ลูก 11 เดือน ให้กินมังสวิรัติตั้งแต่เกิดเลย ดีไหม?

ที่บ้านกินมังกันทั้ง เรา และ สามีคะ พอมีลูกก็เลยอยากให้กินมังสวิรัติ ด้วยกัน
เน้น ผัก ธัญพืช โปรตีนเกษตร เต้าหู นม ไข่  สาหร่าย โยเกิร์ต
ตอนนี้  ลูกกำลังซนเลยค่ะ จะเดินได้แล้ว จึงอยากจะถามเพื่อนๆ ว่า
จะเหมาะไหมถ้าเราไม่ให้เค้ากินเนื้อสัตว์เลย?


น้องก็เป็นเด็กร่าเริง สดใส เหมือนเด็กทั่วๆไป ไม่ต่างกันกับกินเนื้อสัตว์นะคะ
ลองเข้าไปดูได้ ไม่ได้ขี้โรค ไม่ได้ขาดสารอาหารเหมือนอย่างที่หลายคนบอก
    
CHANEL YOUTUBE  https://www.youtube.com/channel/UCNH60E0LjLLYVsW75fsXLyQ
                                              
Fanpage   https://www.facebook.com/vickykratuvoo/
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 145
เราตามไอจีกะยูทูปแชนแนลของคุณแม่ลูกหก ชาวออสซี่อยู่คนนึง
https://www.instagram.com/chloeandbeans/

เด็กๆน่ารักมาก อายุ 4,3,2 และแฝดสาม 1 ขวบ

บ้านนี้พ่อแม่เป็น Vegetarian ค่ะ
เวลาพ่อแม่ทำกับข้าว ทานข้าวที่บ้าน ลูกๆก็ทานมังตามพ่อแม่


แต่เท่าที่เห็นวีดีโอในยูทูป เวลาไปทานข้าวข้างนอก แล้วเด็กๆเลือกอาหารในเมนูเอง
พ่อแม่เค้าก็ไม่ห้ามนะ ถ้าลูกอยากจะทานปลา แม่เค้าก็ถามเลยจะทานปลาไหม
แต่เด็กก็เลือกเมนูที่ไม่มีเนื้อสัตว์เอง

คุณจขกท ลองแนวทางนี้ก็ได้ค่ะ อยู่ที่บ้านก็ทานเหมือนพ่อแม่ไป
แต่ถ้าเค้าอยากลองทานเนื้อสัตว์ ก็น่าจะให้เค้าได้ลองเลือก
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 44
เอาประสบการณ์บางส่วนของผมละกัน ค่อนข้างยาวเพราะอึดมานานจากการโดนบังคับกินมังฯ ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาตของเนื้อเลย ตั้งแต่ประฐมแม่ห่อข้าวกล่องให้กิน เพราะโรงอาหารไม่มีเมนูมังฯ ก็นั่งกินเงียบๆในห้องกับน้องชาย เพื่อนก็จะล้ออยู่บ้างแต่นานๆไปก็ชินชาไปเอง แต่จะมีเพื่อนแกล้งบ้าง เช่น เอาลูกชิ้น หรือหมูทอดยัดปากบ้าง แอบเอามาใส่กล่องข้าวบ้าง จนมีครั้งหนึ่งสุดทนเลยโดดต่อยไปเลือดกลบจมูก หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครแกล้งอีกเลย แต่ก็รูสึกเหมือนตัวประหลาดอยู่ดี อาการเหมือนใส่ชุดลูกเสือไปเรียนวันอังคาร   ก็กินมังฯ มาเรื่อยๆแต่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย  ในหัวคิดแต่เรื่องทำไม่เรากินไม่เหมือนคนอื่น  จึงไปถามแม่ ได้คำตอบคราวๆ ประมาณว่า บาป เบียดเบียนสัตว์ เกิดชาตหน้าจะเป็นนู้นนี่นั้นบ้าง (ถ้าเป็นจริงประชากรมนุษย์คงไม่ล้นโลกอย่างทุกวันนี้ หมู วัวและปลาคงเต็มโลก) ก็เชื่อตามกันแม่มา จนเรียนมัธยมก็ยังห่อข้าวไปกินที่โรงเรียน แต่คราวนี้ไม่เหงาเพราะมีเพื่อนห่อมากินด้วย แต่ของเพื่อนไม่ใช่มังสวิรัติ ปัญหาคือเพื่อนกินของเราได้ แต่เรากินของเพื่อนไม่ได้ นานๆไปรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมเลยจัดการปฏิวัติตัวเอง คือ เพื่อนห่ออะไรมาฟาดให้เรียบ แล้วจงค้นพบว่า อิสภาพและรสชาตถวิลหาสิ่งที่สงสัยและติดค้างอยู่ในจินตนาการมานานหลายปีก็สิ้นสุดลง แต่ปัญหาคือเพื่อนตัวดีแอบฟ้องแม่โดนสวดยับ แต่ก็ไม่สะทกสะท้านกินมาเรื่อยๆ แม่ก็บ่นมาตลอด จนบางครั้งทะเลาะกัน จนไม่มีความสุขในการกินข้าวในบ้าน กินบ้างไม่กินบ้าง จบ ม.3 เลยย้ายโรงเรียนมาเรียนในเมืองมีความสุขมาก ได้ลิ้มลองรสชาตใหม่ หมูกระ ชาบู ไก่ทอด ลูกชิ้น หมูปิ้ง จนกระทั่งทุกวันนี้ 15ปีที่ออกจากบ้านมีความสุขกับการกินมาก จะมีบางครั้งที่แม่มาเยี่ยมจะรู้สึกอึดอัดบ้าง แต่ก็นานๆครั้ง     สาเหตุที่ตั้ง คืออยากจะบอกว่าผมไม่ได้มีปัญหากับการกินผัก ผักผมกินได้ทุกชนิดไม่เกี่ยงดิบหรือสุข แต่อยากจะสื่อว่าทานให้พอดีและเหมาะสม ผมและแม่ทำงานด้านสาธารณสุขเหมือนแต่อึดอัดทุกครั้งที่จะกินข้าวด้วยกัน ทั้งที่อยู่ห่างกันแค่30 ก.ม. แต่เจอกันปีละไม่กี่ครั้ง จึงอยากเตือนว่า เอาแต่พอดี ไมบังคับ ไม่ตีกรอบ ให้อิสระในการเลือก แล้วชีวิตจะมีความสุข ในกรณีของ จขกท. คุณอาจไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ แต่ลูกคุณจะได้รับผลกระทบรึป่าว ลองคิดดู อาจยุ่งยากนิดหน่อยแต่คุณเลือกได้  แต่ผมสนับสนุนให้ทานให้สมส่วน เราไม่รู้หรอกผักหรือเนื้อที่ซื้อมาผ่านอะไรมาบ้าง เนื้ออาจสารตกค้างเยอะกว่าผัก หรือผักมีเยอะกว่าไม่มีใครรู้
ความคิดเห็นที่ 8
อ่านที่จขกท.ตอบมาแล้วก็....
เหมือนคุณจขกท.มีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว แค่ตั้งกระทู้เพื่อหาแนวร่วมเฉยๆ (บังเอิญไม่มีใครเข้ามาเป็นแนวร่วม 55)
ความคิดเห็นที่ 24
เราว่ายังไงคุณก็ยังจะทำตามความคิดของคุณอยู่ดี ถึงกับเปลี่ยนอาหารบางอย่างให้ลูกแล้ว
เราอยากให้คุณมองให้ไกลกว่านี้ ลูกไม่ได้อยู่กับคุณตลอดเวลา เวลาเข้าโรงเรียนต้องกินอาหารของโรงเรียน
เค้าก็ต้องเลือกกินบางอย่างที่กินได้ ลูกจะเกิดคำถามว่าทำไมเค้าถึงกินเหมือนที่เพื่อนๆกินไม่ได้
กลายเป็นแปลกแยก ไม่เหมือนคนอื่น โอเค คุณอาจจะหาทางออกด้วยการทำข้าวกล่องไปให้ลูก
แต่เวลาลูกไปทำกิจกรรมนอกโรงเรียนล่ะไปเข้าค่ายล่ะ คุณตามไปทำอาหารให้ลูกด้วยทุกครั้งมั้ย

  เราว่าคุณเผด็จการ เอาแต่ความคิดตัวเอง แค่เรื่องอาหารการกินยังกำหนดให้ลูก
ไม่ต้องคิดเลยว่าเรื่องอื่นจะขนาดไหน เกิดมาทั้งที ทั้งที่ไม่ได้อดอยากขาดแคลน
แต่กลับเลือกอาหารกินเองไม่ได้ น่าสงสารลูกคุณนะ
ความคิดเห็นที่ 148
ถ้าพูดเรื่องบุญบาปจากกินมังฯในทางพุทธ...

อยากจะบอกว่า พระเทวทัตเสนอให้พระพุทธเจ้าบัญญัติให้พระสงฆ์ต้องกินแต่มังฯนะ แต่พระพุทธเจ้าไม่ยินยอม หากให้แล้วแต่พระภิกษุนั้นเลือกเอง
ดังนั้นจะบอกว่ากินมังฯแล้วประเสริฐกว่าได้บุญกว่าการกินเนื้อนั้นไม่จริง แต่มันอยู่กับวิธีการที่ได้มา (เช่นไม่เห็นการฆ่า สั่งการฆ่า หรือกินสิ่งที่คนอื่นรังเกียจ) กับปฏิบัติกับการกินนั้นยังไง (พระเทวทัตกินมังฯเพื่ออวดอ้างว่ามีพรหมจรรย์สูงกว่าพระพุทธเจ้า และการที่พระพุทธเจ้าให้กินเนื้อคือสิ่งที่นำพาความเสื่อม)
ดังนั้นการกินมังฯ คือเรื่องของรสนิยมล้วน ๆ เพราะกินแล้วไม่ได้ทำให้ได้บุญมากขึ้นแต่อย่างใด


นอกจากนี้การกินมังฯ ต้องมีความรู้เรื่องโภชนาการที่สูงมาก

เพราะมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินทั้งพืชทั้งสัตว์ ดังนั้นกินอะไรแค่อย่างเดียวจะเกิดปัญหาขึ้นได้ง่าย
จริงอยู่ที่พืชอาจจะมีสารอาหารที่เนื้อมีอยู่หมด แต่ความยากง่ายในการรับเข้าร่างกายนั้นต่างกัน
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนที่กินมังฯอย่างเดียวต้องมีลักษณะการกินที่ผิดธรรมชาติ นั่นคือกินพืชที่ปรกติคนเราไม่ค่อยกินมากให้เยอะ ๆ
เพื่อให้ได้สารอาหารที่ต้องการให้เพียงพอ ซึ่งหลายอย่างมีมากในเนื้อแต่มีน้อยมากในพืช
ถ้าเป็นสังคมที่กินมังฯกันเป็นกิจวัตรจะง่ายหน่อย เพราะความรู้หาได้ทั่วไป ร้านอาหารก็มักทำอาหารที่มีอัตราส่วนของสารอาหารที่เหมาะสมอยู่แล้ว
แต่ถ้าหากเป็นสังคมที่ไม่ได้กินมังฯเป็นกิจวัตร จะหวังพึ่งร้านค้าอย่างเดียวไม่ได้ เพราะต้องมีความรู้และกินอาหารเสริมในส่วนที่ขาดแคลนอยู่เป็นตลอด
ดังนั้นการกินมังฯอย่างเดียวเพื่อให้ได้สารอาหารเท่ากับการกินเนื้อและสัตว์เป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ทำได้ยุ่งยากกว่า และต้องการความรู้มากกว่า
ซึ่งสำหรับเด็กเล็กนั้นอ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ และไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกกินเอง ดังนั้นจึงมีภาวะทุกขโภชนาการที่ง่ายกว่ามาก

และความจริงร่างกายของมนุษย์เราสามารถรับรู้ได้ในระดับหนึ่งนะว่าขาดสารอาหารอะไร ซึ่งจะทำให้มีความอยากกินอาหารที่มีสารอาหารชนิดนั้นมากขึ้นเอง ดังนั้นถ้าเป็นผู้ใหญ่จะมีโอกาสเลือกกินสิ่งที่มีสารอาหารที่ตนเองขาดได้ง่าย ทำให้แม้กินมังฯแบบไม่มีความรู้ก็มีโอกาสที่ยังมีสุขภาพสมบูรณ์ดีมากกว่า (เคยดูสารคดีคนที่ลอยแพอยู่ในทะเลกินแต่ปลาจนขาดสารอาหารบางชนิด ซึ่งส่งผลให้คนผู้นั้นกินเครื่องในปลาที่มีสารอาหารชนิดนั้นมากด้วย ทั้งที่ปรกติไม่เคยกิน)
แต่เด็กไม่ใช่ เด็กไม่มีสิทธิ์เลือกเองหรอก ร่างกายก็อ่อนแอกว่า ขาดสารอาหารทีก็เป็นเรื่องได้ง่ายกว่า

ด้วยเหตุนี้ หากจะให้เด็กเล็กกินมังฯด้วย จึงต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และการสอดส่องที่สูงมาก
อีกทั้งการขาดสารอาหารบางชนิดมันไม่เห็นผลด้วยตา หรือเกิดขึ้นในทันที บางอย่างเกิดในร่าง บางอย่างต้องเป็นมากก่อนแต่พอเป็นแล้วก็ตายเลย
ตัวอย่างง่าย ๆ ก็เช่นสารอาหารที่ช่วยบำรุงสมอง... จะรู้ได้ยังไงว่าเด็กเล็กขาดแคลนมัน ? สุดท้ายต้องรอให้เด็กโตและไปตรวจวัดจนพบว่าไอคิวต่ำกว่าปรกติถึงรู้ตัว
ดังนั้นหากทำพลาด ชีวิตของลูกคุณนั่นแหละ ที่จะย่อยยับด้วยมือของคุณเอง
ซึ่งก็อย่างที่บอก เอาผู้ใหญ่เอาตนเองมาเทียบไม่ได้ เพราะบางทีขาดสารอาหารแต่ไม่แสดงอาการ ผู้ใหญ่เองก็แข็งแรงมากกว่าด้วย หรือไม่เช่นนั้นก็เปลี่ยนมากินสิ่งที่มีสารอาหารที่ตนเองขาดมาก ๆ โดยสัญชาตญาณ แต่เด็กไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เตรียมใจตรงนี้แล้วหรือยัง ? มีเด็กที่ตายเพราะเรื่องนี้แล้วนะ พ่อแม่ถูกจับติดคุกไปแล้วด้วย
และถึงจะมีเด็กที่กินมังแล้วแข็งแรง แต่มั่นใจได้แค่ไหนว่าสมบูรณ์ดีทุกอย่างกับการที่ต้องบังคับให้กินฝืนธรรมชาติเช่นนั้น ?


ส่วนเรื่องรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น มันเป็นอุปาทาน หรืออาจจะเรียกว่า Psuebo Effect ก็ได้

ซึ่งมันผิดไหม... ก็ไม่ผิดนะ สวดมนต์ก่อนนอนทุกวันก็ให้ผลเช่นนี้ด้วยเช่นกัน
เพียงแต่เรื่องการกินมังฯ มันมีความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นระวังให้ดีด้วย


ประโยคที่ว่า "แล้วถ้าลูกกินมังตั้งแต่เล็กๆ ได้ทำอะไรที่สวนกระแส จะทำลูกรู้จักรับกับแรงกดดันได้ เหมือนที่เราเคยทำ"

เป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างร้ายแรง การกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดการบอบช้ำทางจิตใจของเด็กได้โดยง่าย
สิ่งที่ทำให้เขาแข็งแกร่งไม่ใช่ความโหดร้ายที่สังคมกับครอบครัวมอบให้เขา หากเป็นความรักที่สังคมกับครอบครัวมอบให้เขาต่างหาก
กลับกัน การมอบความโหดร้ายให้กับเขาสิ่งที่จะได้คือจิตใจของเขาที่จะอ่อนแอและบิดเบี้ยว
คุณไปอ่านหนังสือจิตวิทยาเด็กได้เลย ทุกเล่มบอกแบบนี้เหมือนกันหมด
เพราะเด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ ประสบการณ์ที่ผู้ใหญ่คิดว่าเด็กจะทนได้สำหรับเขาคือประสบการณ์ครั้งแรกที่จะจำฝังใจไปจนวันตาย
และเด็กก็ล้วนแต่อ่อนแอ พวกเขาทุกคนล้วนแต่ต้องการที่พึ่ง เขายังไม่ปีกกล้าขาแข็งหรือเรียนรู้ได้มากพอที่จะต่อสู้กับโลกที่โหดร้ายได้
ความคิดเห็นที่ 48
แนะนำเลือกเดินทางสายกลางดีกว่านะคะ แนวคิดคุณมาแบบสุดโต่งมากเลยค่ะ เพราะกินมังแล้วรวย สามีรักมาก เลยอยากจะให้ลูกเป็นเหมือนตัวเอง เลิกสร้างกรรมเลย กำหนดชีวิตให้ลูกแต่ยังเล็กเลย หากคุณได้อ่าน คคห. 44 คงพอเห็นภาพบ้าง ว่าการที่คุณกำหนดชีวิตลูกจนตึง ลูกคุณจะต้องเจอกับอะไรบ้าง คุณคงลืมไปว่าสังคมเรา ไม่ใช่สังคมมังสวิรัติ ถ้ามีก็เป็นส่วนน้อย

คุณคิดว่าลูกคุณจะยืนหยัดไม่กินอยู่คนเดียวไปได้ยังไง ท่ามกลางหมู่เพื่อนที่เค้ากินปกติกันทั้งหมด จะเถียงว่าการที่พ่อแม่ให้กินเนื้อสัตว์ก็เป็นการเลือกให้ลูกเหมือนกัน เราว่าไม่เหมือนนะ เพราะชีวิตคนเรามันควรกินได้ทุกอย่างไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่ห้ามกินนั่น ห้ามกินนี่ แบบนี้ต่างหากเค้าถึงเรียกว่าเป็นการกะเกณฑ์ชีวิต

การบังคับเลือกให้เค้า กับการให้เค้าเลือกเองมันต่างกันนะคะ ทำไมไม่ให้โอกาสลูกคุณได้เลือกล่ะคะ ช่วงนี้ยังเป็นวัยเด็ก ก็ให้เค้าได้ลิ้มรสไปทุกอย่างเป็นปกติไปก่อน และเมื่อวันนึงลูกถามว่าทำไมพ่อแม่ถึงกินไม่เหมือนเค้า เค้าอาจจะนึกอยากทำแบบเดียวกับคุณก็ได้ และก็น่าจะทำได้ดีด้วยเพราะเค้าอยากทำเอง หากแม้นเค้าจะไม่กินเหมือนคุณ มันก็สิทธิ์ของเค้าเหมือนกัน ชีวิตใครชีวิตมัน คุณบังคับเค้าได้เหรอคะ กับแค่การกินอยู่ยังไม่ให้อิสระเค้าได้เลือกเลย ไม่สงสารลูกคุณรึไงคะ

หากเลือกที่จะบังคับโดยที่เค้าไม่สมัครใจ สุดท้ายก็อาจจะเป็นแบบคุณคคห.44 ก็ได้ ที่ตบะแตก และรู้สึกไม่อยากกินข้าวร่วมโต๊ะกับพ่อแม่ เพราะไม่อยากถูกตำหนิ กลายเป็นต่อต้านการกินมังสวิรัติไปเลย

ส่วนตัวเราไม่เชื่อว่าคนเราจะรวย หรือสามีรัก เพราะการแค่กินมังสวิรัตินะคะ มันมีปัจจัยอื่นหลายๆอย่างด้วย ไม่งั้น คนที่กินเนื้อสัตว์มาทั้งชีวิตคงโดนสามีทิ้งกันถ้วนหน้าเลยสิคะ มันเป็นแค่ความบังเอิญมากกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่