเมล์ ได้เกิดขึ้นอย่างมึนตึงและเย็นชา (จริงๆ พวกเขาล้วนอยู่กันคนละโลกย์อยู่แล้ว)
ประการสุดท้าย -- 30 กว่าปีแล้ว ที่ผู้เขียน (อาจารย์เจตนา) ยังไม่พบว่า ดนตรีเป็นสมบัติของมวลมหาชน ไม่ว่าจะโดยแท้จริงหรือโดยอุปมา
ข้าพเจ้าอ่านบทความวิพากษ์วิจารณ์ของศาสตราจารย์เจตนา นาควัชระในครั้งนี้ด้วยอาการเคารพ อย่างน้อยที่สุดก็คือ ท่านได้สละเวลามาแบ่งปันทั้งประสบการณ์เชิงประจักษภาพ และอย่างมากที่สุดก็คือ ท่านได้แบ่งปันความคิดเห็นในทางวัฒนธรรมวิจักขณ์ ซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในดินแดนแห่งนี้...
^______________^
### === > ศาสตราจารย์เจตนา นาควัชระ กับ Israel Philharmonic Orchestra ของ Zubin Mehta กลางท้องสนามหลวง < === ###
ข้าพเจ้าอ่านแล้วคิดว่า ศาสตราจารย์เจตนา นาควัชระ ท่านไม่ควรจะเสียเวลาและเสียสุขภาพไปชม Zubin Mehta/ Israel PO ที่ท้องสนามหลวงในวันนั้นเสียเลยด้วยซ้ำไป...
นอกกว่าที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกขบขันไปกับอาการของหลายต่อหลายท่านที่พอจะทราบตัวตนของพวกเขาทั้งหลายอยู่บ้างว่าเป็นผู้ที่รักมักที่ชอบการฟัง Classical music แต่เขาก็มักจะเลือกไปชมการแสดงการบรรเลงของ "ดาราที่มีชื่อ" ในบางเวลาบางโอกาสในเชิงอวดโอ่เท่านั้น แล้ว -- ข้าพเจ้ายังรู้สึกแปลกใจที่เขายังกระ
ดนตรีคลาสสิคของยุโรปก็เหมือนกันกับวัฒนธรรมดนตรีที่พัฒนามาจากดนตรีรับใช้ศาสนาในหลายๆ ที่ นั่นคือ เป็นดนตรีที่ต้องอาศัย Sonority และ Reverberation ของห้องโถงที่มีขนาดและพื้นที่พอเหมาะพอสม -- เครื่องดนตรีที่อาศัยการกำทอนโดยปล่องลม, ท่อลม, ช่องทึบเก็บลม หรือ บรรยากาศแห่งลม จึงจะสามารถเปล่งประสิทธิภาพการก้องกังวานและเดินทางผ่านอากาศมาสู่ผู้ฟังภายในสถานที่ที่เหมาะสมทั้งพื้นที่และขนาดได้
ความทุกข์หลักที่รบกวนใจของอาจารย์เจตนาในเหตุการณ์ของวันนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายประการ
ประการแรก -- เครื่องขยายสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความผิดเพี้ยนบิดเบือนสูง (อันไม่ควรปรากฏตัวตนเป็นหลักในวัฒนธรรมดนตรีคลาสสิก)
ประการที่สอง -- สาส์นอันสุนทรและสันทัดของคู่ศิลปินเดี่ยวผู้บรรเลงงานของ Mozart อย่างเหนื่อยหนัก ไปไม่ถึงเหล่าชนผู้มาชมบารมีของท่านวาทยกร
ประการที่สาม -- การตีความ Symphony No. 1 ของ Brahms ที่เป็นไปในลักษณะของดนตรีสำหรับการรบทัพจับศึก -- เรื่องเศร้าก็คือ เมห์ทาและอิสราเอลฟิลฮาร์มอนิกร่วมกับท่านผู้จัดงานชาวไทยด้วย ได้นำบราห์มส์มาฆ่าทิ้งกลางทุ่งพระเมรุเสียแล้ว...
ประการที่สี่ -- จำนวนเงินทั้งรายรับและรายจ่ายสำหรับงานในครั้งนี้ สามารถนำมาจัดการศึกษาวิชาการดนตรีที่มีคุณภาพให้แก่เยาวชนได้อย่างกว้างขวางและมีรูปธรรม
ประการที่ห้า -- ลักษณาการแบ่งแยกชนชั้นระหว่างเหล่าชนผู้ที่โอ่อ่าอยู่กลางท้องสนามหลวง (หรือแม้กระทั่งโอ่อ้างว่าอยากจะเข้าไปยังใจกลางสนามหลวงในวันนั้น) กับเหล่าชนผู้ยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติบนท้องถนนรอบๆ หรือป้ายรถเมล์ ได้เกิดขึ้นอย่างมึนตึงและเย็นชา (จริงๆ พวกเขาล้วนอยู่กันคนละโลกย์อยู่แล้ว)
ประการสุดท้าย -- 30 กว่าปีแล้ว ที่ผู้เขียน (อาจารย์เจตนา) ยังไม่พบว่า ดนตรีเป็นสมบัติของมวลมหาชน ไม่ว่าจะโดยแท้จริงหรือโดยอุปมา
ข้าพเจ้าอ่านบทความวิพากษ์วิจารณ์ของศาสตราจารย์เจตนา นาควัชระในครั้งนี้ด้วยอาการเคารพ อย่างน้อยที่สุดก็คือ ท่านได้สละเวลามาแบ่งปันทั้งประสบการณ์เชิงประจักษภาพ และอย่างมากที่สุดก็คือ ท่านได้แบ่งปันความคิดเห็นในทางวัฒนธรรมวิจักขณ์ ซึ่งหาได้ยากยิ่งนักในดินแดนแห่งนี้...
^______________^