ขอบคุณทุกคนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ จารย์จี GTW, คุณ หญิงคนรองแห่งบ้านทรายทอง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, น้องดาว Lady Star 919, คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ PuPaKae, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณลิ ลายลิขิต, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ สมาชิกหมายเลข 2817787
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทแรก - บทที่ 1
http://pantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3
http://pantip.com/topic/35648626
บทที่ 4
http://pantip.com/topic/35655325
บทที่ 5
http://pantip.com/topic/35665748
บทที่ 6
http://pantip.com/topic/35669708
บทที่ 7
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังโหยหวนยืดยาว เสียดลึกเข้าไปในหัวจิตหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน ด้วยรู้และเข้าใจกันดีถึงความหมาย เสียงนั้นเริ่มจากต่ำห้าว แล้วแผดแหลมขึ้นสูงลิ่ว จากนั้นก็ลดต่ำลงมาอีก กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน
ไอรีนผวาตื่น ผลุนผลันลงจากเตียงโดยไม่เสียเวลาตั้งสติ คว้าเสื้อกันหนาวซึ่งพาดเตรียมไว้บนหีบเก็บผ้ามาสวมอย่างรวดเร็ว เสื้อใส่นอนนั้นไม่ต้องพูดถึง นับแต่มีหวอจริงครั้งแรกเมื่อกว่าเดือนมาแล้ว ทุกคนในบ้านแต่งตัวเข้านอนกันด้วยเครื่องแต่งกายที่พร้อมจะวิ่งลงหลุมหลบภัยได้ทุกเมื่อ
ระเบียงเรือนมืดสนิท รัฐประกาศให้ดับไฟในเวลาค่ำคืนมาได้สี่วันแล้ว เหตุก็เพราะระยะนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดติดๆ กันหลายคืน ดังนั้นพอเริ่มมืด อย่าว่าแต่เปิดไฟในบ้านซึ่งมีกระดาษหรือผ้าดำพรางไว้แล้วเลย แม้แต่เสื้อสีขาวก็ไม่มีใครกล้าสวมใส่กัน ด้วยกลัวว่านักบินฝ่ายตรงข้ามมองลงมาจากเครื่องบินแล้วอาจเห็นได้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าไม่ควรทำอะไรบ้างในเวลาค่ำคืนนั้นมีต่างๆ กัน บางคนบอกว่าพูดดังๆ ไม่ได้ เดี๋ยวนักบินที่มาทิ้งระเบิดจะได้ยิน ติดไฟในบ้านไม่ได้ สูบบุหรี่ก็ไม่ได้เช่นกันเพราะนักบินจะมองลงมาเห็น บางคนถึงกับเลิกสูบบุหรี่ไปเลยในเมื่อราคาบุหรี่ก็เริ่มสูงขึ้นแล้วด้วย
แม้จะมืด หากความคุ้นเคยกับสถานที่ช่วยให้ลงบันไดเรือนได้อย่างคล่องแคล่ว เห็นนางนาบและลูกชายวัยเดียวกับสุชัยออกมาคอยหน้าเรือนบ่าวก่อนแล้ว ร่างอวบอ้วนยืนตะคุ่มๆ เก้ๆ กังๆ อยู่ในความมืด รำพึงกระหืดกระหอบออกมาจากเรือนบ่าวอีกหลัง มีผ้าสักหลาดผืนหนาคลุมอยู่ที่ไหล่ อากาศช่วงนี้ยังคงหนาวเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาใกล้สว่างแบบนี้
"คุณวิไลลงมาหรือยังจ๊ะป้า" ไอรีนเอ่ยปากถาม พยายามควบคุมน้ำเสียงให้สงบราบเรียบที่สุด
เวลาที่ทุกคนในบ้านเอาเธอเป็นที่พึ่งอย่างเช่นในเวลานี้ เธอจะแสดงความหวาดกลัวให้ใครเห็นไม่ได้เด็ดขาด
ตามองเลยไปทางตึกใหญ่ก็พอดีเห็นแสงจากไฟฉายส่องเป็นลำยาว ขนาดของลำแสงเล็กพอๆ กับแท่งดินสอหิน ไฟฉายซึ่งเธอยกให้คุณวิไลใช้มีกระดาษดำปิดไว้ เจาะเป็นรูเล็กๆ ให้แสงพอส่องผ่านออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หล่อนกำลังมะงุมมะงาหราลงบันไดตึกมาสมทบ มีบ่าวสาวคนสนิทตามหลังมาติดๆ
นั่นคือข้อตกลงกันภายในบ้านซึ่งไอรีนเป็นผู้กำหนด ในเมื่อเวลานี้ทั้งบ้านมีเหลือกันไม่กี่คน และเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง มีก็แต่แท่น…เด็กหนุ่มลูกชายนางนาบคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย สมบุญนั้นเธอให้ไปดูแลสวนฝั่งตรงข้ามคลองหลังจากที่ผู้เช่าซึ่งเช่ามานานปีอพยพครอบครัวหนีสงครามไปอยู่หัวเมืองนับตั้งแต่วันแรกๆ ที่ 'บอมบ์ลง' เปรื่องช่วยดูแลสวนฝั่งนี้เพราะนายแสงและนางคำแก่มากแล้ว ลูกชายและลูกสะใภ้ก็ไม่มีใครสนใจทำสวน ทั้งคู่ได้พาลูกสาวคนเล็กลงใต้ไปทำงานในเหมืองดีบุกเสียนานแล้ว เหลือไว้ก็แต่ลูกสาวคนโตที่ทิ้งไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนปู่และย่า
เมื่อบ้านเหลือกันอยู่เพียงหกคน และเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง เธอจึงต้องการให้แน่ใจว่าเมื่อมีเสียงสัญญาณเตือนภัย ทุกคนจะหนีลงหลุมหลบภัยได้พร้อมกัน ไม่มีใครไปตกค้างอยู่ที่ไหน
หลุมหลบภัยที่ใช้คือร่องน้ำในสวนนั่นเอง ก่อนกลับชะอำ กริช ร่วมกับ สมบุญ และแท่น ช่วยกันขุดตอนหนึ่งของคูบริเวณซึ่งยกร่องขึ้นปลูกพลูให้ลึกลงไปอีก จากนั้นก็ระบายน้ำซึ่งขังอยู่ออกจนหมด ใช้ดินส่วนที่ขุดขึ้นมาก่อเป็นเนินสูงเพื่อกั้นไม่ให้น้ำไหลย้อนกลับมา
นายพันตรีชาวญี่ปุ่นมีส่วนช่วยชี้แนะบริเวณนั้นให้ด้วย เขาบอกว่าส่วนอื่นของสวนปลูกไม้ผลต้นสูงๆ ถ้ามีการทิ้งระเบิดกันจริงๆ และถ้าระเบิดลงบริเวณนั้นหรือบริเวณใกล้เคียง อาจทำให้ต้นไม้โค่นลงมาในหลุมได้ นั่นยิ่งอันตรายสำหรับคนซึ่งหลบอยู่ภายใน
'โอกาสที่ระเบิดจะลงไปตรงหลุมหลบภัยพอดีนั้นมีไม่มากหรอกครับคุณหญิง แต่ต้นไม้สูงๆ เวลาที่โค่นทับปากหลุมนี่สิ จะน่ากลัวกว่า' เขาว่าอย่างนั้น
ยังบอกอีกด้วยว่าใช้สวนเป็นที่หลบภัยดีที่สุด เพราะสวนไม่ใช่สถานที่สำคัญซึ่งจะเป็นเป้าโจมตี ทั้งยังมีแมกไม้ช่วยบดบังสายตาจากเบื้องบนอีกด้วย ระยะหลังแม้แต่ตามกระทรวงและตึกสูงๆ ก็เริ่มใช้ทางมะพร้าวคลุมเพื่อพรางตากันบ้างแล้ว ทางมะพร้าวช่วยให้มองลงมาจากเบื้องสูงดูคล้ายที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของสวนมากกว่าเป็นตัวอาคาร
ลงไปอยู่ในคูกันได้เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงหึ่งหึ่งก็มาจากทิศทางซึ่งเป็นเมืองนนท์ เกือบจะพร้อมๆ กับเสียงสัญญาณเตือนภัยที่เงียบหายไปเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเปิดปิดสัญญาณก็ต้องหาที่หลบภัยเช่นกัน
เมื่อครั้งที่ระเบิดลงใหม่ๆ เสียงหึ่งจะมาพร้อมกับลำแสงขนาดใหญ่ส่องสว่างจ้า แสงนั้นกวาดไปทั่วผืนฟ้าเพื่อไล่ล่าหาเครื่องบินทิ้งระเบิด แสงไฟมีสองลำ คนเกือบทั้งพระนครเห็นกันชัดเจน ลำหนึ่งมาจากไฟฉายบริเวณเกียกกาย อีกลำมาจากดวงที่ฝั่งธน ลำแสงทั้งสองจะตามมาด้วยเสียงไชโยโห่ร้องชอบอกชอบใจจากผู้คนซึ่งหลบภัยอยู่ตามที่ต่างๆ
ดวงไฟจากเกียกกายเป็นดวงตามหาเป้าหมาย พอพบก็จะจับนิ่งอยู่ที่นั่น แสงจากดวงที่ฝั่งธนจะตามขึ้นไป ก่อให้เกิดเครื่องหมายคูณตรึงเป้านั้นไว้ เสียงโห่ร้องจะยิ่งดังขึ้นอีกเพราะภาพที่เห็นน่าตื่นตาเสียนัก ไม่นานต่อมาก็จะมีเสียงปืนต่อสู้อากาศยานยิงขึ้นฟ้าเพื่อไล่ตาม ช่วงเวลานั้นคนที่กล้าหน่อยจะออกจากหลุมมายืนดู
ไอรีนเองก็เคยทำแบบนั้นครั้งหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น คืนนั้นแท่น…ลูกชายนางนาบ ขึ้นจากหลุมไปแหงนคอตั้งบ่าดูเป็นคนแรก พอลุงเปรื่องตามขึ้นไปด้วยอีกคน เธอจึงลองบ้าง
แสงไฟช่วยให้เห็นป้อมบินทิ้งระเบิดเป็นมันปลาบอยู่สูงขึ้นไปในความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรี เครื่องบินลำนั้นมีขนาดใหญ่ทีเดียว มีเครื่องบินคุ้มกันนำหน้ามาก่อน เพียงไม่นานก็เห็นเส้นประสีแดงเรืองแสงวาบๆ จากกระสุนปืนต่อสู้อากาศยานพุ่งขึ้นฟ้าเป็นสาย เป้าหมายอยู่ที่เครื่องบินทิ้งระเบิด แต่เธอก็ไม่เห็นว่าจะขึ้นไปถึงเป้าหมายซึ่งอยู่ในระดับเพดานบินที่สูงมากเลยสักนัด หัวกระสุนที่พุ่งเป็นสายฝ่าความมืดขึ้นไปเหมือนประกายจากธูปนั้นจะแตกกระจายแล้วตกลงมาเองทุกครั้งไป
หากทว่าในคืนนี้ไม่มีแสงไฟให้เห็นอีกแล้ว มีข่าวว่าเครื่องบินคุ้มกันป้อมบินทิ้งระเบิดใช้ปืนกลหนักยิงไฟทั้งสองดวงดับไปเรียบร้อยแล้ว
เสียงนางนาบสวดมนต์ดังกระเส่า ถูกบ้างผิดบ้าง จับต้นชนปลายแทบไม่ถูกเมื่อเสียงระเบิดลูกแรกดังครืน…กึกก้องกัมปนาท ฟังดูเหมือนลงไม่ไกลเลย
“คงแถวหัวลำโพงขอรับ” เปรื่องซึ่งเพิ่งมาสมทบได้ไม่นานจับทิศทางแล้วแสดงความคิดเห็น
ไอรีนได้แต่รับฟัง รู้สึกด้วยว่าเสียงระเบิดลูกที่สองและสามดังเหมือนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ระเบิดที่ลงแต่ละครั้งทำให้พื้นใต้เท้าและกำแพงดินที่อิงแอบอยู่สั่นสะเทือน เศษดินร่วงพรู รำพึงซึ่งซุกอยู่ข้างๆ กำลังสั่นไปทั้งตัว บอกยากว่าสั่นพราะความหนาวเย็นของอากาศหรือเพราะความกลัวกันแน่
ในฝั่งฝัน (บทที่ 7)
ขอบคุณ จารย์จี GTW, คุณ หญิงคนรองแห่งบ้านทรายทอง, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง, น้องดาว Lady Star 919, คุณ เจ้าหญิงงัวเงีย, คุณแอนนี่ annie <harmonica>, คุณ PuPaKae, คุณ สายป่านสีชมพู, คุณลิ ลายลิขิต, คุณนัน turtle_cheesecake, คุณ สมาชิกหมายเลข 2817787
ขอบคุณสำหรับคะแนนโหวตทุกคะแนนด้วยค่ะ
บทแรก - บทที่ 1 http://pantip.com/topic/35638204
บทที่ 2 - บทที่ 3 http://pantip.com/topic/35648626
บทที่ 4 http://pantip.com/topic/35655325
บทที่ 5 http://pantip.com/topic/35665748
บทที่ 6 http://pantip.com/topic/35669708
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังโหยหวนยืดยาว เสียดลึกเข้าไปในหัวจิตหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน ด้วยรู้และเข้าใจกันดีถึงความหมาย เสียงนั้นเริ่มจากต่ำห้าว แล้วแผดแหลมขึ้นสูงลิ่ว จากนั้นก็ลดต่ำลงมาอีก กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน
ไอรีนผวาตื่น ผลุนผลันลงจากเตียงโดยไม่เสียเวลาตั้งสติ คว้าเสื้อกันหนาวซึ่งพาดเตรียมไว้บนหีบเก็บผ้ามาสวมอย่างรวดเร็ว เสื้อใส่นอนนั้นไม่ต้องพูดถึง นับแต่มีหวอจริงครั้งแรกเมื่อกว่าเดือนมาแล้ว ทุกคนในบ้านแต่งตัวเข้านอนกันด้วยเครื่องแต่งกายที่พร้อมจะวิ่งลงหลุมหลบภัยได้ทุกเมื่อ
ระเบียงเรือนมืดสนิท รัฐประกาศให้ดับไฟในเวลาค่ำคืนมาได้สี่วันแล้ว เหตุก็เพราะระยะนี้ฝ่ายสัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดติดๆ กันหลายคืน ดังนั้นพอเริ่มมืด อย่าว่าแต่เปิดไฟในบ้านซึ่งมีกระดาษหรือผ้าดำพรางไว้แล้วเลย แม้แต่เสื้อสีขาวก็ไม่มีใครกล้าสวมใส่กัน ด้วยกลัวว่านักบินฝ่ายตรงข้ามมองลงมาจากเครื่องบินแล้วอาจเห็นได้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าไม่ควรทำอะไรบ้างในเวลาค่ำคืนนั้นมีต่างๆ กัน บางคนบอกว่าพูดดังๆ ไม่ได้ เดี๋ยวนักบินที่มาทิ้งระเบิดจะได้ยิน ติดไฟในบ้านไม่ได้ สูบบุหรี่ก็ไม่ได้เช่นกันเพราะนักบินจะมองลงมาเห็น บางคนถึงกับเลิกสูบบุหรี่ไปเลยในเมื่อราคาบุหรี่ก็เริ่มสูงขึ้นแล้วด้วย
แม้จะมืด หากความคุ้นเคยกับสถานที่ช่วยให้ลงบันไดเรือนได้อย่างคล่องแคล่ว เห็นนางนาบและลูกชายวัยเดียวกับสุชัยออกมาคอยหน้าเรือนบ่าวก่อนแล้ว ร่างอวบอ้วนยืนตะคุ่มๆ เก้ๆ กังๆ อยู่ในความมืด รำพึงกระหืดกระหอบออกมาจากเรือนบ่าวอีกหลัง มีผ้าสักหลาดผืนหนาคลุมอยู่ที่ไหล่ อากาศช่วงนี้ยังคงหนาวเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาใกล้สว่างแบบนี้
"คุณวิไลลงมาหรือยังจ๊ะป้า" ไอรีนเอ่ยปากถาม พยายามควบคุมน้ำเสียงให้สงบราบเรียบที่สุด
เวลาที่ทุกคนในบ้านเอาเธอเป็นที่พึ่งอย่างเช่นในเวลานี้ เธอจะแสดงความหวาดกลัวให้ใครเห็นไม่ได้เด็ดขาด
ตามองเลยไปทางตึกใหญ่ก็พอดีเห็นแสงจากไฟฉายส่องเป็นลำยาว ขนาดของลำแสงเล็กพอๆ กับแท่งดินสอหิน ไฟฉายซึ่งเธอยกให้คุณวิไลใช้มีกระดาษดำปิดไว้ เจาะเป็นรูเล็กๆ ให้แสงพอส่องผ่านออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หล่อนกำลังมะงุมมะงาหราลงบันไดตึกมาสมทบ มีบ่าวสาวคนสนิทตามหลังมาติดๆ
นั่นคือข้อตกลงกันภายในบ้านซึ่งไอรีนเป็นผู้กำหนด ในเมื่อเวลานี้ทั้งบ้านมีเหลือกันไม่กี่คน และเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง มีก็แต่แท่น…เด็กหนุ่มลูกชายนางนาบคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้ชาย สมบุญนั้นเธอให้ไปดูแลสวนฝั่งตรงข้ามคลองหลังจากที่ผู้เช่าซึ่งเช่ามานานปีอพยพครอบครัวหนีสงครามไปอยู่หัวเมืองนับตั้งแต่วันแรกๆ ที่ 'บอมบ์ลง' เปรื่องช่วยดูแลสวนฝั่งนี้เพราะนายแสงและนางคำแก่มากแล้ว ลูกชายและลูกสะใภ้ก็ไม่มีใครสนใจทำสวน ทั้งคู่ได้พาลูกสาวคนเล็กลงใต้ไปทำงานในเหมืองดีบุกเสียนานแล้ว เหลือไว้ก็แต่ลูกสาวคนโตที่ทิ้งไว้ให้อยู่เป็นเพื่อนปู่และย่า
เมื่อบ้านเหลือกันอยู่เพียงหกคน และเกือบทั้งหมดเป็นผู้หญิง เธอจึงต้องการให้แน่ใจว่าเมื่อมีเสียงสัญญาณเตือนภัย ทุกคนจะหนีลงหลุมหลบภัยได้พร้อมกัน ไม่มีใครไปตกค้างอยู่ที่ไหน
หลุมหลบภัยที่ใช้คือร่องน้ำในสวนนั่นเอง ก่อนกลับชะอำ กริช ร่วมกับ สมบุญ และแท่น ช่วยกันขุดตอนหนึ่งของคูบริเวณซึ่งยกร่องขึ้นปลูกพลูให้ลึกลงไปอีก จากนั้นก็ระบายน้ำซึ่งขังอยู่ออกจนหมด ใช้ดินส่วนที่ขุดขึ้นมาก่อเป็นเนินสูงเพื่อกั้นไม่ให้น้ำไหลย้อนกลับมา
นายพันตรีชาวญี่ปุ่นมีส่วนช่วยชี้แนะบริเวณนั้นให้ด้วย เขาบอกว่าส่วนอื่นของสวนปลูกไม้ผลต้นสูงๆ ถ้ามีการทิ้งระเบิดกันจริงๆ และถ้าระเบิดลงบริเวณนั้นหรือบริเวณใกล้เคียง อาจทำให้ต้นไม้โค่นลงมาในหลุมได้ นั่นยิ่งอันตรายสำหรับคนซึ่งหลบอยู่ภายใน
'โอกาสที่ระเบิดจะลงไปตรงหลุมหลบภัยพอดีนั้นมีไม่มากหรอกครับคุณหญิง แต่ต้นไม้สูงๆ เวลาที่โค่นทับปากหลุมนี่สิ จะน่ากลัวกว่า' เขาว่าอย่างนั้น
ยังบอกอีกด้วยว่าใช้สวนเป็นที่หลบภัยดีที่สุด เพราะสวนไม่ใช่สถานที่สำคัญซึ่งจะเป็นเป้าโจมตี ทั้งยังมีแมกไม้ช่วยบดบังสายตาจากเบื้องบนอีกด้วย ระยะหลังแม้แต่ตามกระทรวงและตึกสูงๆ ก็เริ่มใช้ทางมะพร้าวคลุมเพื่อพรางตากันบ้างแล้ว ทางมะพร้าวช่วยให้มองลงมาจากเบื้องสูงดูคล้ายที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของสวนมากกว่าเป็นตัวอาคาร
ลงไปอยู่ในคูกันได้เพียงไม่กี่อึดใจ เสียงหึ่งหึ่งก็มาจากทิศทางซึ่งเป็นเมืองนนท์ เกือบจะพร้อมๆ กับเสียงสัญญาณเตือนภัยที่เงียบหายไปเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเปิดปิดสัญญาณก็ต้องหาที่หลบภัยเช่นกัน
เมื่อครั้งที่ระเบิดลงใหม่ๆ เสียงหึ่งจะมาพร้อมกับลำแสงขนาดใหญ่ส่องสว่างจ้า แสงนั้นกวาดไปทั่วผืนฟ้าเพื่อไล่ล่าหาเครื่องบินทิ้งระเบิด แสงไฟมีสองลำ คนเกือบทั้งพระนครเห็นกันชัดเจน ลำหนึ่งมาจากไฟฉายบริเวณเกียกกาย อีกลำมาจากดวงที่ฝั่งธน ลำแสงทั้งสองจะตามมาด้วยเสียงไชโยโห่ร้องชอบอกชอบใจจากผู้คนซึ่งหลบภัยอยู่ตามที่ต่างๆ
ดวงไฟจากเกียกกายเป็นดวงตามหาเป้าหมาย พอพบก็จะจับนิ่งอยู่ที่นั่น แสงจากดวงที่ฝั่งธนจะตามขึ้นไป ก่อให้เกิดเครื่องหมายคูณตรึงเป้านั้นไว้ เสียงโห่ร้องจะยิ่งดังขึ้นอีกเพราะภาพที่เห็นน่าตื่นตาเสียนัก ไม่นานต่อมาก็จะมีเสียงปืนต่อสู้อากาศยานยิงขึ้นฟ้าเพื่อไล่ตาม ช่วงเวลานั้นคนที่กล้าหน่อยจะออกจากหลุมมายืนดู
ไอรีนเองก็เคยทำแบบนั้นครั้งหนึ่งด้วยความอยากรู้อยากเห็น คืนนั้นแท่น…ลูกชายนางนาบ ขึ้นจากหลุมไปแหงนคอตั้งบ่าดูเป็นคนแรก พอลุงเปรื่องตามขึ้นไปด้วยอีกคน เธอจึงลองบ้าง
แสงไฟช่วยให้เห็นป้อมบินทิ้งระเบิดเป็นมันปลาบอยู่สูงขึ้นไปในความมืดมิดของท้องฟ้ายามราตรี เครื่องบินลำนั้นมีขนาดใหญ่ทีเดียว มีเครื่องบินคุ้มกันนำหน้ามาก่อน เพียงไม่นานก็เห็นเส้นประสีแดงเรืองแสงวาบๆ จากกระสุนปืนต่อสู้อากาศยานพุ่งขึ้นฟ้าเป็นสาย เป้าหมายอยู่ที่เครื่องบินทิ้งระเบิด แต่เธอก็ไม่เห็นว่าจะขึ้นไปถึงเป้าหมายซึ่งอยู่ในระดับเพดานบินที่สูงมากเลยสักนัด หัวกระสุนที่พุ่งเป็นสายฝ่าความมืดขึ้นไปเหมือนประกายจากธูปนั้นจะแตกกระจายแล้วตกลงมาเองทุกครั้งไป
หากทว่าในคืนนี้ไม่มีแสงไฟให้เห็นอีกแล้ว มีข่าวว่าเครื่องบินคุ้มกันป้อมบินทิ้งระเบิดใช้ปืนกลหนักยิงไฟทั้งสองดวงดับไปเรียบร้อยแล้ว
เสียงนางนาบสวดมนต์ดังกระเส่า ถูกบ้างผิดบ้าง จับต้นชนปลายแทบไม่ถูกเมื่อเสียงระเบิดลูกแรกดังครืน…กึกก้องกัมปนาท ฟังดูเหมือนลงไม่ไกลเลย
“คงแถวหัวลำโพงขอรับ” เปรื่องซึ่งเพิ่งมาสมทบได้ไม่นานจับทิศทางแล้วแสดงความคิดเห็น
ไอรีนได้แต่รับฟัง รู้สึกด้วยว่าเสียงระเบิดลูกที่สองและสามดังเหมือนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ระเบิดที่ลงแต่ละครั้งทำให้พื้นใต้เท้าและกำแพงดินที่อิงแอบอยู่สั่นสะเทือน เศษดินร่วงพรู รำพึงซึ่งซุกอยู่ข้างๆ กำลังสั่นไปทั้งตัว บอกยากว่าสั่นพราะความหนาวเย็นของอากาศหรือเพราะความกลัวกันแน่