แบงก์ชาติ กับ ‘กติกาใหม่’ กำกับดูแลธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่ง

สวัสดีค่ะผู้อ่านทุกท่าน ครั้งนี้จะขอมาชวนคุยเรื่องธุรกิจเช่าซื้อและลีสซิ่งซึ่งเป็นธุรกิจที่ช่วยให้ประชาชนสามารถเช่าซื้อรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ค่ะ มีผู้ให้บริการกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศกว่า 3,000 ราย โดยในปี 2567 ธุรกิจนี้มียอดคงค้างสินเชื่อสูงถึง 1.6 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 10% ของตัวเลขหนี้ครัวเรือนของประเทศ

ซึ่งการให้บริการประชาชนเป็นวงกว้าง มีจำนวนธุรกิจเยอะและส่วนใหญ่ยังเป็นบริษัทขนาดเล็ก ทำให้ยากต่อการดูแลอย่างทั่วถึงหรือให้ธุรกิจเหล่านี้ทำตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลลูกค้าและให้บริการอย่างเป็นธรรม ซึ่งทำให้ล่าสุดมีการมอบหมายให้แบงก์ชาติที่คุ้นเคยกับการให้บริการด้านการเงินมาช่วยกำกับดูแลธุรกิจเหล่านี้ด้วย

แล้วแบงก์ชาติจะดูแลเรื่องนี้ได้อย่างไรบ้าง ?
สำหรับธุรกิจเช่าซื้อหรือลีสซิ่งเหล่านี้ แบงก์ชาติจะเน้นการสร้างความเป็นธรรมให้ผู้บริโภค ตั้งแต่การคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ให้สมเหตุสมผลและโปร่งใส ผู้ประกอบการต้องเปิดเผยข้อมูลสำคัญให้ประชาชนรู้อย่างครบถ้วน ก่อนตัดสินใจ และหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองผู้บริโภคต้องครบถ้วน เช่น ต้องดูความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อ

หรือระยะเวลาในการผ่อนต้องเหมาะสม รวมถึงมาตรฐานการให้บริการลูกค้า ตั้งแต่การโฆษณาที่ไม่เกินจริง การเสนอขายที่ชัดเจน ไปจนถึงการมีกระบวนการช่วยเหลือเมื่อลูกหนี้มีปัญหาในการผ่อนชำระ

แบงก์ชาติเข้ามา “ช่วยดูแล” ไม่ได้มา “คุมเข้ม”
พอได้ยินว่าแบงก์ชาติจะเข้ามากำกับดูแล หลายท่านอาจจะนึกถึงการใช้กฎระเบียบในการกำกับดูแลที่เข้มงวด หรือ “คุมเข้ม” เหมือนที่ทำกับธนาคารพาณิชย์ แน่นอนว่าธนาคารพาณิชย์เป็นผู้รับ “เงินฝาก” ของประชาชน ดังนั้น หากเกิดอะไรขึ้นกับธนาคาร ผลกระทบจะรุนแรงและเป็นวงกว้าง การดูแลจึงต้องมีกลไกเข้าไปตรวจสอบโดยละเอียด ต้องดูว่าธนาคารมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี ในการดูแลเงินฝากและบริหารเงินกู้ เพื่อหล่อเลี้ยงกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมั่นคง

แต่ธุรกิจเช่าซื้อนี้จะต่างออกไป ทั้งเรื่องแหล่งเงินทุนที่ไม่ได้มาจากเงินฝาก วัตถุประสงค์ที่มุ่งให้ประชาชนเข้าถึงการมีรถหรือรถจักรยานยนต์ไว้ใช้งาน รวมถึงธุรกิจส่วนใหญ่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แนวทางการ “ช่วยดูแล” จึงเน้นไปที่การให้ธุรกิจปฏิบัติตามกติกาที่เป็นธรรมนั่นเอง ซึ่งจะยืดหยุ่นกว่า และจะดูแลตามความเสี่ยงและผลกระทบที่ผู้ประกอบธุรกิจจะมีต่อประชาชน

โดยสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีลูกค้าจำนวนมาก การกำกับดูแลจะทำอย่างใกล้ชิดกว่า และมีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน แต่สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก จะใช้เทคโนโลยีอย่าง AI เข้ามาช่วย เช่น สอดส่องเรื่องการโฆษณาเกินจริง การให้ข้อมูลลูกค้า หรือเสียงร้องเรียนจากประชาชน เพื่อไปตรวจสอบได้ตรงจุด

แล้วในฐานะลูกค้า/ลูกหนี้ จะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากที่แบงก์ชาติเข้ามาดูแล ?
อย่างแรก คือ การคิดค่าธรรมเนียมหรือการคำนวณอัตราดอกเบี้ยจะใช้มาตรฐานเดียวกัน มีความโปร่งใส อะไรที่ไม่ควรเก็บ ก็จะเรียกเก็บไม่ได้ ซึ่งอาจช่วยให้ผู้บริโภคมีภาระลดลงและมีโอกาสผ่อนชำระได้มากขึ้น

นอกจากนี้ ลูกค้าจะมีข้อมูลครบถ้วนไว้เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ย ยอดที่ต้องผ่อนชำระทั้งหมด หรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถเลือกผู้ให้บริการที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุดได้

นอกจากนั้น หากประสบปัญหาทางการเงิน ก็จะปรับโครงสร้างหนี้เพื่อลดภาระได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดและเป็นธรรม และสุดท้าย หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสัญญาเช่าซื้อ ก็สามารถร้องเรียนมาที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินของแบงก์ชาติ โทร.1213 ได้โดยตรง

ผู้ประกอบการต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
ผู้ประกอบการเจ้าเดิมไม่ต้องกังวลว่าจะต้องหยุดทำธุรกิจก่อน เพราะไม่ใช่การขออนุญาตในการทำธุรกิจ เพียงแต่เป็นการเข้ามา “ลงทะเบียนเพื่อรายงานตัว” กับแบงก์ชาติผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ประกอบการทุกรายที่ต้องเข้ามาอยู่ในระบบเดียวกัน

ทั้งนี้ กระบวนการลงทะเบียนจะเน้นให้ผู้ประกอบการ เปิดเผยข้อมูลของตนเอง (Self-Disclosure) เป็นหลัก โดยจะต้องให้ข้อมูลพื้นฐานว่า “บริษัทท่านคือใคร ตั้งอยู่ที่ไหน” “ทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร” และ “มีใครเป็นผู้บริหาร” เท่านั้น ไม่ใช่การตรวจสอบเพื่อจับผิดหรือขออนุญาตอะไรที่ยุ่งยาก

แล้วผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์อะไร ?
อย่างแรก คือ ช่วยยกระดับมาตรฐานของธุรกิจ จากการสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลดีต่อชื่อเสียงของธุรกิจเองอีกด้วย เพราะทุกรายมีมาตรฐานการให้บริการเดียวกัน และน่าเชื่อถือ

นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างสนามแข่งขันที่เท่าเทียมกันให้กับทุกคน จากการใช้กติกาเดียวกันของแบงก์ชาติ ต่างจากปัจจุบันที่ผู้ประกอบการที่ดีอาจต้องเหนื่อยแข่งกับผู้ที่ใช้กลยุทธ์ที่ไม่เป็นธรรม

จะเริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อไหร่ ?
หลังจากนี้ จะมีการพูดคุยรับฟังความเห็นจากฝั่งผู้ประกอบการในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้ก่อน เพื่อให้กติกาที่จะออกมานั้นปฏิบัติได้จริง และในช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายนจะเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยคาดว่าจะเริ่มเปิดให้ผู้ประกอบธุรกิจเข้ามารายงานตัวออนไลน์ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป (กฎหมายจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2568) ทั้งนี้ แบงก์ชาติจะแจ้งวันที่และระยะเวลาในการรายงานตัวของผู้ประกอบธุรกิจให้ทราบต่อไป

ดังนั้น บทบาทของแบงก์ชาติในครั้งนี้ ไม่ใช่การเข้ามา “เข้มงวดกับผู้ประกอบการ” หรือ “โอบอุ้มผู้บริโภค” แต่มาในฐานะ “ทำให้เป็นไปตามกติกา” เพื่อให้ทุกคนในสนามแข่งขันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการหรือผู้บริโภค ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1846007


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่