เมื่อเช้าดูทีวีช่อง 5 ออกข่าวเชิงกระแนะกระแหนว่าเงินคือภาษีรถยนต์คันแรกกว่า 8 หมื่นล้านบาทจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
เอาไปทำสนามบินสุวรณภูมิเฟส 2 บ้าง
เอาไปทำรถไฟฟ้าสายสัโน้นสีนี้บ้าง
เสียดายเงินภาษีที่รัฐต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ความจริงถ้าคุณคิดให้รอบด้านจะพบว่า เงินภาษีจำนวน 8 หมื่นล้านบาทนี้ ร้อยละ 90 หรือ 90 % เป็นเงินที่"ไม่มีอยู่จริง"
ทำไมถึงไม่มีอยู่จริง
เพราะเงินภาษีดังกล่าวเป็นภาษีสรรพสามิตที่เกิดขึ้นจากการเก็บภาษีหน้าโรงงานผลิตรถยนต์ ตราบใดที่ไม่มีการซื้อขายรถยนต์ ตราบนั้นเงินภาษีสรรพสามิตนี้ก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นภาษีนี้จึง"ไม่มีตัวตน และไม่มีอยู่จริง" หากไม่มีโครงการนี้ รถยนต์อีโคคาร์น่าจะมียอดจำหน่ายเพียง 10 % ของยอดขายจริง และรัฐก็คงจะได้เงิน"ภาษีสรรพสามิต"ที่ว่าประมาณ 8 พันล้านบาท ไม่ใช่ 8 หมื่นล้านบาทตามที่ผู้รายงานข่าวคิด
พูดง่ายๆคือรัฐให้"สิทธิ"ผู้ซื้อรถยนต์ที่มีคุณลักษณะตามที่รัฐกำหนดจะได้รับการ"ยกเว้น"ภาษีสรรพสามิต โดยวิธีการคืนภาษีให้ผู้ซื้อทีหลังนั่นเอง
ทีวีช่องนี้ยังอุตส่าห์ไปสำรวจรถยนต์ป้ายแดงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิว่าใน 1 ชั่วโมง มีรถยนต์ป้ายได้วิ่งผ่านไปหลายสิบคัน และสรุปว่ารถติดเนื่องจากนโยบายรถยนต์คันแรก
ความจริงคือเมื่อ 36 ปีที่แล้วผมเรียนหนังสืออยู่ที่ ม.เกษตรศาสตร์ และพักอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ช่วงนั้นในชั่วโมงเร่งด่วนรถก็ติดวินาศสันตะโรอยู่แล้ว ผมยังจำคำขวัญของ ขสมก.ที่ว่า "ออกจากบ้านก่อน 7 น.ไม่ต้องรอรถนาน"ได้ติดตา
แถมผู้สื่อข่าวยังบอกทำนองว่าจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนถ้าจอดเรียงกันจะยาวมากกว่าถนนที่มี มันก็จริงอยู่ แต่ใครจะซื้อรถมาจอดเรียงกันบนถนนละครับ คิดกันง่ายๆไม่ซับซ้อน รถยนต์ที่วิ่งบนถนนเฉลี่ยใช้พื้นที่ทั้งด้านหน้า+ตัวรถ+พื้นที่ด้านหลังเท่ากับ 10 เมตร (จริงๆวิ่งจี้กันน่าจะใช้พื้นที่รวมตัวรถไม่ถึง 5 เมตร) 1 กิโลเมตรจะมีรถยนต์อยู่ 100 คัน นี่คือรถที่จอดนิ่งนะครับ ถ้ารถวิ่งด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. ถนนยาว 1 กิโลเมตรจะบรรจุรถยนต์ได้ถึง 6,000 คัน
นั่นคือการแก้ไขปัญหาจราจรต้องทำใน 3 มิติเป็ฯอย่างน้อย คือเพิ่มถนน,ปรับปรุงถนนให้ดี และการจัดการระบบการจราจรบนถนนและในทางแยกทางร่วมให้เหมาะสม วิธีสุดท้ายคือคุมกำเนิดรถยนต์ ไม่ใช่คิดจะคุมจำนวนรถยนต์อย่างเดียว(คนจนอย่ามีเลย ซื้อมาขับเกะกะฉัน)
ทำไมพวกคุณไม่มองถึงข้อดีของนโยบายนี้บ้าง การผลิตรถยนต์(ลอตแรก)ร่วม 1 ล้านคันสร้างรายได้ให้ประเทศเท่าไร รถแต่ละคันมีชิ้นส่วนหลายหมื่นชิ้น ใช้โรงงานผลิตเป็นร้อยโรง ใช้แรงงานหลายหมื่นคน มีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายมากมายเท่าใด
ที่สำคัญเมื่อหมดโปรโมชั่นรถยนต์คันแรกแล้ว ใช่ว่าโรงงานผลิตรถยนต์จะปิดสายการผลิต เพราะการลงทุนในไลน์การผลิตไม่ใช่น้อยๆ โรงงานคงต้องผลิตต่อไปและส่งออกรถยนต์อีโคคาร์ไปทั่วโลก ตามแต่นโยบายบริษัทแม่ที่วางไว้ ถึงตอนนั้นกำลังการผลิตอาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าการผลิตในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำไป ถึงตอนนั้นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศจะมากมายมหาศาลและมั่นคงต่อเนื่องไปอีกนาน
ผู้ต่อต้านโครงการนี้พยายามที่จะไม่มองถึงโอกาสในอนาคตของประเทศไทย พวกเขาจึงสรรหาแต่คำติมากล่าวอ้างศซ้ำๆซากๆ
ช่างน่ารำคาญนัก
รำคาญเรื่องรถยนต์คันแรก
เมื่อเช้าดูทีวีช่อง 5 ออกข่าวเชิงกระแนะกระแหนว่าเงินคือภาษีรถยนต์คันแรกกว่า 8 หมื่นล้านบาทจะเอาไปทำอะไรได้บ้าง
เอาไปทำสนามบินสุวรณภูมิเฟส 2 บ้าง
เอาไปทำรถไฟฟ้าสายสัโน้นสีนี้บ้าง
เสียดายเงินภาษีที่รัฐต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ความจริงถ้าคุณคิดให้รอบด้านจะพบว่า เงินภาษีจำนวน 8 หมื่นล้านบาทนี้ ร้อยละ 90 หรือ 90 % เป็นเงินที่"ไม่มีอยู่จริง"
ทำไมถึงไม่มีอยู่จริง
เพราะเงินภาษีดังกล่าวเป็นภาษีสรรพสามิตที่เกิดขึ้นจากการเก็บภาษีหน้าโรงงานผลิตรถยนต์ ตราบใดที่ไม่มีการซื้อขายรถยนต์ ตราบนั้นเงินภาษีสรรพสามิตนี้ก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นภาษีนี้จึง"ไม่มีตัวตน และไม่มีอยู่จริง" หากไม่มีโครงการนี้ รถยนต์อีโคคาร์น่าจะมียอดจำหน่ายเพียง 10 % ของยอดขายจริง และรัฐก็คงจะได้เงิน"ภาษีสรรพสามิต"ที่ว่าประมาณ 8 พันล้านบาท ไม่ใช่ 8 หมื่นล้านบาทตามที่ผู้รายงานข่าวคิด
พูดง่ายๆคือรัฐให้"สิทธิ"ผู้ซื้อรถยนต์ที่มีคุณลักษณะตามที่รัฐกำหนดจะได้รับการ"ยกเว้น"ภาษีสรรพสามิต โดยวิธีการคืนภาษีให้ผู้ซื้อทีหลังนั่นเอง
ทีวีช่องนี้ยังอุตส่าห์ไปสำรวจรถยนต์ป้ายแดงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิว่าใน 1 ชั่วโมง มีรถยนต์ป้ายได้วิ่งผ่านไปหลายสิบคัน และสรุปว่ารถติดเนื่องจากนโยบายรถยนต์คันแรก
ความจริงคือเมื่อ 36 ปีที่แล้วผมเรียนหนังสืออยู่ที่ ม.เกษตรศาสตร์ และพักอยู่ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ช่วงนั้นในชั่วโมงเร่งด่วนรถก็ติดวินาศสันตะโรอยู่แล้ว ผมยังจำคำขวัญของ ขสมก.ที่ว่า "ออกจากบ้านก่อน 7 น.ไม่ต้องรอรถนาน"ได้ติดตา
แถมผู้สื่อข่าวยังบอกทำนองว่าจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนถ้าจอดเรียงกันจะยาวมากกว่าถนนที่มี มันก็จริงอยู่ แต่ใครจะซื้อรถมาจอดเรียงกันบนถนนละครับ คิดกันง่ายๆไม่ซับซ้อน รถยนต์ที่วิ่งบนถนนเฉลี่ยใช้พื้นที่ทั้งด้านหน้า+ตัวรถ+พื้นที่ด้านหลังเท่ากับ 10 เมตร (จริงๆวิ่งจี้กันน่าจะใช้พื้นที่รวมตัวรถไม่ถึง 5 เมตร) 1 กิโลเมตรจะมีรถยนต์อยู่ 100 คัน นี่คือรถที่จอดนิ่งนะครับ ถ้ารถวิ่งด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. ถนนยาว 1 กิโลเมตรจะบรรจุรถยนต์ได้ถึง 6,000 คัน
นั่นคือการแก้ไขปัญหาจราจรต้องทำใน 3 มิติเป็ฯอย่างน้อย คือเพิ่มถนน,ปรับปรุงถนนให้ดี และการจัดการระบบการจราจรบนถนนและในทางแยกทางร่วมให้เหมาะสม วิธีสุดท้ายคือคุมกำเนิดรถยนต์ ไม่ใช่คิดจะคุมจำนวนรถยนต์อย่างเดียว(คนจนอย่ามีเลย ซื้อมาขับเกะกะฉัน)
ทำไมพวกคุณไม่มองถึงข้อดีของนโยบายนี้บ้าง การผลิตรถยนต์(ลอตแรก)ร่วม 1 ล้านคันสร้างรายได้ให้ประเทศเท่าไร รถแต่ละคันมีชิ้นส่วนหลายหมื่นชิ้น ใช้โรงงานผลิตเป็นร้อยโรง ใช้แรงงานหลายหมื่นคน มีเงินหมุนเวียนใช้จ่ายมากมายเท่าใด
ที่สำคัญเมื่อหมดโปรโมชั่นรถยนต์คันแรกแล้ว ใช่ว่าโรงงานผลิตรถยนต์จะปิดสายการผลิต เพราะการลงทุนในไลน์การผลิตไม่ใช่น้อยๆ โรงงานคงต้องผลิตต่อไปและส่งออกรถยนต์อีโคคาร์ไปทั่วโลก ตามแต่นโยบายบริษัทแม่ที่วางไว้ ถึงตอนนั้นกำลังการผลิตอาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าการผลิตในปัจจุบันเสียด้วยซ้ำไป ถึงตอนนั้นประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับประเทศจะมากมายมหาศาลและมั่นคงต่อเนื่องไปอีกนาน
ผู้ต่อต้านโครงการนี้พยายามที่จะไม่มองถึงโอกาสในอนาคตของประเทศไทย พวกเขาจึงสรรหาแต่คำติมากล่าวอ้างศซ้ำๆซากๆ
ช่างน่ารำคาญนัก