สารคดีประวัติศาสตร์ Blackburn Buccaneer ตำนานโจรสลัดแห่งฟากฟ้าผู้อยู่ใต้เรดาร์

1. กำเนิดจากภัยคุกคามแห่งสงครามเย็น
ภัยคุกคาม: ในทศวรรษ 1950 ราชนาวีอังกฤษเผชิญหน้ากับเรือลาดตระเวนติดอาวุธหนักชั้น Sverdlov ของโซเวียต ซึ่งเป็นอันตรายต่อเส้นทางการค้าของ NATO
ทางออก: เนื่องจากอังกฤษมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงไม่สามารถสร้างกองเรือที่ทัดเทียมได้ จึงตัดสินใจพัฒนา อากาศยานโจมตีประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน เพื่อเป็นทางออกที่คุ้มค่ากว่า
ภารกิจ (NA.39): เครื่องบินต้องบินด้วยความเร็วสูง (กว่า 500 นอต) ที่ระดับความสูงต่ำมาก (50 ฟุต) เพื่อหลบเรดาร์ และใช้ยุทธวิธี "ทิ้งระเบิดแบบโยน" (lob) อาวุธนิวเคลียร์ใส่เป้าหมาย
2. การออกแบบที่ท้าทายขนบ: จาก B.103 สู่ บัคคาเนียร์
การคัดเลือก: ข้อเสนอ B.103 ของบริษัทแบล็กเบิร์นถูกเลือกเหนือคู่แข่ง (Armstrong-Whitworth AW.168 และ Shorts PD.13) เพราะเป็นการผสมผสานนวัตกรรมและความเสี่ยงที่ "พอดี"
นวัตกรรมวิศวกรรม:
Boundary Layer Control (BLC): ระบบเป่าลมแรงดันสูงเหนือปีกเพื่อเพิ่มแรงยกที่ความเร็วต่ำ จำเป็นสำหรับการขึ้น-ลงบนเรือบรรทุกเครื่องบิน
Area Rule: การออกแบบลำตัวให้มีรูปทรงคอดตรงกลาง (คล้าย "ขวดโค้ก") เพื่อลดแรงต้านอากาศขณะบินใกล้ความเร็วเสียง
การออกแบบเพื่อประหยัดพื้นที่: จมูก (เรดาร์) และปีกสามารถพับได้ รวมถึงส่วนท้ายแยกเป็นกลีบเพื่อใช้เป็นเบรกอากาศ
ห้องเก็บระเบิดแบบหมุน (Rotating Bomb Bay): ประตูห้องเก็บระเบิดหมุนได้ 180 องศาเพื่อปล่อยอาวุธ ซึ่งช่วยลดแรงต้านและเพิ่มเสถียรภาพ
ความแข็งแกร่งของโครงสร้าง: โครงสร้างปีกหลักถูกกลึงขึ้นจากเหล็กแท่งตัน ทำให้เครื่องบิน "แกร่งดั่งอิฐ" (Built like a brick outhouse) เพื่อทนต่อแรงกระทำมหาศาลจากการบินต่ำด้วยความเร็วสูง
3. รุ่น S.1: บทพิสูจน์และจุดอ่อน
การทดสอบ: ต้นแบบบินครั้งแรกในปี 1958 มีการทดสอบลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน แต่ก็ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง 3 ครั้ง
จุดอ่อนร้ายแรง: เครื่องยนต์ de Havilland Gyron Junior มี กำลังขับไม่เพียงพอ (ประมาณ 7,000 ปอนด์) ทำให้ S.1 ไม่สามารถขึ้นบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินพร้อมอาวุธและเชื้อเพลิงเต็มพิกัดได้ ต้องอาศัยการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ (จากเครื่อง Supermarine Scimitar) นำไปสู่การระงับการบินทั้งหมดในที่สุด
4. รุ่น S.2: การถือกำเนิดของตำนาน
การยกระดับ: การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ Rolls-Royce Spey เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
สมรรถนะที่เพิ่มขึ้น:
แรงขับ: เพิ่มขึ้นถึง 60% (ประมาณ 11,200 ปอนด์)
พิสัยการบิน: เพิ่มขึ้นประมาณ 80%
ขีดความสามารถ: สามารถบรรทุกอาวุธและเชื้อเพลิงเต็มพิกัดได้จากเรือ
การปรับปรุงอื่น ๆ: ติดตั้งระบบไฟฟ้าและเอวิโอนิกส์ที่ทันสมัย และสามารถติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือ Martel
สถิติ: สร้างสถิติการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยไม่หยุดพักครั้งแรกของราชนาวี
การปลดประจำการในราชนาวี: แม้จะประสบความสำเร็จ แต่โครงการเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ CVA-01 ถูกยกเลิก ทำให้บัคคาเนียร์ถูก โอนย้ายไปสังกัดกองทัพอากาศ (RAF) ในที่สุด
5. โจรสลัดในต่างแดน: ประจำการในแอฟริกาใต้และบทบาทของ RAF
การส่งออก: มีเพียงรายเดียวคือ แอฟริกาใต้ (รุ่น S.50) ซึ่งมีการดัดแปลงให้ติดตั้งจรวดช่วยส่งกำลัง (RATO) สำหรับการใช้งานในสนามบินที่สูงและร้อน
กองทัพอากาศ (RAF): RAF ไม่ต้องการบัคคาเนียร์ โดยคาดหวังโครงการ TSR.2 หรือ F-111K แต่เมื่อโครงการเหล่านั้นถูกยกเลิก บัคคาเนียร์จึงถูกรับเข้าประจำการในฐานะ "เครื่องบินแก้ขัด" (stopgap) แต่กลับรับใช้ยาวนานกว่าสองทศวรรษ
6. พิสูจน์ตัวเองที่ Red Flag และบททดสอบความแข็งแกร่ง
การฝึก Red Flag (ปี 1977): บัคคาเนียร์สร้างชื่อเสียงระดับโลกในสหรัฐอเมริกาด้วยยุทธวิธีการบินต่ำสุดขั้ว
ยุทธวิธี: บินที่ความเร็วสูงถึง 580 นอต ในระดับความสูงเพียง 10-20 ฟุต เหนือพื้นทะเลทราย ทำให้เครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ ยิงไม่ตก
บททดสอบความแข็งแกร่ง: การใช้งานอย่างหนักทำให้เกิดความล้าของโลหะ (Metal Fatigue) ส่งผลให้ปีกหักกลางอากาศ 2 ครั้ง
การแก้ไข: มีการสั่งระงับการบินเพื่อตรวจสอบและแก้ไข โดยเปลี่ยนกลับไปใช้ปลายปีกทรงสี่เหลี่ยมแบบดั้งเดิม (แบบ S.1) เพื่อลดแรงกระทำต่อโครงสร้างปีก
7. หงส์สังหาร: ปฏิบัติการ Granby และสงครามอ่าวครั้งแรก
การเรียกตัวที่ไม่คาดฝัน: ในสงครามอ่าว (ปี 1991) เครื่องบิน Tornado GR1 ประสบความสูญเสียจากการโจมตีระดับต่ำ จึงเปลี่ยนยุทธวิธีมาทิ้งระเบิดจากระดับปานกลาง แต่ขาดความแม่นยำ
บทบาทสำคัญ: บัคคาเนียร์ที่เก่าแก่ถูกเรียกตัวด่วน เพราะเป็นเครื่องบินไม่กี่ลำที่ติดตั้งระบบชี้เป้าด้วยเลเซอร์ Pave Spike ซึ่งสามารถ นำทางระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ (Paveway) ให้กับ Tornado ได้
ผลงาน (โจรสลัดแห่งฟากฟ้า):
ปฏิบัติการรบ 216 เที่ยว
ชี้เป้าให้ระเบิดนำวิถีสำเร็จ 169 ลูก
ทิ้งระเบิดนำวิถีด้วยตนเอง 48 ลูก
ฉากสุดท้าย: พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
8. การปลดประจำการและมรดกที่ทิ้งไว้
การอำลา: บัคคาเนียร์ถูกปลดประจำการอย่างเป็นทางการหลังสงครามโลกครั้งแรก โดยฝูงบินสุดท้ายถูกยุบลงในปี 1994
มรดก: ถูกจดจำในฐานะ:
"Banana Jet" (จากรูปทรงโค้ง)
อากาศยานที่มีความแข็งแกร่งทนทานอย่างน่าทึ่ง
มีเสถียรภาพในการบินต่ำด้วยความเร็วสูงที่ไม่มีใครเทียบได้
"เครื่องบินทิ้งระเบิดที่สร้างโดยอังกฤษอย่างแท้จริงลำสุดท้าย"
สารคดีประวัติศาสตร์ Blackburn Buccaneer ตำนานโจรสลัดแห่งฟากฟ้าผู้อยู่ใต้เรดาร์
1. กำเนิดจากภัยคุกคามแห่งสงครามเย็น
ภัยคุกคาม: ในทศวรรษ 1950 ราชนาวีอังกฤษเผชิญหน้ากับเรือลาดตระเวนติดอาวุธหนักชั้น Sverdlov ของโซเวียต ซึ่งเป็นอันตรายต่อเส้นทางการค้าของ NATO
ทางออก: เนื่องจากอังกฤษมีข้อจำกัดทางเศรษฐกิจหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงไม่สามารถสร้างกองเรือที่ทัดเทียมได้ จึงตัดสินใจพัฒนา อากาศยานโจมตีประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน เพื่อเป็นทางออกที่คุ้มค่ากว่า
ภารกิจ (NA.39): เครื่องบินต้องบินด้วยความเร็วสูง (กว่า 500 นอต) ที่ระดับความสูงต่ำมาก (50 ฟุต) เพื่อหลบเรดาร์ และใช้ยุทธวิธี "ทิ้งระเบิดแบบโยน" (lob) อาวุธนิวเคลียร์ใส่เป้าหมาย
2. การออกแบบที่ท้าทายขนบ: จาก B.103 สู่ บัคคาเนียร์
การคัดเลือก: ข้อเสนอ B.103 ของบริษัทแบล็กเบิร์นถูกเลือกเหนือคู่แข่ง (Armstrong-Whitworth AW.168 และ Shorts PD.13) เพราะเป็นการผสมผสานนวัตกรรมและความเสี่ยงที่ "พอดี"
นวัตกรรมวิศวกรรม:
Boundary Layer Control (BLC): ระบบเป่าลมแรงดันสูงเหนือปีกเพื่อเพิ่มแรงยกที่ความเร็วต่ำ จำเป็นสำหรับการขึ้น-ลงบนเรือบรรทุกเครื่องบิน
Area Rule: การออกแบบลำตัวให้มีรูปทรงคอดตรงกลาง (คล้าย "ขวดโค้ก") เพื่อลดแรงต้านอากาศขณะบินใกล้ความเร็วเสียง
การออกแบบเพื่อประหยัดพื้นที่: จมูก (เรดาร์) และปีกสามารถพับได้ รวมถึงส่วนท้ายแยกเป็นกลีบเพื่อใช้เป็นเบรกอากาศ
ห้องเก็บระเบิดแบบหมุน (Rotating Bomb Bay): ประตูห้องเก็บระเบิดหมุนได้ 180 องศาเพื่อปล่อยอาวุธ ซึ่งช่วยลดแรงต้านและเพิ่มเสถียรภาพ
ความแข็งแกร่งของโครงสร้าง: โครงสร้างปีกหลักถูกกลึงขึ้นจากเหล็กแท่งตัน ทำให้เครื่องบิน "แกร่งดั่งอิฐ" (Built like a brick outhouse) เพื่อทนต่อแรงกระทำมหาศาลจากการบินต่ำด้วยความเร็วสูง
3. รุ่น S.1: บทพิสูจน์และจุดอ่อน
การทดสอบ: ต้นแบบบินครั้งแรกในปี 1958 มีการทดสอบลงจอดบนเรือบรรทุกเครื่องบิน แต่ก็ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง 3 ครั้ง
จุดอ่อนร้ายแรง: เครื่องยนต์ de Havilland Gyron Junior มี กำลังขับไม่เพียงพอ (ประมาณ 7,000 ปอนด์) ทำให้ S.1 ไม่สามารถขึ้นบินจากเรือบรรทุกเครื่องบินพร้อมอาวุธและเชื้อเพลิงเต็มพิกัดได้ ต้องอาศัยการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศ (จากเครื่อง Supermarine Scimitar) นำไปสู่การระงับการบินทั้งหมดในที่สุด
4. รุ่น S.2: การถือกำเนิดของตำนาน
การยกระดับ: การเปลี่ยนไปใช้เครื่องยนต์ Rolls-Royce Spey เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
สมรรถนะที่เพิ่มขึ้น:
แรงขับ: เพิ่มขึ้นถึง 60% (ประมาณ 11,200 ปอนด์)
พิสัยการบิน: เพิ่มขึ้นประมาณ 80%
ขีดความสามารถ: สามารถบรรทุกอาวุธและเชื้อเพลิงเต็มพิกัดได้จากเรือ
การปรับปรุงอื่น ๆ: ติดตั้งระบบไฟฟ้าและเอวิโอนิกส์ที่ทันสมัย และสามารถติดตั้งขีปนาวุธต่อต้านเรือ Martel
สถิติ: สร้างสถิติการบินข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกโดยไม่หยุดพักครั้งแรกของราชนาวี
การปลดประจำการในราชนาวี: แม้จะประสบความสำเร็จ แต่โครงการเรือบรรทุกเครื่องบินขนาดใหญ่ CVA-01 ถูกยกเลิก ทำให้บัคคาเนียร์ถูก โอนย้ายไปสังกัดกองทัพอากาศ (RAF) ในที่สุด
5. โจรสลัดในต่างแดน: ประจำการในแอฟริกาใต้และบทบาทของ RAF
การส่งออก: มีเพียงรายเดียวคือ แอฟริกาใต้ (รุ่น S.50) ซึ่งมีการดัดแปลงให้ติดตั้งจรวดช่วยส่งกำลัง (RATO) สำหรับการใช้งานในสนามบินที่สูงและร้อน
กองทัพอากาศ (RAF): RAF ไม่ต้องการบัคคาเนียร์ โดยคาดหวังโครงการ TSR.2 หรือ F-111K แต่เมื่อโครงการเหล่านั้นถูกยกเลิก บัคคาเนียร์จึงถูกรับเข้าประจำการในฐานะ "เครื่องบินแก้ขัด" (stopgap) แต่กลับรับใช้ยาวนานกว่าสองทศวรรษ
6. พิสูจน์ตัวเองที่ Red Flag และบททดสอบความแข็งแกร่ง
การฝึก Red Flag (ปี 1977): บัคคาเนียร์สร้างชื่อเสียงระดับโลกในสหรัฐอเมริกาด้วยยุทธวิธีการบินต่ำสุดขั้ว
ยุทธวิธี: บินที่ความเร็วสูงถึง 580 นอต ในระดับความสูงเพียง 10-20 ฟุต เหนือพื้นทะเลทราย ทำให้เครื่องบินขับไล่ของสหรัฐฯ ยิงไม่ตก
บททดสอบความแข็งแกร่ง: การใช้งานอย่างหนักทำให้เกิดความล้าของโลหะ (Metal Fatigue) ส่งผลให้ปีกหักกลางอากาศ 2 ครั้ง
การแก้ไข: มีการสั่งระงับการบินเพื่อตรวจสอบและแก้ไข โดยเปลี่ยนกลับไปใช้ปลายปีกทรงสี่เหลี่ยมแบบดั้งเดิม (แบบ S.1) เพื่อลดแรงกระทำต่อโครงสร้างปีก
7. หงส์สังหาร: ปฏิบัติการ Granby และสงครามอ่าวครั้งแรก
การเรียกตัวที่ไม่คาดฝัน: ในสงครามอ่าว (ปี 1991) เครื่องบิน Tornado GR1 ประสบความสูญเสียจากการโจมตีระดับต่ำ จึงเปลี่ยนยุทธวิธีมาทิ้งระเบิดจากระดับปานกลาง แต่ขาดความแม่นยำ
บทบาทสำคัญ: บัคคาเนียร์ที่เก่าแก่ถูกเรียกตัวด่วน เพราะเป็นเครื่องบินไม่กี่ลำที่ติดตั้งระบบชี้เป้าด้วยเลเซอร์ Pave Spike ซึ่งสามารถ นำทางระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์ (Paveway) ให้กับ Tornado ได้
ผลงาน (โจรสลัดแห่งฟากฟ้า):
ปฏิบัติการรบ 216 เที่ยว
ชี้เป้าให้ระเบิดนำวิถีสำเร็จ 169 ลูก
ทิ้งระเบิดนำวิถีด้วยตนเอง 48 ลูก
ฉากสุดท้าย: พิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการปรับตัวได้อย่างยอดเยี่ยม
8. การปลดประจำการและมรดกที่ทิ้งไว้
การอำลา: บัคคาเนียร์ถูกปลดประจำการอย่างเป็นทางการหลังสงครามโลกครั้งแรก โดยฝูงบินสุดท้ายถูกยุบลงในปี 1994
มรดก: ถูกจดจำในฐานะ:
"Banana Jet" (จากรูปทรงโค้ง)
อากาศยานที่มีความแข็งแกร่งทนทานอย่างน่าทึ่ง
มีเสถียรภาพในการบินต่ำด้วยความเร็วสูงที่ไม่มีใครเทียบได้
"เครื่องบินทิ้งระเบิดที่สร้างโดยอังกฤษอย่างแท้จริงลำสุดท้าย"