นโยบายของธ.ไทยพาณิชย์แต่ละสาขาต่างกัน?

กระทู้สนทนา
ผู้ให้คำปรึกษาและเป็นพนักงานธนาคารท่านนึง แนะนำให้เรามาขอคำชี้แนะจากผู้รู้ในห้องนี้ เพราะเหตุการณ์ของเราอาจเป็นกรณีศึกษาที่เป็นแนวทางต่อไปได้ ทั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาจะนำมาซึ่งความเดือดร้อนให้ใครทั้งสิ้นนะคะ เรื่องมีอยู่ว่า  
เมื่อวันที่ 22 พ.ย.55 เราถูกมิจฉาชีพที่โจรกรรมข้อมูลร้านค้าที่สั่งของไว้หลอกให้โอนเงิน และรู้ตัวหลังจากนั้นแทบจะทันที เพราะเจ้าของตัวจริงรีบติดต่อมา  โดยมีไฟล์บัตรประชาชนชื่อเดียวกับบัญชีปลายทางเป็นหลักฐาน   เรารีบไปติดต่อธนาคารเพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่แนะนำว่าถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นมิจฉาชีพจริง ให้แจ้งและส่งเอกสาร (1) ที่จำเป็นเรื่องการโอนผิดบัญชีกับคอลเซ็นเตอร์ไว้ก่อน หรือมีเอกสารในการดำเนินคดีว่าเป็นมิจฉาชีพจริง ให้รีบนำมายืนยัน เพราะธนาคารมีนโยบายบรรเทาความเสียหายจากมิจฉาชีพอยู่
เราคิดว่าอย่างหลังมีความหวังมากกว่า เลยดำเนินคดีเพื่อจะได้เอกสาร (2) มายืนยันกับธนาคาร ขอความอนุเคราะห์ระงับการถอนเงินรายการที่เราโอนไปจนกว่าคดีจะสิ้นสุด เจ้าหน้าที่ไทยพาณิชย์จึงทำการระงับให้ก่อนในขั้นต้น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสาขาปลายทางด้วย เราเลยขอรายละเอียดสาขาปลายทาง ระบุที่ไทยพาณิชย์ สาขา โลตัส รังสิต เพื่อติดต่อและนำส่งเอกสาร (3) ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบัญชีปลายทางเป็นมิจฉาชีพจริงๆ
เช้าวันต่อมา ผช.ผจก.ไทยพาณิชย์ สาขาโลตัส ได้โทรกลับมาแจ้ง(ที่เราจำได้ขึ้นใจ)ว่า
จากการปรึกษาทนาย ธนาคารไม่สามารถดำเนินการตามที่คุณร้องขอได้ เนื่องจากไม่ใช่หมายศาลหรือหมายสรรพากร ธนาคารถือว่าไม่รับรู้ในการทำธุรกรรมใดๆของลูกค้า หากต้องการดำเนินการระงับไว้ชั่วคราว ต้องเป็นหมายเรียกพยานเอกสารตัวจริงที่มี ครุฑและตราประทับ พร้อมทั้งกำกับว่า ออกโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มายื่นให้กับผู้จัดการโดยตรง
ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าหมายเรียกพยานเอกสารคืออะไร แต่คงจะได้ง่ายกว่าหมายศาล หรือหมายสรรพากรแน่ๆ เลยกลับไปที่โรงพักอีกครั้ง ถึงรู้ว่าหมายดังกล่าวคือการดำเนินคดีเต็มรูปแบบ ต้องมีการสอบปากคำและรับรองโดยผู้กำกับ ระหว่างนั้นธนาคารที่ระงับให้ก็โทรมาบอกว่าเจ้าของบัญชีปลายทางติดต่อมาแล้วนะ และถ้าไม่ยกเลิกการระงับภายในเย็นนี้ เค้าจะตั้งทนายฟ้องสาขาที่ระงับรายการ (มันแน่มากๆ) เราเลยขอร้องให้ ตำรวจผู้รับผิดชอบคดีเรา โทรแจ้งทั้งสองสาขาว่ากำลังจัดทำหมายฯอยู่จริง และจะให้เรานำไปให้ก่อนเวลาปิดทำการแน่นอน (หมายถึงเราต้องไปด้วยตัวเองนะ)
ระหว่างทางไปเจ้าหน้าที่สาขาที่ระงับก็โทรมาอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้เจ้าของบัญชีโทรไปร้องเรียนกับสำนักงานใหญ่แล้ว (หมายถึงเราทำให้เค้าเดือดร้อน)  แม้จะทุลักทุเลเราก็มาถึงโลตัสรังสิต  ผช.ผจก.บอกกับเราว่าพึ่งวางสายกับเจ้าของบัญชี และสอบถามถึงที่มาของเงินจำนวนดังกล่าว โดยเจ้าของบัญชีตอบว่าไม่แน่ใจ แต่คงมาจากการซื้อขาย ( เงินโอนเข้านี่มันเดาได้ด้วย)  ซึ่งธนาคารแจ้งแล้วว่าไม่รับรู้การทำธุรกรรมใดๆของลูกค้า ส่วนหมายเรียกพยานเอกสารที่เรานำมาไม่สามารถระงับรายการโอนได้ เพราะว่าเรียกพยานเอกสารตามระบุจากธนาคารเฉยๆ และบอกแล้วว่าจะระงับรายการโอนได้ต้องใช้หมายศาลหรือหมายสรรพากรเท่านั้น ที่จริงส่งไปรษณีย์ก็ได้ จากนั้นก็ขอตัวไปยกเลิกการระงับรายการ (อืมมมม ที่สุดของแจ้)
กลับมาที่ปัจจุบันหลังจากผ่านมา 32 วัน และติดตามความคืบหน้าไม่หยุดหย่อน จนเจ้าหน้าที่ CC ชื่อดวงใจวีนใส่เราอยู่ไม่น้อย  ก็ได้รับการยืนยันแล้วว่า ไม่สามารถติดต่อกับเจ้าของบัญชีปลายทางได้ ธนาคารยินดีให้ข้อมูลสำหรับการดำเนินคดี (อืมมมม ที่สุดของแจ้)
แม้พยายามทำความเข้าใจแล้ว แต่มันก็ทำใจไม่ได้  ความรู้สึกเราตอนนั้นเหมือนธนาคารฯอำนวยความสะดวกให้มิจฉาชีพมากกว่าเรา เราไม่ได้ขอให้ธนาคารดึงเงินคืนเดี๋ยวนั้น เราเข้าใจดีว่ามันไม่สามารถทำได้ แค่พักไว้ก่อน ให้เราได้อุ่นใจว่าเงินของเรายังไม่ถูกกดไป มันทำไม่ได้เลยจริงๆหรือคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่