ราอูลล์ มหาเวทย์ป่วนฟ้า (แฟนตาซี) ตอนที่ 14 ฟินิกซ์คู่แห่งทอร์ส

กระทู้สนทนา


ตอนก่อนหน้า

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

*****************************************


ขอบคุณนักอ่านทุกท่านสำหรับการติดตาม ราอูลล์ มหาเวทย์ป่วนฟ้า นะคะ

ขอบคุณมากมายสำหรับทุกกิ๊บ ทุกโหวตกำลังใจ

จากหัวกระทู้ที่แล้ว
แมวน้อยหางกุด ถูกใจ, Lady Star 919 ซึ้ง, GTW ทึ่ง, สมาชิกหมายเลข 1182478 หลงรัก, ออมอำพัน ซึ้ง, lovereason ทึ่ง, Inverness ถูกใจ

จากความคิดเห็นที่1
Lady Star 919 ซึ้ง, GTW ซึ้ง, สมาชิกหมายเลข 1182478 ซึ้ง, ออมอำพัน ซึ้ง, Inverness ถูกใจ, lovereason ทึ่ง

ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับความคิดเห็นจากแฟนพันธุ์แท้ คุณสมช.หมายเลข 1182478 และอาจารย์จี นะคะ

ขออนุญาตแปะโป้ง ตอบความคิดเห็นช่วงสายๆ นะคะ

-----------------------------------------------------------------------------





ราอูลล์ มหาเวทย์ป่วนฟ้า
014

ฟินิกซ์คู่แห่งทอร์ส




ซีรินซ์ก็แปลกใจตัวเอง ที่กลับรู้สึกดี เมื่อรุ่งขึ้นราอูลล์กลับมาทำตัวห่างเหินเหมือนเดิม กลับมาเห็นหล่อนเป็นแค่คนแปลกหน้า เพิ่งรู้จักกัน และมีพันธะเพียงเพราะรับปากกับแม่เฒ่าโอราลล์ไว้ก่อนหญิงชราจะตายจากไป... เพียงเท่านั้น...

และเขาก็กระตือรือร้น ที่จะได้กระทำการนั้นให้สำเร็จ

การไปส่งหล่อน ให้ถึงที่หมาย ส่งไปที่นครแห่งแสง ไปส่งให้ซิริอัสส์ ณ นครแห่งนั้น

หลังมื้อเช้า ป้าสีมาร์ทำท่าเป็นการเป็นงาน เรียกหล่อนกับเขาไปนั่งรอที่ห้องโถง หายขึ้นไปข้างบนพักหนึ่ง ก็ลงมาพร้อมหีบไม้ใบยาว ท่าทางหนักเอาการ

พอนางวางลงบนโต๊ะ ราอูลล์ก็ทำท่าจะคว้า จนถูกผู้เป็นป้าตบเบาๆ ที่มุมกะโหลก

“อย่าแตะต้องมั่วซั่ว!”

สีมาร์ผลักมือหลานชายออกจากฝาหีบ แล้วคว้าข้อมือไว้ไม่ปล่อย

“แหม! คุณนายป้าหน้าโหด มีสมบัติเก็บงำ แอบซ่อนเอาไว้ใช่ไหมล่ะ หรือนี้เพราะข้าจะไป เลยคิดจะแบ่งสมบัติ...”

ราอูลล์แกล้งเย้ายั่ว แต่ก็ยอมรับฟังแต่โดยดี

“ข้าขอถามอีกครั้งนะราอูลล์ นี้เจ้าตั้งใจจะพาหนูซีรินซ์กลับไปที่นครแห่งแสงจริงๆ หรือเปล่า”

มือที่กุมข้อมือชายหนุ่มเพิ่มแรงบีบ บอกให้รู้ว่าต้องการคำตอบจริงจัง

คนถูกถามหันไปสบตากับหญิงสาว ปากก็เอ่ยว่า

“ก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว นี้ไอ้อูลล์นะคุณนาย เป็นลูกผู้ชาย พูดจาคำไหนก็คำนั้น”

“ดี!”

สีมาร์รับคำสั้นๆ ยิ้มชื่นชมกับเจตนาของหลานชาย ปล่อยมือเขา แล้วเปิดหีบใบยาวให้ทั้งสองคนได้เห็นชัดๆ

“โอววว์...” ราอูลล์ครางยืดยาว “...นี้มันสุดยอดกระบี่ใช่ไหมล่ะ”

“ควรเรียกว่าดาบ เพราะมีคมด้านเดียว... ไอ้เด็กคนนี้ สอนไม่รู้จักจำ!”

สีมาร์แกล้งค้อนหลานชาย ผู้ที่ไม่ค่อยเคยจะใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่นางเคยพร่ำสอน

สิ่งที่ทุกคนเห็นในขณะนี้คือ ดาบเล่มใหญ่ สัณฐานแบนยาว ไม่ใช่เรียวแหลมเหมือนดาบที่นิยมกันทั่วไป ความยาวน่าจะยาวเลยหนึ่งช่วงแขนของชายหนุ่มเล็กน้อย ดูยากว่าหล่อหลอมมาจากโลหะใดบ้าง แต่ประกายความคมกล้าก็สะท้อนออกมาอย่างเด่นชัด

โกร่งหรือกำบัง ซึ่งคั่นอยู่ระหว่างตัวดาบกับด้ามจับ หล่อจากโลหะอีกชนิด เป็นรูปทรงคล้ายวิหคสยายปีก ด้ามพันด้วยหนังที่มีลายคล้ายเกล็ดงู ทำให้น่าจะจับได้มั่นคง

แม้ไม่มีความเชี่ยวชาญ แต่ใครๆ ก็ต้องรู้ว่า สิ่งตรงหน้าต้องเป็นระดับสุดยอดศัตราวุธ

ราอูลล์ลูบคลำดาบวิเศษอย่างมาดหมาย สบสายตาวิบๆ กับผู้เป็นป้า

“นี้เพราะเจ้าจะเดินทางไกล หนทางข้างหน้าต้องเจออุปสรรคอีกไม่น้อย ดาบนี้สำหรับเจ้าสะพายติดตัว ไว้สำหรับป้องกันต้องและคุ้มครองหนูซีรินซ์”

“แหมๆๆๆ คุณนายป้าขอรับ นี้ไอ้อูลล์นะป้า แถมเป็นเซเรสส์ ซะด้วย หลานชายคนนี้เคยกลัวใครซะที่ไหนล่ะ”

คนพูดทำท่าผึ่งผาย ยืดไหล่ ยกสองมือขึ้นกอดอก แล้วเชิดหน้า อย่างพยายามให้สตรีตรงหน้าอีกสองคน เห็นตามนั้นไปด้วยจริงๆ

“แต่นี่คือดาบที่พ่อเจ้า เตรียมไว้ให้!”

สีมาร์โพล่งออกมา ประโยคนี้แทบทำให้วงแตก

สีหน้าราอูลล์เปลี่ยนไปทันที มือที่ลูบคลำดาบ ก็คล้ายกระทบถูกของร้อน ดีดถอยออกห่างทันที

“ทำไมล่ะ เค้าจะทิ้งเอาไว้ให้ข้าทำไม”

น้ำเสียงที่ถามออกมานั้น แสดงชัดว่า ยังน้อยใจอยู่ไม่รู้วาย

“ก็พ่อแม่เจ้ารู้แต่แรกไงล่ะ ตั้งแต่เด็กๆ ละ ที่นิสัยอย่างเจ้า จะทนอุดอู้อยู่แต่ในหมู่บ้านทอร์สนี้ไม่ได้แน่ กลัวว่าสักวันหนึ่ง ถ้าเจ้าอยากจะออกไปท่องโลกกว้างจริงๆ ก็เลยทิ้งดาบนี้ไว้ให้เป็นของประจำตัว”

คำอธิบายของสีมาร์ ต้องปรับโทนเสียงและสีหน้าลงอีกมาก นางเข้าใจสภาพจิตใจของหลานชายเป็นอย่างดี

และเพราะความเข้มงวดของตัวเอง ที่เลี้ยงดูกันมาสองคนป้าหลาน นั่นย่อมต้องทำให้ชายหนุ่มยิ่งนึกรังเกียจ ชิงชังพ่อแม่มากขึ้น โทษฐานทอดทิ้งเขาเอาไว้ กับความลำบากแสนเข็ญ

“แล้วจะต้องเป็นห่วงอะไร ตอนนี้ไม่สายไปไหนเหรอ ถ้าเป็นห่วงจะทิ้งข้าไปทำไม... ป่านนี้คงลืมไปแล้ว ว่ามีข้าอยู่บนโลกใบนี้!”

ราอูลล์ขึ้นเสียงเพราะความโมโห ไม่สบตาผู้เป็นป้าอีก เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนาง

“ไอ้เด็กโง่...”  แม้เป็นคำด่า แต่น้ำเสียงของสีมาร์อ่อนโยนอย่างยิ่ง

“เจ้ายังเป็นเด็กน้อยหรืออย่างไรจึงไม่รู้คิด... พ่อแม่น่ะนะ แม้จะลืมอะไรๆ ในโลกในชีวิตได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่เคยลืมลูกแท้ๆ ของตนหรอกนะ”

“ข้าไม่สน ข้ารู้แต่ว่าพวกเขาทิ้งข้าไป!”

ถึงตอนนี้ซีรินซ์ไม่รู้จะวางสีหน้าอย่างไร เพราะสองคนป้าหลาน มีน้ำตาคลอๆ ขึ้นมาด้วยกันทั้งคู่

พอใช้ไม้อ่อนหลานชายยังเถียงเสียงแข็ง สีมาร์ก็ต้องกลับมาตั้งคำถามกระแทกกระทั้น

“ก็แล้วยังไงล่ะ! หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้ว่า ทำไมเขาถึงต้องทอดทิ้งไป!”

แต่ราอูลล์ยังดื้อ แม้จะอึกอักนิดหน่อย แต่ก็เถียงเพื่อเอาชนะ

“ก็... แล้ว... ใครจะไปสนกันล่ะ ข้าไม่อยากฟัง ข้าไม่อยากรู้อะไรทั้งนั้น!”

พูดแล้วก็ผุดลุก ทำท่าจะผลุนผลันจากไป แต่ต้องชะงัก เพราะสีมาร์ไม่ได้ง้อ กลับตวาดไล่หลังว่า

“ก็ดี!... ข้าจะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลาย!!!”

ราอูลล์หันมองตาขวาง แต่ก่อนจะได้พูดอะไร ซีรินซ์ก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า

“ท่านป้าสีมาร์คะ... หนูรินซ์อยากรู้นะคะ อย่างนั้นก็เล่าให้หนูรินซ์ฟังเถิดนะคะ”

จากคำขอร้องนี้ แม้ชายหนุ่มจะยังฮึดฮัดขัดใจ แต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร สะบัดหน้าหนีและไม่ได้เดินไกลออกไปจากเดิม

ผู้เป็นป้าย่อมรู้ทัน กับท่าทางไม่สนใจจะฟังของหลานชาย จึงเอ่ยเปรยๆ กับซีรินซ์เสียก่อนว่า

“ได้ซีแม่หนู... ป้าจะเล่าให้แม่หนูซีรินซ์ฟัง ไอ้ลูกลิงหน้าไหนก็ห้ามแอบฟังนะ”

จากนั้นสีมาร์ก็ชวนหญิงสาวนั่นลงอีกครั้ง แล้วค่อยเริ่มลำดับเรื่องราว

“คืออย่างนี้นะจ๊ะ... พ่อแม่ของราอูลล์ อาจนับว่าเป็นพ่อแม่ที่ดีไม่ได้ก็จริง แต่ก็นับได้ว่าเป็นนักรบผู้กล้าที่หาได้ยากในทั้งสามมหาทวีป ที่ไหนมีความไม่เป็นธรรม มีขุนนางหรือเศรษฐีโฉดชั่ว พวกเขาจะปล้นคนรวยไปช่วยคนจน...”

คนเล่าหยุดนิดหนึ่ง ชำเลืองไปทางหลานชาย เห็นเขาตั้งใจฟังแม้ยังทำเป็นเมิน ก็กระแอมไล่ พอเห็นยังเฉยๆ ไม่ไปไหน นางก็เล่าต่อ

“พ่อแม่ของราอูลล์ นับเป็นยอดนักรบผู้กล้า เป็นเกียรติยศแห่งเซเรสส์ เมื่อสิบกว่าปีก่อน ถึงกับได้รับยกย่องว่าเป็น ฟินิกซ์คู่แห่งทอร์ส ถ้าแม่หนูเคยได้ยินมาบ้าง สมญานามนี้ ก็เป็นพ่อแม่ของราอูลล์เข้านี่ละ”

“ออออออออ๋อ!...”

ราอูลล์ส่งเสียงยืดยาว คล้ายเพิ่งเข้าใจอะไรได้ชัดเจน เขาแทรกทั้งเสียง ทั้งตัวที่พลิ้วกลับเข้ามาร่วมโต๊ะ

“มิน่าๆ เขาถึงได้มีลูกเป็นยอดคน ยอดวีรบุรุษน้ำใจงามเหมือนกัน”

“เมื่อกี้บอกไม่อยากฟังไม่ใช่เรอะยะ!”

สีมาร์ตวาดเคืองๆ แต่ชายหนุ่มยังลอยหน้าเถียง

“อ้าว! ก็คุณนายป้าเสียงดังขนาดนี้ ต่อให้ไปยืนอยู่ปากทางหมู่บ้าน ก็ยังได้ยิน!”

เขาแกล้งนั่งกระแซะ บนม้านั่งตัวเดียวกับผู้เป็นป้า แม้จะหันหน้าไปอีกทาง แต่ก็เอาต้นแขนดันๆ เรียกความสนใจจากอีกฝ่าย เป็นการง้อกัน แบบที่เขาทำกับสีมาร์เป็นประจำ

ซีรินซ์เห็นสองคนป้าหลาน กลับมามีท่าทางกลมเกลียวกันอีกหนก็ยิ้ม พยักให้กับรอยอมยิ้มของสีมาร์ ยกคิ้วให้แก่กัน แสดงว่าเรื่องยกดาบวิเศษ ให้ราอูลล์ครอบครอง เขาคงจะยินยอมไม่ยากอีกแล้ว

เมื่อชายหนุ่มหันมาสนใจดาบสำคัญอีกครั้ง สตรีทั้งสองก็ยิ่งยิ้ม เขาค้นในหีบได้ตำราดาบเล่มหนึ่ง

“ตำราดาบนักรบผู้กล้า... นี้ท่านป้าสอนข้าตั้งนานมาแล้วไม่ใช่หรือ”

เขาคลี่เปิดให้อีกฝ่ายดู สีมาร์แค่ชำเลืองๆ มอง แล้วตอบว่า

“ไอ้เด็กโง่! ที่เจ้าร่ำเรียนกับป้านี้ แค่ไม่ถึงหนึ่งในสามหรอกน่ะ...นี้คือสุดยอดวิชาของตระกลูนักรบผู้กล้าของเรา เจ้าต้องตั้งใจฝึกให้ดี เข้าใจไหมล่ะ”

อารูลล์ฟังไป ก็เปิดพลิกตำราไปทีละหน้า สีหน้าพออกพอใจ ทำให้สีมาร์และซีรินซ์คลายใจได้อีกมาก

“เออนะ!... ตาแก่นั่น ก็มีอะไรดีๆ อยู่เหมือนกัน”

แม้จะโกรธๆ แต่เวลานี้ราอูลล์ก็ยอมรับพ่อแม่ตนได้มากขึ้นแล้วจริงๆ

“เพราะเขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...”

สีมาร์จับไหล่หลานชาย จ้องหน้าเขา เพื่อถ่ายทอดความในใจของตนเอง

“...ข้างนอกนั้นน่ะ อันตรายมีอยู่รอบตัว เจ้าจะทำตัวเรื่อยเปื่อยไม่เป็นการเป็นงานอย่างเมื่อก่อนนี้ ไม่ได้แล้วนะ เลิกเล่นสนุกไปวันๆ เสียที ข้างนอกมันอันตรายมาก ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา รู้หรือเปล่า”

“เอาน่าๆ... ป้าอย่าพูดอะไรเยอะแยะ เอาเป็นว่าข้าจะระวังตัว ตั้งใจฝึกฝนตัวเอง...”

เห็นสีมาร์ยังจ้องหน้านิ่ง คล้ายว่าเขายังพูดอะไรไม่หมด ราอูลล์จึงต้องพูดต่อไปด้วยว่า

“...แล้วก็... ข้าจะดูแลหนูซีรินซ์ของป้าให้ดีๆ... พอใจไหมล่ะ”

คราวนี้ผู้เป็นป้าพยักหน้า หันไปยิ้มกับซีรินซ์ ซึ่งหล่อนก็ยิ้มตอบ แม้จะระคนกับแววความหม่นหมองอยู่อีกมากก็ตาม

“เฮ้อ!...”

แต่กลับเป็นสีมาร์ที่ถอนหายใจออกมาอย่างเศร้าๆ

“...แม้แต่เจ้า หลานชายที่ข้าเลี้ยงดูมาตั้งแต่ไม่กี่ขวบ สุดท้ายก็จะจากข้าไปอีกคน”

นางเลื่อนมือไปกุมมือชายหนุ่มไว้อีกครั้ง

“...ตึกบ้านเซเรสส์ เหลือเจ้ากับข้า ก็ต้องแปลงเป็นที่ให้คนเดินทางพักค้างแรม นี้เจ้าจะไปอีกคน ก็คงต้องเหลือเพียงข้าคนเดียวแล้วสินะ... พูดก็พูดเถอะราอูลล์  ที่กลัวที่สุดคือกลัวว่า ตระกูลนักรบผู้กล้าของเรา จะหมดทายาทสืบเชื้อสาย... และถ้าต้องลาโลกนี้ไปอีกคน ก็ไม่รู้จะไปตอบคำถามนี้กับญาติพี่น้องบนสรวงสวรรค์ได้ยังไง”

คำท้ายยิ่งหม่นเศร้า คนพูดหันไปทางซีรินซ์ ในถ้อยคำนั้นหวังสื่อสารให้ทั้งสองคนเข้าใจ แต่ราอูลล์รู้ทัน ไม่อยากรับปากอะไรให้ผูกมัดตัวเองไปกว่านี้ และไม่อยากให้บรรยากาศของการจากกัน กลายเป็นเรื่องของความเศร้าโศก จึงตอบไปว่า

“ไม่เป็นไรหรอกน่า คุณป้าหน้าสวย... เอาเป็นว่า ข้ารับปากว่าจะรีบกลับมา พอถึงจังหวะดีๆ ข้าก็จะมีลูกสักสิบเก้าคน ให้เล่นกันอึกทึกครึกโครม ทุกวันๆ เลยดีไหมล่ะ...”

สีมาร์ยิ้มเจื่อนๆ ให้หลานชาย มีหรือนางจะไม่รู้ว่าธาตุแท้นิสัยของเขาเป็นอย่างไร ที่ราอูลล์ดูไม่เป็นการเป็นงาน ก็เพราะเขาไม่อยากให้ใครๆ เคร่งเครียดจริงจังกับชีวิตมากเกินไป เขาไม่ใช่เป็นคนไร้สามารถหรือไม่ได้ความอย่างที่แสดงออก แต่นี้ก็อาจเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ในการทำให้เขาเดินทางไปไม่ได้ตลอดรอดฝั่ง

เห็นผู้เป็นป้ายังคล้ายๆ จะยิ้มพร้อมๆ กับจะร้องไห้ออกมา เขาก็ต้องพูดต่อไป

“ทำไมล่ะ หรือว่านี้ข้าพูดอะไรผิด”

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่