สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 11
สวัสดีค่ะ ขอชื่นชมในความอดทนนะคะ จขกท เป็นคนเก่งนะ มีความคิด มีความสามารถ จึงมาถึงทุกวันนี้ได้ค่ะ
จะยึดเป็นแบบอย่างนะคะ เราเคยล้มมาเหมือนกัน ทำไอศกรีมกะทิสดขายค่ะ ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ในด้านธุรกิจ แต่อยากจะออกมาทำ
ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ วันแรกขายได้ 40บาท มึนเลยค่ะ แต่เราก็ไม่ท้อนะคะ คือคิดว่าต้องพยายามให้คนรู้จัก ได้ชิมได้ลอง แล้วเค้าจะต้องเปลี่ยนความคิด. พอเริ่มจะมีลูกค้า ก็ตัดสินใจเอารถไปเข้าไฟแนนซ์ ก็เงินออกมาซื้อเครื่องจักรค่ะ แต่ยังไม่ทันไร ลูกค้ายกเลิกออเดอร์เสียดื้อๆ ไปไม่เป็นเลย แต่ยังมุ่งมั่นทำต่อค่ะ รายไหนยกเลิก เราก็หารายใหม่ อดทน ตื่นตีสามไปซื้อกะทิ ลงมือทำ กว่าจะเสดเกือบตีหนึ่งของอีกวันค่ะ ช่วงว่างก็ไปแจกไอติม หาลูกค้า ก็เริ่มได้รับการตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ ตอนนี้ผ่านไปเกือบสามปีแล้ว มานั่งย้อนดู เราก็กล้ามากๆ จนวันนี้เรามีตัวแทนกว่า 10 สาขา ดีใจค่ะ
ยังไงเสีย ทุกคนต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะสำเร็จได้ไม่ง่ายค่ะ สู้ๆๆๆๆ
จะยึดเป็นแบบอย่างนะคะ เราเคยล้มมาเหมือนกัน ทำไอศกรีมกะทิสดขายค่ะ ด้วยความที่ไม่มีประสบการณ์ในด้านธุรกิจ แต่อยากจะออกมาทำ
ลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ วันแรกขายได้ 40บาท มึนเลยค่ะ แต่เราก็ไม่ท้อนะคะ คือคิดว่าต้องพยายามให้คนรู้จัก ได้ชิมได้ลอง แล้วเค้าจะต้องเปลี่ยนความคิด. พอเริ่มจะมีลูกค้า ก็ตัดสินใจเอารถไปเข้าไฟแนนซ์ ก็เงินออกมาซื้อเครื่องจักรค่ะ แต่ยังไม่ทันไร ลูกค้ายกเลิกออเดอร์เสียดื้อๆ ไปไม่เป็นเลย แต่ยังมุ่งมั่นทำต่อค่ะ รายไหนยกเลิก เราก็หารายใหม่ อดทน ตื่นตีสามไปซื้อกะทิ ลงมือทำ กว่าจะเสดเกือบตีหนึ่งของอีกวันค่ะ ช่วงว่างก็ไปแจกไอติม หาลูกค้า ก็เริ่มได้รับการตอบรับดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ ตอนนี้ผ่านไปเกือบสามปีแล้ว มานั่งย้อนดู เราก็กล้ามากๆ จนวันนี้เรามีตัวแทนกว่า 10 สาขา ดีใจค่ะ
ยังไงเสีย ทุกคนต้องผ่านการล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะสำเร็จได้ไม่ง่ายค่ะ สู้ๆๆๆๆ
ความคิดเห็นที่ 4
ธุรกิจผมเริ่มจากการอยากทำอะไรซักอย่างให้ครอบครับ จึงเอาบ้านไปกู้ได้เงินมา สามแสน ซึ่งเป็นก้อนสุดท้ายในชีวิตเลย หลังจากที่คิดมานานว่าจะทำอะไร จึงได้เริ่มต้นทำ ร้านทุกอย่าง 20 โดยลงทุนซื้อชั้นวางของใหม่หมด ในงบ 50,000 ลงสินค้าไปประมาน 150,000 หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จ ก็ไปติดติดเช่าห้องใต้ตึก
เค้าคิดเดือนละ12,000 มัดจำล่วงหน้า 3เดือน อีก36,000 เหลืองบติดตัว 52,000 ขายของทุกอย่าง20 เชื่อไหมครับ ลงของ 150,000ไม่พอครับ คนจะมาถามหาของแปลกๆอยู่เรื่อย ซึ่งเราต้องซื้อมาเติม และใช้ทุนตรงนั้นไปจนหมด ของขายได้วันละ 3000-7000 บาทแต่หักทุนแล้ว กำไรน้อยมาก เพราะของบางชิ้นทุนมา 18 บาท ซึ่งทั่วไปเขาจะขาย 25 บาท แต่ผมฝืนครับอยากขาย20ตามชื่อร้าน
ซึ่ง อยู่ได้แค่7เดือน ก็ต้องถอยกลับบ้าน เพราะค่าใช้จ่ายต่อเดือน ทั้งค่าเช่า ค่าส่งบ้าน ค่าใช้จ่ายส่วนตัว รวมๆแล้ว ตกเดือนละ30,000
ซึ่งของที่ผมขายได้เป็นเงินหมุนพอหักทุนแล้ว เหลือเดือนละ 20,000กว่าๆเองครับ เข้าสามเดือนหลังนี่ยิ่งหนักเลยครับ รถโดนยึดแล้ว เงินไม่พอค่าเช่า ต้องไปกู้นอกระบบมาอีก15,000โดนดอกเบี้ย วันละ 300 จ่ายวันต่อวันครับ
สงสารลูกเมียที่ต้องนั่งรถเมล์ทุกวัน จึงหารถเก่าๆในเวป แล้วซื้อมาใช้ครับ เป็นโตโยต้า โดเรม่อน เขาขายให้35,000 เงินตรงนี้ได้เพื่อนช่วยครับ ซื้อมาก็ให้เพื่อนซ่อมให้นิดหน่อย ก็ขับได้มาจนถึงปัจจุบันครับ
พอจนตรอกเข้า ก็ตัดสินใจยกของทั้งหมดกลับบ้านครับ รวบรวมเงิน ก้อนใช้หนี้นอกระบบ แล้วทำงานประจำหาเงินใช้หนี้เพื่อน
ผมนำของทั้งหมดมาขายหน้าบ้านผม รายได้ต่อวันมีตั้งแต่0-500 ถือเป็นรายได้พิเศษครับ จริงๆผมไม่ควรทำอะไรเกินตัวเลยครับ
ตอนนี้หมดหนี้สินแล้ว รอเก็บเงินก่อนครับ จะเริ่มลุยใหม่ เริ่มจากทำเป็นงานอดิเรกก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปจะดีกว่า (ส่วนเรื่องบ้านเป็นหนี้แม่อีกแล้วครับ อิอิ) แม่ยึดโฉนดไปแล้ว บอกว่าหาสามแสนมาคืนแล้วจะได้คืน 555 สู้ต่อไปครับ ผมต้องทำให้ได้
เค้าคิดเดือนละ12,000 มัดจำล่วงหน้า 3เดือน อีก36,000 เหลืองบติดตัว 52,000 ขายของทุกอย่าง20 เชื่อไหมครับ ลงของ 150,000ไม่พอครับ คนจะมาถามหาของแปลกๆอยู่เรื่อย ซึ่งเราต้องซื้อมาเติม และใช้ทุนตรงนั้นไปจนหมด ของขายได้วันละ 3000-7000 บาทแต่หักทุนแล้ว กำไรน้อยมาก เพราะของบางชิ้นทุนมา 18 บาท ซึ่งทั่วไปเขาจะขาย 25 บาท แต่ผมฝืนครับอยากขาย20ตามชื่อร้าน
ซึ่ง อยู่ได้แค่7เดือน ก็ต้องถอยกลับบ้าน เพราะค่าใช้จ่ายต่อเดือน ทั้งค่าเช่า ค่าส่งบ้าน ค่าใช้จ่ายส่วนตัว รวมๆแล้ว ตกเดือนละ30,000
ซึ่งของที่ผมขายได้เป็นเงินหมุนพอหักทุนแล้ว เหลือเดือนละ 20,000กว่าๆเองครับ เข้าสามเดือนหลังนี่ยิ่งหนักเลยครับ รถโดนยึดแล้ว เงินไม่พอค่าเช่า ต้องไปกู้นอกระบบมาอีก15,000โดนดอกเบี้ย วันละ 300 จ่ายวันต่อวันครับ
สงสารลูกเมียที่ต้องนั่งรถเมล์ทุกวัน จึงหารถเก่าๆในเวป แล้วซื้อมาใช้ครับ เป็นโตโยต้า โดเรม่อน เขาขายให้35,000 เงินตรงนี้ได้เพื่อนช่วยครับ ซื้อมาก็ให้เพื่อนซ่อมให้นิดหน่อย ก็ขับได้มาจนถึงปัจจุบันครับ
พอจนตรอกเข้า ก็ตัดสินใจยกของทั้งหมดกลับบ้านครับ รวบรวมเงิน ก้อนใช้หนี้นอกระบบ แล้วทำงานประจำหาเงินใช้หนี้เพื่อน
ผมนำของทั้งหมดมาขายหน้าบ้านผม รายได้ต่อวันมีตั้งแต่0-500 ถือเป็นรายได้พิเศษครับ จริงๆผมไม่ควรทำอะไรเกินตัวเลยครับ
ตอนนี้หมดหนี้สินแล้ว รอเก็บเงินก่อนครับ จะเริ่มลุยใหม่ เริ่มจากทำเป็นงานอดิเรกก่อน แล้วค่อยพัฒนาไปจะดีกว่า (ส่วนเรื่องบ้านเป็นหนี้แม่อีกแล้วครับ อิอิ) แม่ยึดโฉนดไปแล้ว บอกว่าหาสามแสนมาคืนแล้วจะได้คืน 555 สู้ต่อไปครับ ผมต้องทำให้ได้
แสดงความคิดเห็น
อยากให้เพื่อนๆร่วมกันแชร์ประสบการณ์ การ"ล้ม"และการ"ลุก"จากธุรกิจครับ
พอดีผมทำธุรกิจส่วนตัวต่อจากรุ่นคุณพ่อ ซึ่งตอนนี้เริ่มฟื้นขึ้นมาในระดับหนึ่ง และก็อยากแชร์และฟังปสก.ของทุกท่านที่เคยผ่านอะไรร้ายๆจากการทำธุรกิจกันครับ
ธุรกิจของผม เริ่มจากรุ่นคุณพ่อ ตอนปี 40ล้มหนักมาก หนี้สินหลายร้อยล้าน ตอนนั้นผมยังเด็กมากๆประมาณ 10 ขวบ จำความได้ว่าตอนเด็กๆฐานะที่บ้านดีมาก มีรถจาร์กัว รถโฟล์กคันใหญ่ บ้านหลังใหญ่ จนมีอยู่วันนึงคุณพ่อมากอดแล้วบอกว่า"ขอโทษนะลูก ชีวิตเราจะไม่เหมือนเดิมเเล้ว" มีเห็นคุณพ่อนั่งร้องไห้อยู่ในรถกับคุณแม่ ทรัพย์สินต่างๆก็เริ่มหายไป ต้องย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นต์เล็กๆ หน้าบ้านมีป้ายประกาศยึดบ้านแปะอยู่ จากที่ทุกวันศุกร์ที่บ้านจะมีแขกมาเยี่ยมเต็มไปหมด หลังจากตอนนั้นก็ไม่มีใครมา จากกินข้าวในห้าง ได้ไปเล่นของเล่น ก็ไม่ได้ไป รถโฟล์กที่นั่งไปโรงเรียนเปลี่ยนไปนั่งรถกระบะจนน้องๆญาติๆแซว(กระบะแล้วไงวะ!!) คุณพ่อพยายามอธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ตอนเด็กๆ ทำให้ผมเริ่มรู้เรื่องบ้างแม้ว่าจะไม่ค่อยเข้าใจ เลยตั้งใจเรียน เริ่มทำมาหากิน ขายของแต่เด็ก
ผมจำได้มีครั้งนึงผมอยู่ม.ต้น ผมไปธนาคารแห่งหนึ่ง คุณพ่อไปเจรจาหนี้ โดยขอชำระบางส่วน ลุงนายแบงก์หันมาถามผมว่า "หนูเรียนโรงเรียนอะไร" พอผมตอบ...(โรงเรียนชายล้วนแถวบางรัก) ลุงแกหันไปบอกพ่อผมว่า "เงินก็ไม่มี ยังจะให้ลูกเรียนแพงๆ" ผมจำฝังใจมาก และไม่เคยใช้บริการแบงก์นั้นอีกเลย... มาคิดดูวันนี้ ทัศนคติลุงแกจันไรมาก(พูดทีไรก็ขึ้น!!) อี%^&*(*&^%เอ๋ยยยย ยิ่งไม่มี ต้องยิ่งให้ลูกมีการศึกษาดีๆซิวะ!!
ฝังใจตั้งแต่เด็ก ว่า ยังไงตูก็จะรวยให้ได้!!! ตั้งใจเรียน(เฉพาะวิชาที่จำเป็น) อ่านหนังสือนอกเวลา ทำกิจกรรมไปเรื่อย ฝันคืออยากทำธุรกิจแล้วประสบความสำเร็จ คืนชีวิตดีๆให้พ่อให้แม่ ลบคำสบประมาทที่เคยทับถม
ธุรกิจคุณพ่อตอนนั้น หลังจากเป็น NPL จะต้องหมุนด้วยเงินนอกระบบ (ดบ.20%++) ไม่ได้ใช้เงินในระบบเลย แต่ผมทึ่งที่คุณพ่อไม่เคยยอมแพ้ จนคนรอบตัวถอดใจหมด จากพนง.300คน เหลือ10กว่าคน แกก็ยังสู้ต่อ จนคนรอบตัวหาว่าแกบ้า ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจ ว่าพ่อจะยื้อทำไม (มาวันนี้เข้าใจละ)
พอผมขึ้นมหาลัย ติดคณะบัญชีมหาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ตอนปี1ได้มีโอกาสก็ได้ทุนส่วนตัวจากอาจารย์ ทำธุรกิจเล็กๆ ลองไปเรื่อย ได้มีโอกาสรุ่งและเจ๊ง== ตอนนั้นผมเริ่มมีเครดิตดีกับธนาคาร เงินหมุนวันนึงหลายๆหมื่น เซ็นเช็คได้ตั้งแต่อายุ 19 ตอนนั้นผมเหลิงมาก ไม่เรียนเลย เอาเงินที่ได้ ไปเที่ยวเล่น สิ่งที่เสียอย่างมากเรื่องนึง คือไม่เลือกคบคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟน ครับ ตอนนั้นมองแต่เปลือกภายนอก เจ็บตัวไปเยอะครับ
เอาเวลาไปขยายธุรกิจรัวๆ อายุ19 มีพนง. 10กว่าคน ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง ทุ่มสุดตัว สุดท้ายเจ๊งไม่เป็นท่า + น้ำท่วมซ้ำอีก=="
เชื่อมั้ยครับ "ทุกความสำเร็จที่เร็จที่ผ่านมา ไม่สอนอะไรเท่าการเจ๊งเพียงครั้งเดียว"
ตอนนั้นเสียกำลังใจมากครับ แต่ก็เอาวะ ก็เริ่มต้นใหม่แบบมีสติมากขึ้น สุดท้ายได้มีโอกาสทำไปงานระดับประเทศอยู่สองสามครั้ง(ด้วยความที่ว่าผู้ใหญ่เมตตา) สุดท้ายก็รวมเงินกับครอบครัวซื้อบ้านหลังนึงคืนจากแบงก์ได้ ส่วนเรื่องแฟน ปัจจุบันจบมา 5 ปีแล้ว เธอน่ารัก ตั้งใจทำงาน ไม่งี่เง่า ไม่งอแง เพื่อนชอบแซวว่าแฟนผมอ้วน(ก็กินเยอะหนิ== ตอนคบใหม่ๆหนักเลข4ต้นๆ ปัจจุบัน5กลางๆครับ555)แต่เค้าก็น่ารักที่สุดสำหรับผม ที่สำคัญคือเธอโครตตตตตตตเข้าใจผม สิ่งที่สอนผมมากๆกับการคบใคร คือ"ห้ามคบแล้วเหนื่อย" เพราะถ้าคุณเหนื่อย คือคุณกำลังฝืน ไม่ว่าจะเหนื่อยอะไรก็ตาม
"คบกับใครแล้วต้องมีความสุข อย่าฝืนเป็นอะไรที่ไม่ใช่คุณครับ เพราะคุณฝืนได้ไม่นานหรอกครับ"
จากหลังนั้นก็เรียนจบ และตัดสินใจขายธุรกิจตัวเองออกแล้วมาช่วยคุณพ่อครับ
ฝากนิดนึงครับ เผื่อนน้องๆที่เรียนอยู่หลงเข้ามาอ่าน ผมว่าวัยเรียนเป็นวัยที่สนุกที่สุดแล้วครับ และเวลาผ่านไปแล้วมันผ่านเลย มันเอากลับมาไม่ได้ ดังนั้นผมอยากให้เราใช้วัยนี้ให้"คุ้มค่า"ที่สุด
คำว่า "คุ้มค่า" ในที่นี้ คือตั้งใจในทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เป็นเวลาที่เราควรตักตวง ความรู้ให้ได้มากที่สุด อย่าจบแค่นั่งเรียนในห้อง แล้วลัลล้าหลังเลิกเรียน ความรู้นอกตำรา ยังมีอีกมาก หากมีโอกาส ควรทำงานไป เรียนไป ใช้ชีวิตปิดเทอมให้คุ้มค่าครับ หาประสบการณ์ในการทำงานให้มากที่สุดตั้งแต่เรียน แล้ววันนึงน้องจะขอบคุณตัวเองครับ
ในขณะเดียวกัน รักษาbalanceช่วงเวลากับเพื่อนๆ กับแฟนไว้ให้ได้ครับ
อีกอันที่สำคัญมาก คือ"ค่าขนม" ผมบอกเลย เป็นรายได้ที่ดีที่สุดแล้ว เงินฟรีๆไม่เสียภาษี เก็บรักษาให้ดีครับ แล้วน้องจะรู้ว่ามีต้นทุนชีวิตที่ดีกว่าคนอื่นหากน้องมีเงินเก็บ จะดีมากหากได้มีโอกาสลงทุนอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน ฯลฯ ถามว่าเริ่มยังไง แนะนำหาซื้อหนังสือดีๆอ่านครับ
เที่ยวเล่นได้ แต่พอประมาณ ของไม่ดีอย่างเหล้า/บุหรี่ เลี่ยงเถอะครับ อย่างน้อยคิดซะว่าคุณพ่อคุณแม่น้องไม่ได้ทำงานเหนื่อยแทบตายเพื่อหาเงินมาให้น้องซื้อยาพิษทานครับ
จำไว้ครับ "อย่าเอาความสุขที่เราควรจะได้รับในอนาคตมาใช้หมดกับปัจจุบันครับ"
กลับมาเรื่องธุรกิจครับ
ผมมาในจังหวะที่ธุรกิจขาดสภาพคล่องอย่างหนัก แต่คุณพ่อก็ยื้อทุกวิถีทาง สิ่งที่ทำตอนนั้น มีดังนี้ครับ
1. เริ่มปรับโครงสร้างทางการเงินกันใหม่ครับ แยกหนี้ กับทุน หนี้มีเท่าไรออกมาจัดแจงให้หมด แล้วจัดลำดับการชำระหนี้
2. downsizeธุรกิจลง อะไรขายไม่ดี ต้องมาสต็อกก็ตัดออก จนสุดท้าย เหลือแต่สิ่งที่ขายได้ และเราถนัดจริงๆ จนเป็น competencyของเรา
3. ปรับโครงสร้างของค่าใช้จ่าย ลด fixed cost เช่น ปกติจ้างช่างประจำ ก็เปลี่ยนเป็นช่างเหมา project by project ตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก จัดการเรื่อง OT เรื่องจากเบิกจ่ายต่างๆ
4. เปลี่ยนผมที่ประวัติคลีน มาเป็นกรรมการ (คุณพ่อติด NPL ฮะ) เพื่อให้สามารถทำธุรกรรมกับธนาคารได้
5. ผมเริ่มนโยบาย กัน5%ของรายได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เวลามียอดขายเข้ามา ต้องกันออกไปเลย5% ห้ามใช้!!! ทำงี้ไปเรื่อยๆ2 3 ปี จนเราเริ่มมีเงินหมุนอีกครั้ง
6. พยายามระดมทุนก้อนใหม่ ส่วนผมยอมรับเลยครับ โครงสร้างนโยบายธนาคารบ้านเรา"ไม่เอื้ออำนวย"ต่อ smesอย่างรุนแรงครับ(คหสต.นะครับ)
> ปล่อยยากมาก เห็นโฆษณาเอาๆ แต่ผมเห็นปล่อยโครตยาก ถามทุกอย่างสืบทุกเรื่อง ผมเคยมีอยู่ทีนึง ติดบูโร เพราะพนง.ไม่ได้ไปจ่ายหลักประกันอะไรซักอย่าง ไม่กี่พันบาท เลยแป็กเฉย...
> ทุกครั้งที่ไปหาเงินกู้ คุณถามหาหลักประกันที่ดิน อสังหาฯ smesเค้าจะไปมีกันทุกคนได้ไง? เคยเอาเงินสดไปวางเป็นหลักประกัน 3ล้าน ได้วงเงินมา 3ล้าน... อยากจะถามว่าทำทำไม== ส่วนบ้าน หัวเด็ดตีนขาดผมก็จะไม่เอาไปไว้ในแบงก์อีกครับ
> ดอกแพงไม่เบา คือเทียบกับนอกระบบ แน่นอนว่าถูกกว่า แต่smes ยังไงก็โดนดอกแพง ในขณะที่สินเชื่อตัวเดียวกันแต่บ.เพื่อนผม(บ.ใหญ่)ดอกถูกกว่าเกือบครึ่ง!! แล้วรายย่อยเอาอะไรไปสู้?
สุดท้ายเราก็สู้กันเอง ไม่ได้พึ่งแบงก์เหมือนเดิม...
7. หาลูกค้าชั้นเลิศ ที่ไม่ได้รับกระทบอะไร(หรือกระทบน้อยมาก)จากพิษเศรษฐกิจ หาให้ได้ซัก 2 3ราย มีรายนึงโอ๋ผมเต็มที่จนแกรักเหมือนหลาน ซื้อเงินสด ไม่ยื้อ ไม่ดึง ทุกวันนี้วงที่ผมไปนั่งกินข้าวด้วยเป็นอาแป๋ะอายุ 60+เกือบทั้งวง==
8. ใช้หนี้!! เดือนแรกที่ผมเข้ามาทำ ผมเดินสายขอโทษขอโอกาสจากเหล่าเจ้าหนี้ครับ มีรายนึงเราเป็นหนี้เค้าอยู่เกือบ10ล้าน คุณพ่อไปแลกเช็คมา อากงแกอายุมากแล้ว แกเลยบอกว่า ถือว่าแกเห็นแก่หลาน ไอที่ผ่านๆมาถือว่าแล้วไปละกัน สุดท้ายแกฉีกเช็คทิ้งต่อหน้าผมเลย ทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามา ผมเอาไปใช้หนี้เสมอ ไม่ว่ามากหรือน้อยตามกำลังของเรา
9. ไม่ compromise กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ แต่เห็น เราต้องพูด ต้องแก้ อย่าปล่อยให้เกิดขึ้น เพราะสุดท้าย ปัญหาใหญ่ มันมาจากการสะสมของปัญหาเล็กๆเสมอครับ
10. ไม่ลืม พนักงาน ที่สู้ฝ่าฟันมากับเรา rewardเค้าทุกครั้งที่มีโอกาสครับ เค้าคือกำลังสำคัญที่สุด ผมไหว้กระทั่งยามบริษัทครับ ก่อนจะให้ใครเคารพเรา ผมว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือเคารพเค้าก่อนครับ
จนสุดท้าย เครดิตต่างๆก็เริ่มดีขึ้น แบงก์เริ่มเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาเราเอง ส่วนไอแบงก์ที่เคยบอกให้ผมไปเรียนที่อื่น ไปไกลๆเลย!!
ปัญหาปัจจุบันก็ยังเยอะอยู่มากครับ มันสั่งสมมาหลายปี เราตัดเนื้อออกไปหลายส่วน แต่พอทำอะไรซ้ำๆเยอะๆจนกลายเป็น competency(หรือความสามารถเฉพาะของธุรกิจ) จนทุกวันนี้ทำกันไม่ทัน ต้องปิดรับออเดอร์เพราะทุนเราน้อย สุดท้ายหมุนเงินไม่ทันเป็นประจำอยู่ดีครับ
แม้ว่าเรายังไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็เรียกว่าดีขึ้นมากครับ และทั้งหมดนี้ ผมเครดิตคุณพ่อผมไม่เคยยอมแพ้มาตลอดเกือบ20ปีครับ ทำให้ผมกำลังใจเกินร้อยครับ
ผมเชื่อนะครับ คนเรา สร้างเนื้อสร้างตัวได้จากการทำมาหากิน ไม่ใช่การพนัน ไม่ใช่การทำผิดกฏหมาย พวกนั้นไม่ยั่งยืนครับ อ่านหนังสือให้เป็นนิสัย ผมว่าช่วยได้เยอะครับ ส่วนไอพวกรวยเร็วรับล้านในสิบวันนั่นเพ้อเจ้อครับ อย่าไปอ่าน สื่อขยะๆบ้านเรามีเยอะ ลองอ่านรีวิวหน่อยก็ดีครับ
ผมรู้ว่าช่วงนี้ เศรษฐกิจแย่ คู่แข่งเยอะ ผมว่าเป็นช่วงที่ดีที่จะshapeให้เราแข็งแกร่งขึ้น ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ smes และคนมีฝันสู้คนอย่ายอมแพ้นะครับ!!