ข่าวเด่นสายการเงิน

กระทู้สนทนา
วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม 2012 เวลา 10:20 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ ข่าวหน้า1 - คอลัมน์ : ข่าวหน้า1


หลังจากลุ้นตัวโก่งในรอบปี2555 โดยเฉพาะความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและประเทศอุตสาหกรรมหลัก "ระเบิดเวลา"ที่หลายคนจับตาตลอดปีมะโรง  ในที่สุดเศรษฐกิจไทยก็ก้าวมาถึงไตรมาสสุดท้ายของปี

ขณะที่เหตุการณ์ภายในประเทศเริ่มคึกคักซู่ซ่า "ฐานเศรษฐกิจ" จึงรวบรวม 10 ปรากฏการณ์ข่าว ความเคลื่อนไหวในพื้นที่ข่าวการเงิน การคลังและประกันประจำปีดังนี้...  

    +++ปรับลดภาษีเงินได้อัตรา 5-35%

     กระทรวงการคลังปิดฉากปี 2555 สุดเซอร์ไพรส์ ด้วย "การปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา"  นับเป็นของขวัญชิ้นใหญ่รับปีงูเล็ก สำหรับประชาชนผู้เสียภาษี ในรอบ 20 ปี  โดยเฉพาะการเพิ่มช่วงความถี่มากเป็น 7ขั้นจากเดิม 5 ขั้น ลดอัตราภาษี 10% เหลือ 5% , ลดอัตราภาษี 20% เหลือ 15% ,ลดอัตราภาษี 30% เหลือ 25% และลดอัตราภาษีสูงสุด 37% เหลือ 35%  พร้อมกับยังคงยกเว้น ภาษีเงินได้สุทธิ 150,000 บาทแรกไว้เช่นเดิมนั้น  ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์ ถึงมาตรการที่รัฐยอม "ลด"  เพื่อ "แลก" เรตติ้งจากคนชั้นกลางและคนรวยถ้วนหน้า  แถมเสียงเล็ดลอดให้พึงระวัง ถ้าปีหน้ารัฐกระเป๋าฉีก  คงต้องถึงเวลาที่รัฐใช้จังหวะขอคืน...อย่าลืม  "ของฟรีไม่มีในโลก"  

+++คืนเงินภาษีรถคันแรก

    ส่วนข่าวยอดฮิต ต้องยกให้ "มาตรการคืนเงินภาษีรถคันแรก" ไม่เกิน 1 แสนบาท ที่สร้างปรากฏการณ์ คนแห่ยื่นขอใช้สิทธิ์อย่างล้นหลาม ยิ่งในช่วงสุดท้ายของปีนี้ หลังจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติขยายเวลาโครงการถึงสิ้นปี  นอกจากเป็นข่าวกระตุ้นตลาดรถยนต์ให้คึกคักแล้ว ผลจากยอดขายรถยนต์ที่ทะลุ 1.2ล้านคันจากเป้าเดิมแค่ 5 แสนคันแถมเงินคืนภาษีรวมกว่า 8หมื่นล้านบาท จากเดิมวางไว้แค่ 3 หมื่นล้านบาท รถคันแรกจึงเป็นโครงการถูกจับตาให้คนใช้จ่ายเกินตัวอาจกลายเป็นปัญหากับระบบทั้งสถานการณ์จราจรติดหนึบ....หรือคนทิ้งรถเหตุชักหน้าไม่ถึงหลัง  และการควักเงินภาษีแจกประชานิยมอาจทำให้หนี้ภาครัฐหมักหมม  แต่ทั้งรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังต่างยืนยันเสียงประสานว่า โครงการรถคันแรกจะทำให้คนไทยขยันมากขึ้น  เพราะความต้องการมีรถคันแรกมาเพื่อประกอบอาชีพและใช้ในชีวิตประจำวัน

++++แบงก์ชาติหักปากกาเซียน

    เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หักปากกาเซียน  ด้วยมติ 5 ต่อ 2 เสียงให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย(อาร์/พี)จาก 3% เหลือ 2.75% ในการประชุมวันที่ 17 ตุลาคม 2555 ทั้งๆ ที่ก่อนหน้ากูรูหลายสำนักมีความเห็นที่ตรงกันว่ากนง.น่าจะคงอาร์/พีที่อัตรา3% ซึ่งภายหลังการประกาศปรับลดอาร์/พีครั้งนี้  อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรทั้งระยะสั้นและยาวลดฮวบฮาบสะท้อนถึงความ "เซอร์ไพร์ส" อย่างจัง  โดยคำถามมากมายถูกยิงไปที่ธปท.ถึงความเหมาะสมในการงัดกระสุนออกมาใช้ ทั้งประเด็นการสกัดการไหลเข้าเก็งกำไรของเงินทุนต่างชาติ การปรับลดเพื่อลดผลขาดทุนของธปท.เอง แม้ธปท.จะยืนยันว่าอัตราดอกเบี้ยระดับดังกล่าวถือมีความเหมาะสมแล้วก็ตาม

    ส่วนเหตุผลหลักของกนง.คือเศรษฐกิจโลกย่ำแย่  แม้เศรษฐกิจภายในจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี จึงจำเป็นต้องซื้อประกันความเสี่ยงป้องกันภัยไว้ก่อน แต่จุดที่น่าสนใจคือปัจจัยภายในและภายนอกประเทศไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากการประชุมครั้งก่อนหน้ามากนัก อีกทั้งในช่วงก่อนหน้าธปท.ยังส่งสัญญาณว่าไม่มีความจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงแต่อย่างใด

+++ลุ้นไทยหลุดบ่วงฟอกเงิน FATF

    อีกปรากฏการณ์ที่ทั้งตลาดเงินและตลาดทุนเฝ้าลุ้นมาทั้งปีแต่ยังไม่มีความคืบหน้า  คือ ความพยายามสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ในการผลักดันกฎหมาย  2 ฉบับ คือ ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าพ.ศ. ... และร่างพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายพ.ศ. ...ตามที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อดำเนินมาตรการทางการเงิน (Financial Action Task Force) หรือ FATF เรียกร้องให้ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีข้อบกพร่องด้านการระบุและอายัดทรัพย์สินของผู้ก่อการร้ายอย่างเพียงพอ(AML/CFT)โดยขาดกฎหมาย และมาตรการเพื่อการต่อต้านการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้ายนั้น

    ขณะที่ต้นปี2556 ปปง.เตรียมประกาศใช้มาตรการCleaning Dayเพื่อให้สถาบันการเงินไทยปลอดจากการฟอกเงิน คือ ไม่มีการเปิดบัญชีเพื่อการฟอกเงิน  ซึ่งเป็นขั้นตอนรองรับการประชุมFATFที่จะมีขึ้นระหว่าง 16-18กุมภาพันธ์ 2556โดยต้องเร่งผลักดัน 2ร่างกฎหมายให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเสร็จและมีผลบังคับใช้ทันทีเพื่อให้ไทยผ่านพ้นจากประเทศที่ถูกFATFจับตา

+++สกัดคนอเมริกันเลี่ยงภาษี

      นับเป็นประเด็นค้างปีและเป็นโจทย์ให้ภาคการเงินการคลังของไทยต้องเร่งรับมือ "กฎหมายการรายงานข้อมูลการลงทุนในต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาหรือFAT-CA(Foreign Account Tax Compliance Act)ที่สหรัฐอเมริกาขอความร่วมมือจากธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อให้รายงานธุรกรรมทางการเงินของผู้มีสัญชาติอเมริกันไปยังรัฐบาลสหรัฐฯ  ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อสถาบันการเงินทุกประเทศทั่วโลก รวมทั้งสถาบันการเงินไทย ที่ต้องทำข้อตกลงรายงานข้อมูลการลงทุนของนักลงทุนสัญชาติอเมริกันกลับไปยังกรมสรรพากรของสหรัฐฯเพื่อป้องกันกรณีเลี่ยงจ่ายภาษี
    สำหรับประเทศไทยขณะนี้ธปท. อยู่ในขั้นหารือระหว่างรัฐต่อรัฐโดยธปท.จะนำเสนอกระทรวงการคลังต่อไป

++++ "รัตนรักษ์"กอดหุ้นแบงก์กรุงศรีฯ

    ความเคลื่อนไหวการทำรายการซื้อหุ้นธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน)(บมจ.) 2ครั้งปลายปีที่ผ่านมาคือ การซื้อหุ้นผ่านกระดานรายใหญ่(บิ๊กล็อต)อีก 1.7 ล้านหุ้นมูลค่า 52.27 ล้านบาท ที่ราคาเฉลี่ย 30.75บาท หลังจากกลุ่มจีอี แคปปิตอล อินเตอร์เนชั่นแนล โฮลดิ้งส์ คอร์ปอเรชั่น ประกาศขายหุ้นล็อตแรก ในสัดส่วน 7.6%  ทำให้ "กลุ่มรัตนรักษ์" ผู้ถือหุ้นหลักตกเป็นเป้าสายตาว่าจะกลับมาถือหุ้นที่เหลือของกลุ่มจีอีที่ถืออยู่ประมาณ 25%หรือไม่ (ปี2550จีอีเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วน 34.92%) ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่ากลุ่มจีอีมีการเจรจาขายหุ้นดังกล่าวกับสถาบันการเงินอีก 4 แห่งคือ แบงก์ซีไอเอ็มบีมาเลเซีย  แบงก์โอซีบีซีสิงคโปร์ แบงก์ญี่ปุ่นและเมย์แบงก์
++++กลุ่มพรูเด็นเชียลซื้อหุ้นธนชาต

    เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทพรูเด็นเชียลประกันชีวิต(ประเทศไทย)ฯเข้าซื้อหุ้นบริษัทธนชาตประกันชีวิต จำกัด จากธนาคารธนชาตจำกัด(มหาชน) ในสัดส่วน 100% มูลค่ารวม 17,500 ล้านบาท  โดยเป็นการซื้อหุ้นในราคาปรับเพิ่มด้วยมูลค่าทางบัญชีของธนชาตประกันชีวิต ณ ก่อนวันที่มีการชำระราคาค่าหุ้นและโอนหุ้นตามเงื่อนไขที่ตกลงกันและค่าตอบแทนอีก 500 ล้านบาท หลังจากที่มีการชำระค่าหุ้น และโอนหุ้นแล้ว 12 เดือน
    สำหรับการซื้อขายหุ้นดังกล่าว มีเงื่อนไขให้บมจ.ธนาคารธนชาตต้องขายประกันให้กับกลุ่มพรูเด็นเชียลผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันซ์เป็นเวลา 15 ปี โดยห้ามขายประกันให้กับค่ายอื่น ขณะที่วงการจับตาบมจ.ธนาคารธนชาตว่าจะตัดสินใจอย่างไรกับบริษัทประกันชีวิตนครหลวงไทยที่ธนาคารถือหุ้นทั้ง 100%

+++อาคเนย์สนซื้อหุ้นING

    ช้างไม่ทิ้งลาย!  เมื่อ "โชติพัฒน์  พีชานนท์" ประธานกรรมการบริหารอาคเนย์ กลุ่มธุรกิจประกันและการเงิน บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด(มหาชน) ลูกเขยเบียร์ช้างเปิดตัวอย่างเป็นทางการว่าสนใจจะซื้อหุ้น ING เพื่อต่อยอดธุรกิจประกันชีวิตผ่าน บริษัทแปซิฟิค เซ็นจูรี่ กรุ๊ป(พีซีจี)ฯ ซึ่งเป็นธุรกิจของกลุ่มนายริชาร์ด ลี ผู้ดำเนินธุรกิจบริการการเงิน อสังหาริมทรัพย์ สื่อดาวเทียม บริการโทรคมนาคมในเอเชีย และเป็นบริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดของฮ่องกง และยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ไพน์บริดส์ อินเวสต์เม้นท์ฯ ที่บริหารสินทรัพย์กว่า 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

    การแสดงความสนใจซื้อธุรกิจประกันชีวิตครั้งนี้ เป็นไปตามคาดหมายของวงการประกันชีวิต  เพราะตั้งแต่ต้นปีเจ้าสัวเบียร์ช้าง "เจริญ  สิริวัฒนภักดี" ออกหน้าเดินสายช็อปไปหลายธุรกิจ  ขณะที่ธุรกิจประกันนั้นที่ผ่านมาอาคเนย์ยังไม่มีช่องทางแบงก์แอสชัวรันซ์  ซึ่งเป็นโมเดลด่านหน้าในการทำตลาดและการขาย  และธนาคารทหารไทย ก็เป็นธนาคารชั้นนำของไทย จึงเป็นแรงดึงดูดให้อาคเนย์พุ่งเป้าเข้ามาเป็นหุ้นส่วน  ด้วยเป้าหมายที่จะยกระดับอาคเนย์ขึ้นแท่น  1ใน 3 ของธุรกิจประกันภัยชั้นนำของไทยโดยอาคเนย์กำลังเดินเครื่องเจรจาดีลดังกล่าวตามคำแนะนำของที่ปรึกษา  "บอสตัน คอนซัลแตนต์"
คาดว่าครึ่งแรกของปี 2556 แผนควบรวมกิจการหรือซื้อขายหุ้นดังกล่าวน่าจะคืบหน้าเป็นรูปธรรม เพราะแนวโน้มธุรกิจประกันใครก้าวช้าอาจเสียแชมป์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2,805
วันที่  30  ธันวาคม พ.ศ. 2555 - 2  มกราคม พ.ศ. 2555
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่