กล่าวกันว่า ‘หนี’ คือเคล็ดวิชาสุดท้าย สำหรับการจะได้กลับมาแก้มือ เรื่องนี้ราอูลล์ใช้การอยู่เป็นประจำ แต่เพิ่งเคยได้ยินจากปากคุณนายป้าสีมาร์เป็นครั้งแรก
ซีรินซ์ก็วิ่ง เขายังงงว่า เมื่อครู่หล่อนยังคล้ายหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วอยู่ๆ ทำไมจึงฮึดขึ้นมาได้ ครั้นจะออกปากถาม เรื่องราวก็กำลังฉุกละหุก คิดเอาเองว่า อาจเป็นตอนเฉพาะรวบรวมสมาธิร่ายเวทคาถาก็ได้ ที่หล่อนถูกฤทธิ์ยาสั่งทำให้ต้องด้านชา...
พากันวิ่งหน้าตั้งไปได้ไม่ถึงยี่สิบก้าว ก็มีเสียงตูมๆ ดังรัวมาจากด้านหลัง!
ทุกคนชะงัก หันกลับแต่ยังไม่เห็นอะไร กระทั่งอีกพริบตาหนึ่ง ก็มีดาบใหญ่หน้าตาประหลาด พุ่งจากท้องฟ้า ปักลงบนพื้น... มันวาวแสงได้ คล้ายเพิ่งเติมพลังงานมาเต็มเปี่ยม
เสียงตูมๆ ที่ได้ยิน ทำให้ตำแหน่งที่ไกลออกไปยังคลุ้งฝุ่น แสดงว่าต้องเป็นผลของแรงระเบิดบางชนิด
พวกสาวกลัทธิทั้งสาม แค่กระโดดถอยหลบ พอฝุ่นจางลง พวกมันก็ทำท่าจะบุกเข้ามาอีก
คราวนี้มีเสียงกูร้องก้องฟ้า ฟังเหมือนชายบ้าแหกปากตะโกนไร้สาระ สตรีทั้งสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะยังไม่เห็นใครในท้องฟ้า แต่ราอูลล์จำได้ทันที
“จาาาาาาาาารยยยยยย์”
เขาตะโกนเรียก อีกเป็นอึดใจใหญ่ กว่าเจ้าของเสียงคล้ายฟ้าลั่นคำราม จะปราฏกตัว
ชาล์ลเหินลงมาในท่านอน หงายตัวยกขาไขว่ห้าง มือหนึ่งสอดหนุนใต้ศีรษะ อีกมือ... มีสุราอีกขวดหนึ่ง...
“อ่อ! ที่แท้หนีไปหาเหล้ากิน”
ราอูลล์อดพึมพำไม่ได้ สายตาจดจ้องคนนิสัยประหลาด นี้คงไม่แคล้วร่วงตุ๊บเหมือนเคย
ทว่า... คราวนี้กลับสง่างาม...
ชาล์ลค่อยลอยลงมาช้าๆ พอดิบพอดีกับกลางแผ่นหลังประทับลงบนส้นดาบที่ปักแน่น
“โหววว์....โค ตะ ระ เท่...!!!”
ราอูลล์ถึงกับซู้ดปากชื่นชม วิ่งรี่เข้ามาถึงตัวผู้เป็นอาจารย์ แต่ชาล์ลยังนอนเฉยบนด้าม “ดาบใหญ่” ที่เขาประกาศเป็นส่วนหนึ่งของฉายาตน
“ไอ้ศิษย์หางแถว! เจ้ารู้ไหม ข้าต้องเสียสุราไปกี่หยด”
เขาโวยขำๆ ขณะจะอธิบายว่า นั้นคือต้นเหตุของเสียงระเบิดตูมๆ ที่ช่วยทั้งสามคนไว้ได้ วายร้ายทั้งสามก็โผนตัวเข้ามาอีกครั้ง
พวกมันประสานท่วงท่า วาดฟันขวานทลายฟ้าทั้งเล็กใหญ่ วัตถุนั้นไม่หลุดจากมือ แต่พลังมหาศาลกลับพุ่งโจมตีออกมา
ชาล์ลระวังอยู่แล้ว ดีดตัวถอย ยืนขวางคุ้มครองลูกศิษย์และสตรีทั้งสอง โยนขวดเหล้าให้ราอูลล์ พริบตาถัดมาก็ดันฝ่ามือไปข้างหน้า กระแทกพลังมหากาฬ ผ่านคมของดาบใหญ่ คลื่นรังสีวาบออกไปพร้อมอานุภาพพุ่งตรง ทำลายฤทธิ์ของขวานทลายฟ้าสามประสาน ให้กระจัดกระจาย
ราอูลล์อ้าปากค้างด้วยความทึ่ง ส่วนสีมาร์อึ้งไป ซีรินซ์ได้แต่เอาใจช่วยคนที่อยู่ๆ ก็โผล่เข้ามาช่วยเหลือพวกตน
พวกสาวกลัทธิก็ตกใจ ไม่คิดว่าผู้มีฝีมือขนาดนี้ จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กๆ แต่พวกมันก็มั่นใจในตัวเอง เมื่อพลาดท่าก็แก้ตัว เปลี่ยนแผนเป็นบุกตะลุยเข้ามาตรงๆ
ชาล์ลปราศจากการพรั่นพรึ่ง โผเข้าคว้าดาบคู่มือ พุ่งตัวสวนกลับ รับการโจมตีทันที
ดาบใหญ่ปลายตัดของเขา มีอานุภาพมหาศาล ทุกครั้งที่ตวัดใช้ออก สิ่งของรอบข้างล้วนปลิวกระเด็น สาวกลัทธิทั้งสามคนก็เช่นกัน
อาจารย์หมาดๆ ของราอูลล์ ชะงักไปนิดหนึ่ง คล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนเริ่มลงมืออีกครั้ง เมื่อฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวกันติดอีกหน
คราวนี้คล้ายชาล์ลมีมนตรามหัศจรรย์ กระชากขวดสุราจากราอูลล์คืนมา ใช้มือหนึ่งปิดปากขวด เขย่ารัวๆ แล้วเปิดปากหันไปทางพวกมัน
แทนที่จะมีน้ำสุราสาดพุ่งออกไป แต่กลับกลายเป็นมีแรงดึงดูดมหาศาล สูบพวกสาวกลัทธิทั้งสามคน รวดเดียวก็หายเข้ามาอยู่ในขวด
ราอูลล์ถึงกับปรบมือชอบใจ มีท่าทางยิ่งยกย่องเทิดทูนชาลล์จนออกนอกหน้า จนสีมาร์ยิ่งหมั่นไส้ เพราะคราวตนเอง ต้องสั่งเสียก่อน หลานชายจึงทำท่าทางชื่นชม
“จารย์ๆ ไมไม่เห็นสอนวิชานี้ให้ข้าบ้างล่ะ”
ชายหนุ่มรีบเข้ามาซูฮก เพ่งเล็งขวดเหล้ามือชาล์ล สงสัยว่าพวกวายร้ายจะเข้าไปเบียดอัดกันอยู่ได้ยังไง
“ไอ้เด็กบ้า!...” สีมาร์ขัดจังหวะ กระชากไหล่ราอูลล์จนหน้าหงาย “ถ้าคิดจะเรียนวิชานักรบจริงๆ ก็ต้องหัดวิชาของพวกเซเรสส์สิ!”
ชาล์ลหันขวับ มองตาขวาง
“เอ้ยยย! ป้าคนนี้ทำไมพูดจาสามหาวสี่หาวอย่างนี้ เจ้าเป็นใคร...”
สีมาร์ไม่สนใจหรอกว่า เมื่อครู่คนถามจะสำแดงฝีมือออกมาขนาดไหน หล่อนเบ้หน้าใส่ หัวเราะในลำคอสองคำ ก่อนจะเชิดหน้าตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ฟังให้ดีๆ นะเจ้าขี้เมา... ตัวข้านี้ก็คือ สีมาร์... เซเรสส์ สีมาร์...”
คำตอบนั้นทำให้ชาล์ลคล้ายถูกของหนัก กระแทกเข้าที่หน้าจนผงะ
พอตั้งสติได้ ก็เพ่งเล็งจ้องมองหญิงวัยใกล้ชราให้ชัดๆ เอ่ยทวนคำตอบราวไม่เชื่อสายตาตนเอง
“เซเรสส์ สีมาร์... เหรอ...”
คำท้ายคล้ายไม่มั่นใจ ถึงกับยื่นหน้าดูหน้าป้าของราอูลล์ใกล้ๆ ยื่นมือหมายพินิจความนุ่มเนียนเต่งตึงของใบหน้า แต่สีมาร์ปัดมือเขาออกไม่เกรงใจ
“จะทำอะไร ไอ้ขี้เมาลามก!”
ที่จริงเค้าความงามของสีมาร์ยังมีเหลืออยู่มาก แต่เพราะไม่ได้ตกแต่งหน้าตาหรือเนื้อตัวเหมือนคราวโลดแล่นอยู่ในโลกของผู้กล้า ดังเช่นเมื่อสิบกว่าปีก่อน สภาพที่ใครๆ เห็นเวลานี้ หล่อนจึงแทบไม่แตกต่างจากมนุษย์ป้าทั่วไป
แต่ชาล์ลยังจดจ้อง เมื่อพิจารณาได้ถ้วนถี่ ก็ถึงกับรำพึงออกมาเบาๆ
“แน่ใจ... ข้าแน่ใจก็ได้... นี้เองน่ะรึ สีมาร์... สตรีนักรบผู้กล้า ที่เคยได้รับฉายาโฉมงามเด็ดดอกไม้...”
“ไอ้บ้า!!!... แค่โฉมงามเฉยๆ ไม่ต้องมาเติมอะไรให้ข้าอีก ทำไมล่ะ... ข้าไม่สนหรอกนะ ใครจะแน่ใจไม่แน่ใจอะไรน่ะ!”
แล้วหล่อนก็ผลักอกเขาอย่างแรง ราอูลล์ไม่แน่ใจว่า ที่ชาล์ลถอย เพราะแรงผลักนั่นจริงๆ หรือไม่
“คุณนายป้า... เคยได้รับฉายาว่านักรบโฉมงาม... จริงๆ อะเหรอ”
กระทั่งหลานชายเองแท้ๆ ยังอดกังขาไม่ได้
“แล้ว...” ชาล์ลซึ่งถอยไปสองสามก้าว ถามต่อทันที “...แล้วทำไมมันทรุดมันโทรม เหมือนพ่ายแพ้แรงโน้มถ่วงราบคาบอย่างนี้ล่ะ”
แทนที่สีมาร์จะเดือดดาลคนปรามาส หล่อนหันมาตีแขนหลานชายผัวะหนึ่ง
“เพราะเจ้านั่นละราอูลล์ ถ้าไม่ต้องก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน เลี้ยงดูเจ้าให้เติบโตขึ้นมา ป่านนี้ข้าก็ยังจะต้องเป็นโฉมงามให้หนุ่มๆ ต้องหลงใหล!”
“อ้าว!... ทำไมมาโทษกันง่ายๆ งั้นล่ะ”
คำโวยไม่เข้าหู สีมาร์ถึงกับจะเขกกะโหลกหลานชาย แต่ต้องชะงักเพราะเสียงกระซิบ
“ดีละๆ เห็นสภาพเจ้าวันนี้ ดีแล้วละที่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เจ้าปฏิเสธความรักของข้า”
“ว่าอะไรนะ!”
คำหลังๆ เบาจนสีมาร์ฟังไม่ถนัด
“ช่างเถอะๆ...” ชาล์ลเลิกสนใจหญิงใกล้ชรากะทันหัน หันไปสนใจสาวน้อยหน้าใสอีกคนหนึ่งแทน
เขากระหยิ่มยิ้มย่องให้ซีรินซ์ ซึ่งหล่อนก็ยังทำอะไรไม่ถูก
“แม่หนูน้อย ทำไมพวกสาวกลัทธิเทพรัตติกาลถึงตามรังควานเจ้าล่ะ”
“เพราะเรื่องอะไรข้าก็ไม่รู้...” พูดไม่ทันจบหญิงสาวก็คุกเข่าลงต่อหน้าคนถาม
“ท่านนักรบผู้กล้า ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ได้โปรดช่วยเหลือแม่เฒ่ากับพี่ๆ ที่เกาะแก้วมรกตด้วย... ได้โปรดนะคะ”
เห็นท่าทางใสซื่อจริงใจ เห็นน้ำตาคลอตา ทำให้คนถูกร้องขอ ใจอ่อนได้พอสมควร
“แล้ว... บนเกาะแก้วมีเหล้าดีๆ ให้ข้าไหมล่ะ”
แต่คำถามกลับเป็นคล้ายไร้สาระ
“ที่เกาะแก้วมรกต ไม่เคยเห็นแม่เฒ่าให้ใครดื่มสุรา...”
ซีรินซ์อ้อมแอ้มตอบ แต่ชาล์ลทำเป็นมีสีหน้าไม่พอใจชัดเจน
“ไม่มีเหล้า ก็... ไม่มีชาล์ล ข้าไปละ”
แล้วเขาก็ไม่รีรออะไรอีก กระโดดพุ่งหายขึ้นไปบนอากาศ ไม่กู่ก้องตะโกนถ้อยคำอะไร อึดใจเดียวก็หายลับไปหลังหมู่อาคารและพุ่มไม้สูง
“เห็นไหมๆ นี้สมเป็นอาจาร์ยของข้าไหมล่ะคุณนายป้า”
ราอูลล์ยังชื่นชมตามหลัง
“นิสัยมุทะลุ ผีเข้าผีออกเหมือนข้าเลยนะเนี่ย”
“ไอ้เด็กบ้า คนไร้สาระเช่นนี้ ถึงมีฝีมือแต่จะมีประโยชน์อะไร! บ้าๆ บอๆ อย่างนี้จะไปนับมันเป็นอาจารย์ได้ยังไง”
(มีต่อ)
ราอูลล์ มหาเวทย์ป่วนฟ้า (แฟนตาซี) ตอนที่ 9 อยากจำกลับลืม
ตอนก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
+++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่าน กดโหวด กดกิฟ กดถูกใจ เช่นเคยนะคะ
จากหัวกระทู้ที่แล้ว
lovereason ทึ่ง, Lady Star 919 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1182478 หลงรัก, GTW ถูกใจ
จากความคิดเห็นที่1
Lady Star 919 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1182478 ขำกลิ้ง, GTW ถูกใจ
จากความคิดเห็นที่2
Lady Star 919 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1182478 ขำกลิ้ง, GTW ถูกใจ
ขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับสอง(สาม)ความคิดเห็น จากคุณ GTW คุณสมาชิกหมายเลข 1182478 และคุณ song982
**********************************
ราอูลล์ มหาเวทย์ป่วนฟ้า
009
อยากจำกลับลืม
กล่าวกันว่า ‘หนี’ คือเคล็ดวิชาสุดท้าย สำหรับการจะได้กลับมาแก้มือ เรื่องนี้ราอูลล์ใช้การอยู่เป็นประจำ แต่เพิ่งเคยได้ยินจากปากคุณนายป้าสีมาร์เป็นครั้งแรก
ซีรินซ์ก็วิ่ง เขายังงงว่า เมื่อครู่หล่อนยังคล้ายหมดเรี่ยวหมดแรง แล้วอยู่ๆ ทำไมจึงฮึดขึ้นมาได้ ครั้นจะออกปากถาม เรื่องราวก็กำลังฉุกละหุก คิดเอาเองว่า อาจเป็นตอนเฉพาะรวบรวมสมาธิร่ายเวทคาถาก็ได้ ที่หล่อนถูกฤทธิ์ยาสั่งทำให้ต้องด้านชา...
พากันวิ่งหน้าตั้งไปได้ไม่ถึงยี่สิบก้าว ก็มีเสียงตูมๆ ดังรัวมาจากด้านหลัง!
ทุกคนชะงัก หันกลับแต่ยังไม่เห็นอะไร กระทั่งอีกพริบตาหนึ่ง ก็มีดาบใหญ่หน้าตาประหลาด พุ่งจากท้องฟ้า ปักลงบนพื้น... มันวาวแสงได้ คล้ายเพิ่งเติมพลังงานมาเต็มเปี่ยม
เสียงตูมๆ ที่ได้ยิน ทำให้ตำแหน่งที่ไกลออกไปยังคลุ้งฝุ่น แสดงว่าต้องเป็นผลของแรงระเบิดบางชนิด
พวกสาวกลัทธิทั้งสาม แค่กระโดดถอยหลบ พอฝุ่นจางลง พวกมันก็ทำท่าจะบุกเข้ามาอีก
คราวนี้มีเสียงกูร้องก้องฟ้า ฟังเหมือนชายบ้าแหกปากตะโกนไร้สาระ สตรีทั้งสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะยังไม่เห็นใครในท้องฟ้า แต่ราอูลล์จำได้ทันที
“จาาาาาาาาารยยยยยย์”
เขาตะโกนเรียก อีกเป็นอึดใจใหญ่ กว่าเจ้าของเสียงคล้ายฟ้าลั่นคำราม จะปราฏกตัว
ชาล์ลเหินลงมาในท่านอน หงายตัวยกขาไขว่ห้าง มือหนึ่งสอดหนุนใต้ศีรษะ อีกมือ... มีสุราอีกขวดหนึ่ง...
“อ่อ! ที่แท้หนีไปหาเหล้ากิน”
ราอูลล์อดพึมพำไม่ได้ สายตาจดจ้องคนนิสัยประหลาด นี้คงไม่แคล้วร่วงตุ๊บเหมือนเคย
ทว่า... คราวนี้กลับสง่างาม...
ชาล์ลค่อยลอยลงมาช้าๆ พอดิบพอดีกับกลางแผ่นหลังประทับลงบนส้นดาบที่ปักแน่น
“โหววว์....โค ตะ ระ เท่...!!!”
ราอูลล์ถึงกับซู้ดปากชื่นชม วิ่งรี่เข้ามาถึงตัวผู้เป็นอาจารย์ แต่ชาล์ลยังนอนเฉยบนด้าม “ดาบใหญ่” ที่เขาประกาศเป็นส่วนหนึ่งของฉายาตน
“ไอ้ศิษย์หางแถว! เจ้ารู้ไหม ข้าต้องเสียสุราไปกี่หยด”
เขาโวยขำๆ ขณะจะอธิบายว่า นั้นคือต้นเหตุของเสียงระเบิดตูมๆ ที่ช่วยทั้งสามคนไว้ได้ วายร้ายทั้งสามก็โผนตัวเข้ามาอีกครั้ง
พวกมันประสานท่วงท่า วาดฟันขวานทลายฟ้าทั้งเล็กใหญ่ วัตถุนั้นไม่หลุดจากมือ แต่พลังมหาศาลกลับพุ่งโจมตีออกมา
ชาล์ลระวังอยู่แล้ว ดีดตัวถอย ยืนขวางคุ้มครองลูกศิษย์และสตรีทั้งสอง โยนขวดเหล้าให้ราอูลล์ พริบตาถัดมาก็ดันฝ่ามือไปข้างหน้า กระแทกพลังมหากาฬ ผ่านคมของดาบใหญ่ คลื่นรังสีวาบออกไปพร้อมอานุภาพพุ่งตรง ทำลายฤทธิ์ของขวานทลายฟ้าสามประสาน ให้กระจัดกระจาย
ราอูลล์อ้าปากค้างด้วยความทึ่ง ส่วนสีมาร์อึ้งไป ซีรินซ์ได้แต่เอาใจช่วยคนที่อยู่ๆ ก็โผล่เข้ามาช่วยเหลือพวกตน
พวกสาวกลัทธิก็ตกใจ ไม่คิดว่าผู้มีฝีมือขนาดนี้ จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องเล็กๆ แต่พวกมันก็มั่นใจในตัวเอง เมื่อพลาดท่าก็แก้ตัว เปลี่ยนแผนเป็นบุกตะลุยเข้ามาตรงๆ
ชาล์ลปราศจากการพรั่นพรึ่ง โผเข้าคว้าดาบคู่มือ พุ่งตัวสวนกลับ รับการโจมตีทันที
ดาบใหญ่ปลายตัดของเขา มีอานุภาพมหาศาล ทุกครั้งที่ตวัดใช้ออก สิ่งของรอบข้างล้วนปลิวกระเด็น สาวกลัทธิทั้งสามคนก็เช่นกัน
อาจารย์หมาดๆ ของราอูลล์ ชะงักไปนิดหนึ่ง คล้ายตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนเริ่มลงมืออีกครั้ง เมื่อฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวกันติดอีกหน
คราวนี้คล้ายชาล์ลมีมนตรามหัศจรรย์ กระชากขวดสุราจากราอูลล์คืนมา ใช้มือหนึ่งปิดปากขวด เขย่ารัวๆ แล้วเปิดปากหันไปทางพวกมัน
แทนที่จะมีน้ำสุราสาดพุ่งออกไป แต่กลับกลายเป็นมีแรงดึงดูดมหาศาล สูบพวกสาวกลัทธิทั้งสามคน รวดเดียวก็หายเข้ามาอยู่ในขวด
ราอูลล์ถึงกับปรบมือชอบใจ มีท่าทางยิ่งยกย่องเทิดทูนชาลล์จนออกนอกหน้า จนสีมาร์ยิ่งหมั่นไส้ เพราะคราวตนเอง ต้องสั่งเสียก่อน หลานชายจึงทำท่าทางชื่นชม
“จารย์ๆ ไมไม่เห็นสอนวิชานี้ให้ข้าบ้างล่ะ”
ชายหนุ่มรีบเข้ามาซูฮก เพ่งเล็งขวดเหล้ามือชาล์ล สงสัยว่าพวกวายร้ายจะเข้าไปเบียดอัดกันอยู่ได้ยังไง
“ไอ้เด็กบ้า!...” สีมาร์ขัดจังหวะ กระชากไหล่ราอูลล์จนหน้าหงาย “ถ้าคิดจะเรียนวิชานักรบจริงๆ ก็ต้องหัดวิชาของพวกเซเรสส์สิ!”
ชาล์ลหันขวับ มองตาขวาง
“เอ้ยยย! ป้าคนนี้ทำไมพูดจาสามหาวสี่หาวอย่างนี้ เจ้าเป็นใคร...”
สีมาร์ไม่สนใจหรอกว่า เมื่อครู่คนถามจะสำแดงฝีมือออกมาขนาดไหน หล่อนเบ้หน้าใส่ หัวเราะในลำคอสองคำ ก่อนจะเชิดหน้าตอบอย่างภาคภูมิใจ
“ฟังให้ดีๆ นะเจ้าขี้เมา... ตัวข้านี้ก็คือ สีมาร์... เซเรสส์ สีมาร์...”
คำตอบนั้นทำให้ชาล์ลคล้ายถูกของหนัก กระแทกเข้าที่หน้าจนผงะ
พอตั้งสติได้ ก็เพ่งเล็งจ้องมองหญิงวัยใกล้ชราให้ชัดๆ เอ่ยทวนคำตอบราวไม่เชื่อสายตาตนเอง
“เซเรสส์ สีมาร์... เหรอ...”
คำท้ายคล้ายไม่มั่นใจ ถึงกับยื่นหน้าดูหน้าป้าของราอูลล์ใกล้ๆ ยื่นมือหมายพินิจความนุ่มเนียนเต่งตึงของใบหน้า แต่สีมาร์ปัดมือเขาออกไม่เกรงใจ
“จะทำอะไร ไอ้ขี้เมาลามก!”
ที่จริงเค้าความงามของสีมาร์ยังมีเหลืออยู่มาก แต่เพราะไม่ได้ตกแต่งหน้าตาหรือเนื้อตัวเหมือนคราวโลดแล่นอยู่ในโลกของผู้กล้า ดังเช่นเมื่อสิบกว่าปีก่อน สภาพที่ใครๆ เห็นเวลานี้ หล่อนจึงแทบไม่แตกต่างจากมนุษย์ป้าทั่วไป
แต่ชาล์ลยังจดจ้อง เมื่อพิจารณาได้ถ้วนถี่ ก็ถึงกับรำพึงออกมาเบาๆ
“แน่ใจ... ข้าแน่ใจก็ได้... นี้เองน่ะรึ สีมาร์... สตรีนักรบผู้กล้า ที่เคยได้รับฉายาโฉมงามเด็ดดอกไม้...”
“ไอ้บ้า!!!... แค่โฉมงามเฉยๆ ไม่ต้องมาเติมอะไรให้ข้าอีก ทำไมล่ะ... ข้าไม่สนหรอกนะ ใครจะแน่ใจไม่แน่ใจอะไรน่ะ!”
แล้วหล่อนก็ผลักอกเขาอย่างแรง ราอูลล์ไม่แน่ใจว่า ที่ชาล์ลถอย เพราะแรงผลักนั่นจริงๆ หรือไม่
“คุณนายป้า... เคยได้รับฉายาว่านักรบโฉมงาม... จริงๆ อะเหรอ”
กระทั่งหลานชายเองแท้ๆ ยังอดกังขาไม่ได้
“แล้ว...” ชาล์ลซึ่งถอยไปสองสามก้าว ถามต่อทันที “...แล้วทำไมมันทรุดมันโทรม เหมือนพ่ายแพ้แรงโน้มถ่วงราบคาบอย่างนี้ล่ะ”
แทนที่สีมาร์จะเดือดดาลคนปรามาส หล่อนหันมาตีแขนหลานชายผัวะหนึ่ง
“เพราะเจ้านั่นละราอูลล์ ถ้าไม่ต้องก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน เลี้ยงดูเจ้าให้เติบโตขึ้นมา ป่านนี้ข้าก็ยังจะต้องเป็นโฉมงามให้หนุ่มๆ ต้องหลงใหล!”
“อ้าว!... ทำไมมาโทษกันง่ายๆ งั้นล่ะ”
คำโวยไม่เข้าหู สีมาร์ถึงกับจะเขกกะโหลกหลานชาย แต่ต้องชะงักเพราะเสียงกระซิบ
“ดีละๆ เห็นสภาพเจ้าวันนี้ ดีแล้วละที่เมื่อสิบกว่าปีก่อน เจ้าปฏิเสธความรักของข้า”
“ว่าอะไรนะ!”
คำหลังๆ เบาจนสีมาร์ฟังไม่ถนัด
“ช่างเถอะๆ...” ชาล์ลเลิกสนใจหญิงใกล้ชรากะทันหัน หันไปสนใจสาวน้อยหน้าใสอีกคนหนึ่งแทน
เขากระหยิ่มยิ้มย่องให้ซีรินซ์ ซึ่งหล่อนก็ยังทำอะไรไม่ถูก
“แม่หนูน้อย ทำไมพวกสาวกลัทธิเทพรัตติกาลถึงตามรังควานเจ้าล่ะ”
“เพราะเรื่องอะไรข้าก็ไม่รู้...” พูดไม่ทันจบหญิงสาวก็คุกเข่าลงต่อหน้าคนถาม
“ท่านนักรบผู้กล้า ได้โปรดเถิดเจ้าค่ะ ได้โปรดช่วยเหลือแม่เฒ่ากับพี่ๆ ที่เกาะแก้วมรกตด้วย... ได้โปรดนะคะ”
เห็นท่าทางใสซื่อจริงใจ เห็นน้ำตาคลอตา ทำให้คนถูกร้องขอ ใจอ่อนได้พอสมควร
“แล้ว... บนเกาะแก้วมีเหล้าดีๆ ให้ข้าไหมล่ะ”
แต่คำถามกลับเป็นคล้ายไร้สาระ
“ที่เกาะแก้วมรกต ไม่เคยเห็นแม่เฒ่าให้ใครดื่มสุรา...”
ซีรินซ์อ้อมแอ้มตอบ แต่ชาล์ลทำเป็นมีสีหน้าไม่พอใจชัดเจน
“ไม่มีเหล้า ก็... ไม่มีชาล์ล ข้าไปละ”
แล้วเขาก็ไม่รีรออะไรอีก กระโดดพุ่งหายขึ้นไปบนอากาศ ไม่กู่ก้องตะโกนถ้อยคำอะไร อึดใจเดียวก็หายลับไปหลังหมู่อาคารและพุ่มไม้สูง
“เห็นไหมๆ นี้สมเป็นอาจาร์ยของข้าไหมล่ะคุณนายป้า”
ราอูลล์ยังชื่นชมตามหลัง
“นิสัยมุทะลุ ผีเข้าผีออกเหมือนข้าเลยนะเนี่ย”
“ไอ้เด็กบ้า คนไร้สาระเช่นนี้ ถึงมีฝีมือแต่จะมีประโยชน์อะไร! บ้าๆ บอๆ อย่างนี้จะไปนับมันเป็นอาจารย์ได้ยังไง”
(มีต่อ)