วันนี้พาน้ำซำน้ำซองไปพบสองหมอ
ขอเล่าเรื่องหมอด้านโภชนาการเด็กก่อน
อันนี้ก็พอทำใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนหมอใช้จิตวิทยาเรื่องปล่อยให้ลูกอ้วน บอกกับพ่อไอ้แฝดไว้แล้วว่าเตรียมตัวเลย แต่พอไปถึงมันเลวร้ายกว่าที่คิดไว้เยอะมาก
พอไปถึงหมอก็ถามน้ำหนักก่...อนเลยพอรู้น้ำหนัก หมอก็ขอดูด้านหลังคอ ซึ่งมันจะมีคราบเหมือนขี้ไครดำๆเริ่มขึ้นจางๆบ้างแล้ว หมอถามแม่ว่า "รู้ไม๊มันคืออะไรคะ คุณแม่" อันนี้หาข้อมูลมาพอสมควรเลยตอบไปว่า "อาการเริ่มแรกของการเป็นเบาหวาน" หมอก็ว่าใช่ค่ะ
หลังจากนั้นก็ขอดูขา หมอว่าขาเริ่มโกง เป็นเหมือนตัวเอ็กซ์หน่อยๆแล้วเพราะรับน้ำหนักเยอะ หลังจากนั้นก็มาเลย
ใช้จิตวิทยามาไซโคลแม่กับพ่ออย่างเดียว
พอมานั่งนึกดู หมอเด็กที่ไปเรียนต่อด้านโภชนาการเด็ก เขาคงมีวิชาหลักอยู่วิชาหนึ่งที่ต้องเรียนและต้องผ่านคือวิชา "การด่าพ่อแม่ของเด็กอย่างสุภาพและฟังดูดี"
และคงมีวิชาเลือกที่หมอได้เลือกเรียนมาคือ "การพูดให้ฟังดูน่ากลัวเพื่อให้พ่อแม่ยอมปฎิบัติตาม"
ไม่ว่าจะเป็น
"คุณแม่คะ ลูกคุณแม่ไม่ได้แค่อ้วนธรรมดานะคะ แล้วก็ไม่ได้อ้วนมาก ไม่ได้อ้วนรุนแรง แต่มันเป็นการอ้วนแบบร้ายแรง ซึ่งมันอาจทำให้น้องเขาไม่ได้ตื่นมาเห็นหน้าแม่อีกเลยก็ได้" ดอกที่หนึ่งผ่านไป
"ไม่ต้องให้ตังค์ไปโรงเรียน และถ้าเขาไปยืมเงินเพื่อนก็บอกคุณครูไว้เลยว่าจะไม่คืน ร้านค้าก็บอกไว้เลยว่าไม่จ่ายถ้าน้องไปเอาขนมมากิน และถ้าใครให้ขนมหรือน้ำหวานก็บอกไปเลยว่า คุณกำลังทำร้ายลูกดิฉันอยู่" ดอกที่สองตามมา
"สิ่งที่คุณแม่ทำอยู่คือการป้อนยาพิษให้น้องเขาวันละนิดๆ คุณแม่รู้ตัวไม๊ค่ะ" มันคือดอกที่สาม
และยังมีดอกที่สี่ ห้า หก ตามมา ตลอดระยะเวลาที่คุยกันครึ่งชั่วโมง
หลังจากเลิกคุยกัน หมอถามว่าหมอปิยวรรณนัดวันไหน เราก็ว่าเดือน พ.ค. คุณหมอว่านานไปถ้าจะนัดมาพร้อมกัน คุณแม่อาจลืม และเพลอเรอ ขอนัดเป็นปลาย มี.ค. อีกที
ของแบบนี้มันต้องมีคนพูดให้จำใส่หัวไว้ตลอดเวลาว่างั้น
เอาเลยค่ะ คุณหมออยากจัดอะไรก็จัดมาน้อมรับไปปฏิบัติค่ะ
เรื่องเล่า...เมื่อลูกอ้วน
ขอเล่าเรื่องหมอด้านโภชนาการเด็กก่อน
อันนี้ก็พอทำใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนหมอใช้จิตวิทยาเรื่องปล่อยให้ลูกอ้วน บอกกับพ่อไอ้แฝดไว้แล้วว่าเตรียมตัวเลย แต่พอไปถึงมันเลวร้ายกว่าที่คิดไว้เยอะมาก
พอไปถึงหมอก็ถามน้ำหนักก่...อนเลยพอรู้น้ำหนัก หมอก็ขอดูด้านหลังคอ ซึ่งมันจะมีคราบเหมือนขี้ไครดำๆเริ่มขึ้นจางๆบ้างแล้ว หมอถามแม่ว่า "รู้ไม๊มันคืออะไรคะ คุณแม่" อันนี้หาข้อมูลมาพอสมควรเลยตอบไปว่า "อาการเริ่มแรกของการเป็นเบาหวาน" หมอก็ว่าใช่ค่ะ
หลังจากนั้นก็ขอดูขา หมอว่าขาเริ่มโกง เป็นเหมือนตัวเอ็กซ์หน่อยๆแล้วเพราะรับน้ำหนักเยอะ หลังจากนั้นก็มาเลย
ใช้จิตวิทยามาไซโคลแม่กับพ่ออย่างเดียว
พอมานั่งนึกดู หมอเด็กที่ไปเรียนต่อด้านโภชนาการเด็ก เขาคงมีวิชาหลักอยู่วิชาหนึ่งที่ต้องเรียนและต้องผ่านคือวิชา "การด่าพ่อแม่ของเด็กอย่างสุภาพและฟังดูดี"
และคงมีวิชาเลือกที่หมอได้เลือกเรียนมาคือ "การพูดให้ฟังดูน่ากลัวเพื่อให้พ่อแม่ยอมปฎิบัติตาม"
ไม่ว่าจะเป็น
"คุณแม่คะ ลูกคุณแม่ไม่ได้แค่อ้วนธรรมดานะคะ แล้วก็ไม่ได้อ้วนมาก ไม่ได้อ้วนรุนแรง แต่มันเป็นการอ้วนแบบร้ายแรง ซึ่งมันอาจทำให้น้องเขาไม่ได้ตื่นมาเห็นหน้าแม่อีกเลยก็ได้" ดอกที่หนึ่งผ่านไป
"ไม่ต้องให้ตังค์ไปโรงเรียน และถ้าเขาไปยืมเงินเพื่อนก็บอกคุณครูไว้เลยว่าจะไม่คืน ร้านค้าก็บอกไว้เลยว่าไม่จ่ายถ้าน้องไปเอาขนมมากิน และถ้าใครให้ขนมหรือน้ำหวานก็บอกไปเลยว่า คุณกำลังทำร้ายลูกดิฉันอยู่" ดอกที่สองตามมา
"สิ่งที่คุณแม่ทำอยู่คือการป้อนยาพิษให้น้องเขาวันละนิดๆ คุณแม่รู้ตัวไม๊ค่ะ" มันคือดอกที่สาม
และยังมีดอกที่สี่ ห้า หก ตามมา ตลอดระยะเวลาที่คุยกันครึ่งชั่วโมง
หลังจากเลิกคุยกัน หมอถามว่าหมอปิยวรรณนัดวันไหน เราก็ว่าเดือน พ.ค. คุณหมอว่านานไปถ้าจะนัดมาพร้อมกัน คุณแม่อาจลืม และเพลอเรอ ขอนัดเป็นปลาย มี.ค. อีกที
ของแบบนี้มันต้องมีคนพูดให้จำใส่หัวไว้ตลอดเวลาว่างั้น
เอาเลยค่ะ คุณหมออยากจัดอะไรก็จัดมาน้อมรับไปปฏิบัติค่ะ