ตอนที่ 38
โฉมงามผู้อาภัพ
เมื่อดวงจิตที่เคยกระจ่างใสถูกเมฆดำเข้าครอบคลุมจนมืดสลัว มหิตาเทวีจึงมิอาจหาความสำราญพระทัยใดๆ ได้เลย ดวงฤทัยตกอยู่ในความว้าวุ่นที่แม้แต่องค์เองก็ทอดพระเนตรมิเห็นสาเหตุที่แน่ชัด อุปสรรคใดก็ถูกปัดเป่าจนสลายสิ้นแล้วไฉนจึงไม่สบายพระทัย คล้ายดั่งว่าความสุขนั้นล่องลอยจากพระองค์ไปไกลไม่เหลียวกลับ
แน่งน้อยโฉมงามเฝ้าถามตนเองว่าเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า พระนางเป็นผู้เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ ทั้งรูปโฉมก็ทรงสิริโสภากว่าผู้ใด ฤาจะทรัพย์ศฤงคารก็มั่งมีกว่านางใดในนครา จะถามหาคู่ชู้ชื่นก็ครองสุขอยู่ทุกวี่วัน ด้วยว่าภูวิษะเจ้าพระสวามีผู้ทรงองอาจพิลาสลักษณ์เหนือชายใดในหล้านั้น ทรงรักใคร่พระองค์ดุจดังดวงหฤทัยพระองค์เอง จนหญิงอื่นนั้นพากันชื่นชมและริษยาไปพร้อมเพรียงกัน ชีวามิมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไป แต่ในพระทัยกลับมีความกังวลที่ทรงหวาดกลัวอยู่เป็นนิตย์ ส่งผลให้ทรงเครียดและมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนบ่อยๆ
"น้ำเพคะ" หัตถ์เรียวยื่นไปรับจอกบรรจุน้ำที่ปทุมมาถวาย หลังดื่มน้ำจนคลายความเหม็นเปรี้ยวในช่องโอษฐ์ลง
"เป็นอย่างไรบ้างเพคะ"
"ไม่เป็นไรแล้ว ปทุมมาขอบใจเจ้ามาก"
อันที่จริงแล้วปทุมมานั้นอายุไล่เลี่ยกับกุสุมาลย์จะอ่อนแก่กันก็ลดหลั่นไม่กี่เดือน แต่มหิตาเทวีมิได้เรียกหาเป็น 'พี่' ดังกุสุมาลย์กับศรีดาราไม่ ทั้งนี้เป็นเพราะนางหนึ่งนั้นนับถือเป็นพี่น้องร่วมพระนมเดียวกัน ส่วนอีกนางก็เป็นสหายสนิทเสน่หาก่อนจะมาเป็นนางกำนัลรับใช้เบื้องพระยุคลบาท
นางปทุมมามิได้เคยนึกน้อยใจที่พระนางน้อยหาเรียกหาเป็นพี่เช่นเดียวกับนางกำนัลทั้งสองนางไม่ นางยังคงถวายความรับใช้ใกล้ชิดด้วยใจภักดีเสมอมา แต่มิกล้าอาจเอื้อมถือตนเป็นคนโปรดเช่นเดียวกับสหาย ด้วยนิสัยอันอ่อนโยนและถูกอบรมให้นบนอบผู้สูงศักดิ์กว่านั่นเอง แต่ในวันนี้บางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจทำให้นางเอ่ยปากทูลถาม
"พระเทวีเพคะ...หมู่นี้ทรงไม่ค่อยทรงพระสำราญเลย มีสิ่งใดให้กระหม่อมกระทำได้เพื่อพระองค์ได้หรือไม่เพคะ?"
"ปทุมมา? ทำไมถามเราเช่นนี้เล่า? เราก็ปรกติสุขดีนี่" ขนงโก่งงามขมวดเข้าหากันด้วยความพิศวง
"เพคะ ทุกอย่างปรกติสุขดีทุกอย่าง เพียงแต่..." กล่าวแล้วนางก็พูดไปมิกล้าเอ่ยต่อ
"แต่อันใด?" เมื่อตรัสถามแล้วนางยังก้มหน้านิ่งอยู่จึงต้องตรัสซ้ำ "พูดมาเถิด"
"พระเทวีดูมิค่อยสุขสบายนัก สีพระพักตร์ตึงเครียดคล้ายไม่สบายพระทัยเพคะ หากมีสิ่งใดที่หม่อมฉันพอจะทำได้ขอให้ทรงรับสั่งเถิดเพคะ หม่อมฉันยินดีทำเพื่อพระองค์"
"ปทุมมา!!!" สุรเสียงปริวิตกยิ่งนักเมื่อทรงได้ยินนางกำนัลทูลความ
"เรามิได้มีเรื่องอันใดนี่?"
"แต่ว่า...."
"เจ้าอยากจะพูดอันใดกันแน่?"
"ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่...เป็นห่วงพระองค์ เห็นทรงมีสีหน้าคล้ายกลัดกลุ้มสิ่งใดอยู่ อีกทั้งยังทรงประชวรแบบนี้ เหมือนดั่งเป็นไข้ใจเพคะ" ได้สดับดังนั้นมหิตาเทวีก็คลายสีหน้าอันเคร่งเครียดลงบ้าง
"ไข้ใจรึ? พูดได้ดี...แต่ข้ามีอันใดต้องกลัดกลุ้ม? ในเมื่อข้าอยู่เหนือหญิงอื่นทุกนาง เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็โปรดปรานข้ายิ่งนัก อีกทั้งเสด็จพี่ภูวิษะก็ทรงดีต่อข้าเสมอ..." ถ้อยดำรัสแผ่วลงแล้วตามด้วยเสียงถอนหทัย
"นั่นน่ะสิ...แล้วข้ายังกังวลสิ่งใดอยู่อีกเล่า?" พระเทวีผู้ทรงโฉมหาได้สบสายตากับปทุมมาไม่ แต่ทรงเหม่อลอยไปไกลเป็นเวลาเนิ่นนาน
"ถ้าเช่นนั้นใช่เป็นเรื่องของกุสุมาลย์หรือไม่เพคะ?" นามนั้นดังคำต้องห้าม มหิตาเทวีหันพักตร์กลับมาทันที แววตาทวีความขมขื่นและอัดอั้นยิ่งนัก
"พี่กุสุมาลย์จะมาทำอันใดให้เราทุกข์ใจได้เล่า?" คำตอบนั้นดูห้วนสั้นและแข็งกร้าวจนผู้ฟังใจหาย
"เพคะ...นางไม่สามารถทำอันใดให้พระองค์กลัดกลุ้มได้หรอกเพคะ"
ทูลจบก็ก้มหน้านิ่งไปมิกล้าเอ่ยวจีใดออกมาอีก ภายในใจของนางได้แต่ขมขื่นแทนสหายจนน้ำตารื้น ชายาแห่งนาคเจ้ามิได้ตรัสถามสิ่งใดอีก เพียงแต่รับสั่งเบาๆ เป็นการตัดบทเท่านั้น
"เดี๋ยวเราจะเอนหลังสักครู่ ช่วยจัดตั่งให้ด้วย"
"เพคะ หม่อมฉันจะให้แสงมิ่งกับสร้อยผกามาโบกพัดนะเพคะ" พระนางน้อยพยักพระพักตร์รับ แววเนตรนั้นเหนื่อยล้าเลื่อนลอย
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 38
ความเดิม
ตอนที่ 1-25 อ่านได้ในบล็อกเลยนะคะ
ตอนที่ 38
โฉมงามผู้อาภัพ
เมื่อดวงจิตที่เคยกระจ่างใสถูกเมฆดำเข้าครอบคลุมจนมืดสลัว มหิตาเทวีจึงมิอาจหาความสำราญพระทัยใดๆ ได้เลย ดวงฤทัยตกอยู่ในความว้าวุ่นที่แม้แต่องค์เองก็ทอดพระเนตรมิเห็นสาเหตุที่แน่ชัด อุปสรรคใดก็ถูกปัดเป่าจนสลายสิ้นแล้วไฉนจึงไม่สบายพระทัย คล้ายดั่งว่าความสุขนั้นล่องลอยจากพระองค์ไปไกลไม่เหลียวกลับ
แน่งน้อยโฉมงามเฝ้าถามตนเองว่าเป็นเพราะเหตุใดกันเล่า พระนางเป็นผู้เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ ทั้งรูปโฉมก็ทรงสิริโสภากว่าผู้ใด ฤาจะทรัพย์ศฤงคารก็มั่งมีกว่านางใดในนครา จะถามหาคู่ชู้ชื่นก็ครองสุขอยู่ทุกวี่วัน ด้วยว่าภูวิษะเจ้าพระสวามีผู้ทรงองอาจพิลาสลักษณ์เหนือชายใดในหล้านั้น ทรงรักใคร่พระองค์ดุจดังดวงหฤทัยพระองค์เอง จนหญิงอื่นนั้นพากันชื่นชมและริษยาไปพร้อมเพรียงกัน ชีวามิมีสิ่งใดขาดตกบกพร่องไป แต่ในพระทัยกลับมีความกังวลที่ทรงหวาดกลัวอยู่เป็นนิตย์ ส่งผลให้ทรงเครียดและมีอาการคลื่นเหียนอาเจียนบ่อยๆ
"น้ำเพคะ" หัตถ์เรียวยื่นไปรับจอกบรรจุน้ำที่ปทุมมาถวาย หลังดื่มน้ำจนคลายความเหม็นเปรี้ยวในช่องโอษฐ์ลง
"เป็นอย่างไรบ้างเพคะ"
"ไม่เป็นไรแล้ว ปทุมมาขอบใจเจ้ามาก"
อันที่จริงแล้วปทุมมานั้นอายุไล่เลี่ยกับกุสุมาลย์จะอ่อนแก่กันก็ลดหลั่นไม่กี่เดือน แต่มหิตาเทวีมิได้เรียกหาเป็น 'พี่' ดังกุสุมาลย์กับศรีดาราไม่ ทั้งนี้เป็นเพราะนางหนึ่งนั้นนับถือเป็นพี่น้องร่วมพระนมเดียวกัน ส่วนอีกนางก็เป็นสหายสนิทเสน่หาก่อนจะมาเป็นนางกำนัลรับใช้เบื้องพระยุคลบาท
นางปทุมมามิได้เคยนึกน้อยใจที่พระนางน้อยหาเรียกหาเป็นพี่เช่นเดียวกับนางกำนัลทั้งสองนางไม่ นางยังคงถวายความรับใช้ใกล้ชิดด้วยใจภักดีเสมอมา แต่มิกล้าอาจเอื้อมถือตนเป็นคนโปรดเช่นเดียวกับสหาย ด้วยนิสัยอันอ่อนโยนและถูกอบรมให้นบนอบผู้สูงศักดิ์กว่านั่นเอง แต่ในวันนี้บางสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในใจทำให้นางเอ่ยปากทูลถาม
"พระเทวีเพคะ...หมู่นี้ทรงไม่ค่อยทรงพระสำราญเลย มีสิ่งใดให้กระหม่อมกระทำได้เพื่อพระองค์ได้หรือไม่เพคะ?"
"ปทุมมา? ทำไมถามเราเช่นนี้เล่า? เราก็ปรกติสุขดีนี่" ขนงโก่งงามขมวดเข้าหากันด้วยความพิศวง
"เพคะ ทุกอย่างปรกติสุขดีทุกอย่าง เพียงแต่..." กล่าวแล้วนางก็พูดไปมิกล้าเอ่ยต่อ
"แต่อันใด?" เมื่อตรัสถามแล้วนางยังก้มหน้านิ่งอยู่จึงต้องตรัสซ้ำ "พูดมาเถิด"
"พระเทวีดูมิค่อยสุขสบายนัก สีพระพักตร์ตึงเครียดคล้ายไม่สบายพระทัยเพคะ หากมีสิ่งใดที่หม่อมฉันพอจะทำได้ขอให้ทรงรับสั่งเถิดเพคะ หม่อมฉันยินดีทำเพื่อพระองค์"
"ปทุมมา!!!" สุรเสียงปริวิตกยิ่งนักเมื่อทรงได้ยินนางกำนัลทูลความ
"เรามิได้มีเรื่องอันใดนี่?"
"แต่ว่า...."
"เจ้าอยากจะพูดอันใดกันแน่?"
"ขออภัยเพคะ หม่อมฉันเพียงแต่...เป็นห่วงพระองค์ เห็นทรงมีสีหน้าคล้ายกลัดกลุ้มสิ่งใดอยู่ อีกทั้งยังทรงประชวรแบบนี้ เหมือนดั่งเป็นไข้ใจเพคะ" ได้สดับดังนั้นมหิตาเทวีก็คลายสีหน้าอันเคร่งเครียดลงบ้าง
"ไข้ใจรึ? พูดได้ดี...แต่ข้ามีอันใดต้องกลัดกลุ้ม? ในเมื่อข้าอยู่เหนือหญิงอื่นทุกนาง เสด็จพ่อเสด็จแม่ก็โปรดปรานข้ายิ่งนัก อีกทั้งเสด็จพี่ภูวิษะก็ทรงดีต่อข้าเสมอ..." ถ้อยดำรัสแผ่วลงแล้วตามด้วยเสียงถอนหทัย
"นั่นน่ะสิ...แล้วข้ายังกังวลสิ่งใดอยู่อีกเล่า?" พระเทวีผู้ทรงโฉมหาได้สบสายตากับปทุมมาไม่ แต่ทรงเหม่อลอยไปไกลเป็นเวลาเนิ่นนาน
"ถ้าเช่นนั้นใช่เป็นเรื่องของกุสุมาลย์หรือไม่เพคะ?" นามนั้นดังคำต้องห้าม มหิตาเทวีหันพักตร์กลับมาทันที แววตาทวีความขมขื่นและอัดอั้นยิ่งนัก
"พี่กุสุมาลย์จะมาทำอันใดให้เราทุกข์ใจได้เล่า?" คำตอบนั้นดูห้วนสั้นและแข็งกร้าวจนผู้ฟังใจหาย
"เพคะ...นางไม่สามารถทำอันใดให้พระองค์กลัดกลุ้มได้หรอกเพคะ"
ทูลจบก็ก้มหน้านิ่งไปมิกล้าเอ่ยวจีใดออกมาอีก ภายในใจของนางได้แต่ขมขื่นแทนสหายจนน้ำตารื้น ชายาแห่งนาคเจ้ามิได้ตรัสถามสิ่งใดอีก เพียงแต่รับสั่งเบาๆ เป็นการตัดบทเท่านั้น
"เดี๋ยวเราจะเอนหลังสักครู่ ช่วยจัดตั่งให้ด้วย"
"เพคะ หม่อมฉันจะให้แสงมิ่งกับสร้อยผกามาโบกพัดนะเพคะ" พระนางน้อยพยักพระพักตร์รับ แววเนตรนั้นเหนื่อยล้าเลื่อนลอย