ตอนที่ 1,2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/33963491
ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/33966512
ตอนที่ 3 part1
อันโตนิโอกับทิมมี่เดินย่องออกมาจากห้องใต้ดินของเซ็กตัน ขึ้นมาสู่ปั๊มน้ำมันที่ตอนนี้มืดสนิทไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาให้เห็นเลยไม่มีผู้คน มีเพียงเสียงลมพัดโบก หวิด…. หวิด…. เสียงเศษกระดาษปลิวว่อนทั่วปั๊ม กลบเสียงฝีเท้าของคนสองคนสนิท
“หมายความว่าไง” อันโตนิโอถามทิมมี่เมื่อทั้งสองมายืนอยู่ที่บ้านร้างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับปั๊มน้ำมัน
“อะไรฮะ” ทิมมี่ถามอย่างสงสัย สายสอดส่องมองหาสิ่งผิดปกติ แล้วเขาก็วิ่งมาหลบอยู่อีกฝากหนึ่งใกล้กับบ้านหลังหนึ่งที่หลังคาพังลงมาเกือบทั้งหมด แสงจันทร์สาดส่องมาที่พวกเขาสองคนเด่นชัด อันโตนิโอวิ่งตามมาติดๆ
“ที่เซ็กตันบอกว่าเธอไม่ได้เกิดที่ดาวดวงนี้นะ แล้วเธอมาจากไหน” อันโตนิโอถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ซิฮะ เซ็กตักคิดว่าผมไม่ใช่คนที่นี้ เขาบอกกับผมอย่างนั้นฮะ”
“ทำไม” อันโตนิโอถามต่อ “มันต้องมีเหตุผลซิที่เขาพูดแบบนั้น”
ทิมมี่ดึงสร้อยที่อยู่ใต้เสื้อออกมา สร้อยเงินที่มีแหวนสองวงขนาดต่างกันห้อยอยู่
“เซ็กตันบอกว่า นี่คือแหวนเพชรเป็นแหวนแต่งงาน คนบนดาวโลกเขาให้แหวนเป็นเครื่องสาบานรักอะไรประมาณนี้ล่ะ” ทิมมี่หยุดพูด เพราะเขาเริ่มไม่เข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้
“เซ็กตันบอกว่านี้คงเป็นแหวนของพ่อกับแม่ผมที่พวกเขาเอาไว้ให้ผม เซ็กตันเลยคิดว่าผมคงมาจากดาวโลก” ทิมมี่หยุดพูด แล้วยัดสร้อยกลับไปใต้เสื้อเหมือนเดิม
ฮัน อันโตนิโอ ตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้นที่สุดเขาไม่เคยไปดาวโลกแต่เขารู้ว่าดาวโลกอยู่ตรงไหนและเป็นอย่างไรเขาศึกษาดาวโลกมาเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสที่ดาวดวงนี้ซักที ถ้าเรื่องที่ทิมมี่พูดเป็นความจริง นี่เขากำลังยืนพูดอยู่กับคนโลกอยู่หรือ
“ดาวโลกอยู่ไกลไหมฮะ คุณเคยไปหรือเปล่า” ทิมมี่ถามเขา
“ไกลมาก และฉันก็ไม่เคยไป ด้วยพลังงานของยานเล็กๆของฉันไปไม่ถึงหรอก” อันโตนิโอบอกกับทิมมี่
“พวกเขาตั้งใจทิ้งผมไป ถึงได้เอาผมมาทิ้งไกลถึงนี้ ปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก” ทิมมี่พูดเสียงสั่นคลอ ทิมมี่เดินหลบอันโตนิโอเพื่อไม่ให้เขาเห็นน้ำตาที่กำลังไหลออกมา
อันโตนิโอเดินตามมาข้างหลังติดๆเว้นระยะห่างเพียงก้าวเดียว
“ทิมมี่ ถ้าพวกเขาคิดจะทิ้งเธอจริงๆนะ พวกเขาจะไม่ทิ้งอะไรที่เป็นหลักฐานตามให้ถึงตัวพวกเขาหรอก นี่พวกเขาทิ้งแหวนแต่งงาน เป็นแหวนเพชรซะด้วย เธอรู้ไหมว่าเพชรในดาวโลกนะมีค่ามหาศาลเลย เธอมีค่าสำหรับพวกเขามากนะ” อันโตนิโออธิบายให้ทิมมี่หายเศร้าใจ แต่ทิมมี่ยังคงยืนหันหลังให้เขา
“พวกเขา พ่อกับแม่เธอนะอาจจะช่วยให้เธอหนีจากบางอย่างที่อันตราย เอาแหวนไว้ให้เธอ แล้วนำเธอมาไว้ในที่ๆปลอดภัย เผื่อทุกอย่างรีบร้อยพวกเขาจะได้กลับมารับเธอ ทิมมี่เธอต้องเชื่อมั่นในพ่อกับแม่เธอนะ” อันโตนิโอพูดให้กำลังใจทิมมี่ทั้งที่จริง เขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
“ตามหาเหรอ ผมรอพวกเขามาสิบสามปี ไม่มี ไม่มีใครมาตามหาผมทั้งนั้น พวกเขาตั้งใจทิ้งผมและพวกเขาก็คงไม่มาตามหาให้เหนื่อยเปล่า ผมเกลียดพวกเขาและผมจะไม่ไปตามหาพวกเขา” ทิมมี่หันมาพูดกับอันโตนิโอ
น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เขารีบวิ่งหนีเข้าไปสู่ความมืดข้างหน้า อันโตนิโอวิ่งตามมาติดๆ พยายามตะโกนเรียกทิมมี่ด้วยเสียงที่แผ่วเบา
อันโตนิโอคว้าแขนทิมมี่ได้แล้วดึงเขาให้หยุดวิ่ง
“เธอไม่ต้องอายที่จะร้องไห้ แต่เธอต้องไม่สิ้นหวังนะ เธอต้องเชื่อมั่นในตัวพ่อกับแม่เธอ เธอยังมีความหวังที่จะเจอพวกเขาใช่ไหม” อันโตนิโอหยุดพูดแล้วปล่อยให้ทิมมี่เช็ดน้ำตาตัวเอง
“เธอมีความหวังใช่ไหม เธอถึงได้ใส่สร้อยเส้นนี้ตลอดเวลา นั่นล่ะเธอมีความหวังที่จะได้เจอพวกเขา” อันโตนิโอพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มอ่อนลงมาบ้างแล้ว
อันโตนิโอจับไหล่ทิมมี่ทั้งสองข้างแล้วก้มหน้ามาอยู่ในระดับสายตาเดียวกับทิมมี่ และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น
“เธอต้องมีศรัทธา ต้องเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ทิ้งเธอไปไหน พวกเขาเอาหัวใจสองดวงไว้ที่เธอคนเดียว พวกเขารักเธอมากนะทิมมี่”อันโตนิโอหยุดพูด เพื่อจะตัดสินใจบางอย่าง
“ฉันจะช่วยเธอตามหาพ่อกับแม่ ถ้าเธอยังอยากเจอพวกเขา” อันโตนิโอเสนอความคิดเห็นที่ทำเอาคนฟัง ถึงกับตาเป็นประกายมีแววแห่งความหวังขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน
“คุณพูดจริงนะฮะ พูดจริงๆนะ” ทิมมี่มีน้ำเสียงที่สดใสขึ้น น้ำตาเหือดแห้งหายไปแววตาแห่งความหวังเอ่อล้นในตัวเขา
“แน่นอนที่สุด” อันโตนิโอยืนยันคำพูดของเขา
ทิมมี่กระโดดตัวด้วยความดีใจแล้วโผเข้ากอดอันโตนิโอ .... ฮัน อันโตนิโอได้แต่ยืนตัวแข็งไม่ชินกับการถูกกอดแบบนี้
**************************************
เซ็กตันดึงกล่องไม้ที่อยู่ใต้เตียงออกมาแล้วลากมันไปให้พ้นทาง เขาก้มส่องดูใต้เตียงที่อยู่ลึกเข้าไปแล้วดึง กระเป๋าหิ้วสีดำใบเล็กออกมา เขาหิ้วมันมาตั้งที่เตียงนอนแล้วเปิดมันออก ข้างในมีปืนเลเซอร์ขนาดพกพาเหมาะกับมือเขาพอดี ถึงจะมีขนาดที่เล็กแต่เซ็กตันรู้ดีว่าอนุภาพทำลายล้างสูง แค่ยิงนัดเดียวอาจพังบ้านได้ทั้งหลัง เซ็กตันเปิดระบบทำงานเพื่อตรวจดูพลังงาน แสงสีเขียวกระพริบที่ข้างด้ามจับ บอกให้รู้ว่าพลังงานยังมีอยู่เต็ม เขาวางมันไว้ใต้หมอน นี่เป็นปืนคู่ใจที่เขาไม่ยอมให้สหพันธ์อวกาศยึดคืน เขาลักลอบเอามันกลับมาด้วยเผื่อจำเป็นต้องใช้ และใกล้ถึงเวลานั่นเต็มที ด้วยสัญชาตญาณที่เคยเป็นทหารมาก่อนเขารู้ว่าคืนนี้จะต้องไม่สงบเหมือนคืนก่อนๆแน่ เซ็กตันดึงหมวกแก๊บสีฟ้าเข้มที่อยู่ใต้ผ้าห่มออกมาสวมใส่ เขากระชับหมวกให้เข้าที่ แล้วนั่งรอคืนนี้คงต้องออกไปสู้กับพวกยักษ์นั่น คือสิ่งที่เขาคิด จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
**********************************************
ลึกลงไปที่หลุมหลบภัยกลางเมือง ชาวเมืองไซเทนแออัดยัดยื้ออยู่ในหลุมกว้างที่สามารถรองรับคนได้เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นแต่ตอนนี้มีคนรอดชีวิตจากยักษ์ถึงร้อยห้าสิบคน ทุกคนต้องเบียดเสียดและแย้งพื้นที่กันนั่ง ใครมีลูกเด็กเล็กแดงก็ต้องอุ้มไว้วางมือมิได้ต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่นได้นั่งด้วย พวกเขาอาศัยอยู่ในหลุมนี้มาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เสบียงหมดเกลี้ยงทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังกับชีวิตไม่มีใครกล้าออกมาข้างนอก
“พวกเราจะอยู่กันต่อไปอย่างนี้ไม่ได้แล้วนะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าไหม้เกรียมจากการตากแดดตากลม เขาคือวาตินชาวไร่ที่มีพื้นที่ทำไร่ทำสวนมากที่สุด เขาเป็นนักบุกเบิกพื้นที่ทำกิน และเขาเป็นคนขยันทำมาหากินด้วยความขยันของเขา ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีฐานะดีคนหนึ่งในดาวไซเทนเลยก็ว่าได้
“พวกเราต้องออกไปสู้กับพวกมัน ถ้าพวกเราไม่สู้ไม่ช้าไม่นานพวกเราก็ต้องตายอยู่ที่นี้หรือไม่ก็ถูกยักษ์จับกินเหมือนคนอื่นๆ” วาตินยืนพูดอยู่ตรงกลางที่มีผู้คนนั่งล้อมรอบทั้งเด็กเล็ก ชายหญิงและคนแก่ที่รอดชีวิตมาได้ ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวและไม่มีใครจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ซักเท่าไหร่
“คิดจะไปสู้กับยักษ์เหรอ ฆ่าตัวตายชัดๆ ผมคนหนึ่งล่ะขอหลบอยู่ในนี้ดีกว่า” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างผนังลุกขึ้นยืนตอบโต้อย่างไม่เห็นด้วย
“ใช่ๆ พวกเราขอหลบอยู่ในนี้ดีกว่า” อีกหลายเสียงตะโกนเห็นด้วยกับเขา
“ถ้าอยากเป็นฮีโร่นักก็ออกไปสู้คนเดียวเลย พวกเราไม่ไป” อีกคนตะโกนใส่วาตินอย่างเกลียดชัง
“ฉันเห็นด้วยกับวาติน” หญิงสาวท่าทางเด็ดเดี่ยวที่ยืนพิงผนังอยู่พูดเสียงดังกลบเสียงคนอื่นๆ วาตินหันมองเธอด้วยสายตาปลาบปลื้มและแอบส่งยิ้มที่มุมปากให้หล่อน แต่เธอทำหน้าบึ้งใส่เขา
“ถ้าเราไม่ตายเพราะถูกยักษ์กิน ก็ต้องตายเพราะมัวแต่แย้งอาหารกันกิน” หญิงสาวพูดต่อ เธอหยุดเว้นวรรคแล้วพูดขึ้นอีกครั้งเธอกวาดสายตามองทุกคน
“ที่นี้บ้านเมืองเรา เราต้องสู้กับพวกมันเพื่อเอาพื้นที่ของเราคืนมา” เธอพูดอย่างกล้าหาญทุกคนต่างนิ่งฟัง
“เยี่ยมไปเลย บีน่า ผมเห็นด้วยกับเธอ” วาตินหันไปส่งยิ้มให้บีน่า
“ผมจะไม่ยอมอยู่ที่นี้อีกต่อไปแล้ว ที่นี้ทั้งมืดและเหม็นอับ ผมจะออกไปสู้กับพวกมัน” ชายหนุ่มสวมแว่นสายตา มีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาผมฟูรกรุงรังลุกขึ้นพูดอย่างกล้าหาญ
“ดีมากชาน เราจะสู้กับมันให้ถึงที่สุด” วาติส่งยิ้มให้เขา ชานยิ้มตอบอย่างพอใจ
“มีใครจะเอาด้วยบ้างไปสู้กับพวกยักษ์” วาตินพูดเสียงดังเพื่อรับสมัครผู้กล้า หลายคนยังลังเลแต่อีกหลายคนก็ลุกขึ้นทั้งชายและหญิงพวกเขาเต็มใจสู้
“เอ่อ งานนี้ผมว่าไม่เหมาะกับคุณเท่าไหร่นัก นั่งเถอะครับคุณแมนสัน ” วาตินร้องบอกชายแก่ชราคนหนึ่งที่พยายามจะลุกขึ้นแต่ด้วยวัยเจ็ดสิบปีของเขาก็ทำให้ลุกลำบาก คนที่นั่งอยู่ข้างๆต้องช่วยพยุงตัวแกให้นั่งลง
“ขอบคุณ” วาตินหันไปยิ้มให้คุณแมนสัน เขาพยักหน้ารับ
“แล้วพวกเราจะเอาอาวุธอะไรไปสู้กับพวกมันล่ะ ปืนซักกระบอกยังไม่มีเลย” ผู้ร่วมขบวนการคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ทุกอย่างที่เรามีตอนนี้คืออาวุธ มีด ขวาน คราด เหล็กแหลมเอามาให้หมดเลยที่มีนะ” วาตินบอกทุกคน แล้วพวกเขาก็เริ่มรวบรวมสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้
“ทิมมี่มีธนูฮะ ทิมมี่ยิงธนูแม่นที่สุดเลยฮะ” เด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักแม่พูดถึงทิมมี่อย่างชื่นชม เขาเคยเห็นทิมมี่ยิงธนูเก็บผลแอปเปิ้ลไม่เคยพลาดซักลูกเลย
“ปานนี้มันโดนยักษ์กินตายไปแล้วล่ะ ตายซะได้ก็ดีเด็กขี้ขโมย” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างผนังพูดขึ้นอย่างเกลียดชังในตัวทิมมี่
“ตอนนี้เราไม่ควรแช่งใครให้ตายหรอกนะ ควรจะอวยพรให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยจะดีว่านะจอร์น” บีน่าทำเสียงค้อนใส่คนที่พูด ไม่พอใจกับสิ่งที่เขาพูดเป็นอย่างมาก จอร์นรีบนั่งลงอย่างทันทีเพื่อหลบสายตาของบีน่าที่ออกจะดุดัน
“พวกเราจะลองตามหาทิมมี่ดูเผื่อเขายังปลอดภัย” วาตินบอกเด็กน้อยที่อยู่ในตักแม่ เด็กน้อยส่งยิ้มให้เขาด้วยความพอใจ
“ตอนนี้เราต้องการเชือก เชือกที่แข็งแรงและต้องการเยอะๆด้วย” วาตินบอกกับเหล่าอาสาสมัครใจกล้า
“พวกเราจะทำกักดักจับมันโดยใช้เชือกหมัดมันไว้” วาตินวางแผนกับอาสาสมัครพวก เขาวางแผนที่จะปฎิบัติการคืนนี้ตอนที่ยักษ์มันหลับ เมื่อกักดักเสร็จก็ล่อมันออกมา
“ปัญหาคือเราไม่มีเชือกแม้แต่เส้นเดียว” บีน่าออกความคิดเห็นหลังจากที่ฟังแผนของวาติน
“ผมรู้ว่าจะไปหาเชือกได้ที่ไหน” ชานแสดงความคิดเห็นพร้อมกับหันหน้ามามองเพื่อนทั้งสามที่รู้เหมือนกัน
“พวกเราจะไปเอาเชือกเอง” อดัมคนที่ยืนอยู่หลังชานพูดขึ้น
“งั้นหน้าที่ตรงนี้มอบให้พวกเธอเป็นคนจัดการ” วาตินบอกกับเด็กหนุ่มทั้งสี่ ทุกคนพยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่
วาตินแบ่งกองกำลังออกมาเป็นสามส่วน ส่วนของชานไปเอาเชือก อีกส่วนไปเอาน้ำมันที่ปั๊มของเซ็กตันและให้ไปตามเซ็กตันมาช่วยด้วยอีกแรงถ้าเขายอมมา ส่วนกลุ่มสุดท้ายขุดหลุมพรางทำกักดัก และหาเศษไม้ที่แหลมคมมาทำอาวุธให้ได้มากที่สุด ปฎิบัติการกำจัดยักษ์เริ่มขึ้นในคืนนี้อย่างเงียบๆและทำอย่างรวดเร็ว
พวกที่เหลือคือเด็ก ผู้หญิง คนแก่และพวกขี้ขลาดยังคงหลบอยู่ในหลุมหลบภัย
***************************************
จบแล้วคะตอนที่ 3 part 1 ฝากติดตามตอนที่ 3 part 2 ด้วยนะคะ..
ตอนนี้ขอแบ่งออกเป็น2partค่ะ มันยาวนิดหนึ่ง(ไม่ยาวเท่าไหร่คะแต่อยากให้จบแบบนี้)
กลัวคนอ่านจะตาลาย..จ้องจอนานๆไม่ดีเป็นห่วงสุขภาพนักอ่านที่น่ารัก
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าทุกๆคำติชมแนะนำคะ
ฮัน อันโตนิโอ นักเล่าเรื่องแห่งจักรวาล ตอนที่ 3 Part 1 .... (เรื่องสั้น 5 ตอนจบ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อันโตนิโอกับทิมมี่เดินย่องออกมาจากห้องใต้ดินของเซ็กตัน ขึ้นมาสู่ปั๊มน้ำมันที่ตอนนี้มืดสนิทไม่มีแสงไฟเล็ดลอดออกมาให้เห็นเลยไม่มีผู้คน มีเพียงเสียงลมพัดโบก หวิด…. หวิด…. เสียงเศษกระดาษปลิวว่อนทั่วปั๊ม กลบเสียงฝีเท้าของคนสองคนสนิท
“หมายความว่าไง” อันโตนิโอถามทิมมี่เมื่อทั้งสองมายืนอยู่ที่บ้านร้างที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับปั๊มน้ำมัน
“อะไรฮะ” ทิมมี่ถามอย่างสงสัย สายสอดส่องมองหาสิ่งผิดปกติ แล้วเขาก็วิ่งมาหลบอยู่อีกฝากหนึ่งใกล้กับบ้านหลังหนึ่งที่หลังคาพังลงมาเกือบทั้งหมด แสงจันทร์สาดส่องมาที่พวกเขาสองคนเด่นชัด อันโตนิโอวิ่งตามมาติดๆ
“ที่เซ็กตันบอกว่าเธอไม่ได้เกิดที่ดาวดวงนี้นะ แล้วเธอมาจากไหน” อันโตนิโอถามด้วยความสงสัย
“ไม่รู้ซิฮะ เซ็กตักคิดว่าผมไม่ใช่คนที่นี้ เขาบอกกับผมอย่างนั้นฮะ”
“ทำไม” อันโตนิโอถามต่อ “มันต้องมีเหตุผลซิที่เขาพูดแบบนั้น”
ทิมมี่ดึงสร้อยที่อยู่ใต้เสื้อออกมา สร้อยเงินที่มีแหวนสองวงขนาดต่างกันห้อยอยู่
“เซ็กตันบอกว่า นี่คือแหวนเพชรเป็นแหวนแต่งงาน คนบนดาวโลกเขาให้แหวนเป็นเครื่องสาบานรักอะไรประมาณนี้ล่ะ” ทิมมี่หยุดพูด เพราะเขาเริ่มไม่เข้าใจเรื่องอะไรพวกนี้
“เซ็กตันบอกว่านี้คงเป็นแหวนของพ่อกับแม่ผมที่พวกเขาเอาไว้ให้ผม เซ็กตันเลยคิดว่าผมคงมาจากดาวโลก” ทิมมี่หยุดพูด แล้วยัดสร้อยกลับไปใต้เสื้อเหมือนเดิม
ฮัน อันโตนิโอ ตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้นที่สุดเขาไม่เคยไปดาวโลกแต่เขารู้ว่าดาวโลกอยู่ตรงไหนและเป็นอย่างไรเขาศึกษาดาวโลกมาเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสที่ดาวดวงนี้ซักที ถ้าเรื่องที่ทิมมี่พูดเป็นความจริง นี่เขากำลังยืนพูดอยู่กับคนโลกอยู่หรือ
“ดาวโลกอยู่ไกลไหมฮะ คุณเคยไปหรือเปล่า” ทิมมี่ถามเขา
“ไกลมาก และฉันก็ไม่เคยไป ด้วยพลังงานของยานเล็กๆของฉันไปไม่ถึงหรอก” อันโตนิโอบอกกับทิมมี่
“พวกเขาตั้งใจทิ้งผมไป ถึงได้เอาผมมาทิ้งไกลถึงนี้ ปล่อยให้ผมมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก” ทิมมี่พูดเสียงสั่นคลอ ทิมมี่เดินหลบอันโตนิโอเพื่อไม่ให้เขาเห็นน้ำตาที่กำลังไหลออกมา
อันโตนิโอเดินตามมาข้างหลังติดๆเว้นระยะห่างเพียงก้าวเดียว
“ทิมมี่ ถ้าพวกเขาคิดจะทิ้งเธอจริงๆนะ พวกเขาจะไม่ทิ้งอะไรที่เป็นหลักฐานตามให้ถึงตัวพวกเขาหรอก นี่พวกเขาทิ้งแหวนแต่งงาน เป็นแหวนเพชรซะด้วย เธอรู้ไหมว่าเพชรในดาวโลกนะมีค่ามหาศาลเลย เธอมีค่าสำหรับพวกเขามากนะ” อันโตนิโออธิบายให้ทิมมี่หายเศร้าใจ แต่ทิมมี่ยังคงยืนหันหลังให้เขา
“พวกเขา พ่อกับแม่เธอนะอาจจะช่วยให้เธอหนีจากบางอย่างที่อันตราย เอาแหวนไว้ให้เธอ แล้วนำเธอมาไว้ในที่ๆปลอดภัย เผื่อทุกอย่างรีบร้อยพวกเขาจะได้กลับมารับเธอ ทิมมี่เธอต้องเชื่อมั่นในพ่อกับแม่เธอนะ” อันโตนิโอพูดให้กำลังใจทิมมี่ทั้งที่จริง เขาเองก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม
“ตามหาเหรอ ผมรอพวกเขามาสิบสามปี ไม่มี ไม่มีใครมาตามหาผมทั้งนั้น พวกเขาตั้งใจทิ้งผมและพวกเขาก็คงไม่มาตามหาให้เหนื่อยเปล่า ผมเกลียดพวกเขาและผมจะไม่ไปตามหาพวกเขา” ทิมมี่หันมาพูดกับอันโตนิโอ
น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เขารีบวิ่งหนีเข้าไปสู่ความมืดข้างหน้า อันโตนิโอวิ่งตามมาติดๆ พยายามตะโกนเรียกทิมมี่ด้วยเสียงที่แผ่วเบา
อันโตนิโอคว้าแขนทิมมี่ได้แล้วดึงเขาให้หยุดวิ่ง
“เธอไม่ต้องอายที่จะร้องไห้ แต่เธอต้องไม่สิ้นหวังนะ เธอต้องเชื่อมั่นในตัวพ่อกับแม่เธอ เธอยังมีความหวังที่จะเจอพวกเขาใช่ไหม” อันโตนิโอหยุดพูดแล้วปล่อยให้ทิมมี่เช็ดน้ำตาตัวเอง
“เธอมีความหวังใช่ไหม เธอถึงได้ใส่สร้อยเส้นนี้ตลอดเวลา นั่นล่ะเธอมีความหวังที่จะได้เจอพวกเขา” อันโตนิโอพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาลงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มอ่อนลงมาบ้างแล้ว
อันโตนิโอจับไหล่ทิมมี่ทั้งสองข้างแล้วก้มหน้ามาอยู่ในระดับสายตาเดียวกับทิมมี่ และพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไปด้วยความหนักแน่น
“เธอต้องมีศรัทธา ต้องเชื่อว่าพวกเขาไม่ได้ทิ้งเธอไปไหน พวกเขาเอาหัวใจสองดวงไว้ที่เธอคนเดียว พวกเขารักเธอมากนะทิมมี่”อันโตนิโอหยุดพูด เพื่อจะตัดสินใจบางอย่าง
“ฉันจะช่วยเธอตามหาพ่อกับแม่ ถ้าเธอยังอยากเจอพวกเขา” อันโตนิโอเสนอความคิดเห็นที่ทำเอาคนฟัง ถึงกับตาเป็นประกายมีแววแห่งความหวังขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน
“คุณพูดจริงนะฮะ พูดจริงๆนะ” ทิมมี่มีน้ำเสียงที่สดใสขึ้น น้ำตาเหือดแห้งหายไปแววตาแห่งความหวังเอ่อล้นในตัวเขา
“แน่นอนที่สุด” อันโตนิโอยืนยันคำพูดของเขา
ทิมมี่กระโดดตัวด้วยความดีใจแล้วโผเข้ากอดอันโตนิโอ .... ฮัน อันโตนิโอได้แต่ยืนตัวแข็งไม่ชินกับการถูกกอดแบบนี้
เซ็กตันดึงกล่องไม้ที่อยู่ใต้เตียงออกมาแล้วลากมันไปให้พ้นทาง เขาก้มส่องดูใต้เตียงที่อยู่ลึกเข้าไปแล้วดึง กระเป๋าหิ้วสีดำใบเล็กออกมา เขาหิ้วมันมาตั้งที่เตียงนอนแล้วเปิดมันออก ข้างในมีปืนเลเซอร์ขนาดพกพาเหมาะกับมือเขาพอดี ถึงจะมีขนาดที่เล็กแต่เซ็กตันรู้ดีว่าอนุภาพทำลายล้างสูง แค่ยิงนัดเดียวอาจพังบ้านได้ทั้งหลัง เซ็กตันเปิดระบบทำงานเพื่อตรวจดูพลังงาน แสงสีเขียวกระพริบที่ข้างด้ามจับ บอกให้รู้ว่าพลังงานยังมีอยู่เต็ม เขาวางมันไว้ใต้หมอน นี่เป็นปืนคู่ใจที่เขาไม่ยอมให้สหพันธ์อวกาศยึดคืน เขาลักลอบเอามันกลับมาด้วยเผื่อจำเป็นต้องใช้ และใกล้ถึงเวลานั่นเต็มที ด้วยสัญชาตญาณที่เคยเป็นทหารมาก่อนเขารู้ว่าคืนนี้จะต้องไม่สงบเหมือนคืนก่อนๆแน่ เซ็กตันดึงหมวกแก๊บสีฟ้าเข้มที่อยู่ใต้ผ้าห่มออกมาสวมใส่ เขากระชับหมวกให้เข้าที่ แล้วนั่งรอคืนนี้คงต้องออกไปสู้กับพวกยักษ์นั่น คือสิ่งที่เขาคิด จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ลึกลงไปที่หลุมหลบภัยกลางเมือง ชาวเมืองไซเทนแออัดยัดยื้ออยู่ในหลุมกว้างที่สามารถรองรับคนได้เพียงหนึ่งร้อยคนเท่านั้นแต่ตอนนี้มีคนรอดชีวิตจากยักษ์ถึงร้อยห้าสิบคน ทุกคนต้องเบียดเสียดและแย้งพื้นที่กันนั่ง ใครมีลูกเด็กเล็กแดงก็ต้องอุ้มไว้วางมือมิได้ต้องแบ่งพื้นที่ให้คนอื่นได้นั่งด้วย พวกเขาอาศัยอยู่ในหลุมนี้มาหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ เสบียงหมดเกลี้ยงทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวังกับชีวิตไม่มีใครกล้าออกมาข้างนอก
“พวกเราจะอยู่กันต่อไปอย่างนี้ไม่ได้แล้วนะ” ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่บึกบึน ใบหน้าไหม้เกรียมจากการตากแดดตากลม เขาคือวาตินชาวไร่ที่มีพื้นที่ทำไร่ทำสวนมากที่สุด เขาเป็นนักบุกเบิกพื้นที่ทำกิน และเขาเป็นคนขยันทำมาหากินด้วยความขยันของเขา ทำให้เขากลายเป็นคนที่มีฐานะดีคนหนึ่งในดาวไซเทนเลยก็ว่าได้
“พวกเราต้องออกไปสู้กับพวกมัน ถ้าพวกเราไม่สู้ไม่ช้าไม่นานพวกเราก็ต้องตายอยู่ที่นี้หรือไม่ก็ถูกยักษ์จับกินเหมือนคนอื่นๆ” วาตินยืนพูดอยู่ตรงกลางที่มีผู้คนนั่งล้อมรอบทั้งเด็กเล็ก ชายหญิงและคนแก่ที่รอดชีวิตมาได้ ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวและไม่มีใครจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ซักเท่าไหร่
“คิดจะไปสู้กับยักษ์เหรอ ฆ่าตัวตายชัดๆ ผมคนหนึ่งล่ะขอหลบอยู่ในนี้ดีกว่า” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างผนังลุกขึ้นยืนตอบโต้อย่างไม่เห็นด้วย
“ใช่ๆ พวกเราขอหลบอยู่ในนี้ดีกว่า” อีกหลายเสียงตะโกนเห็นด้วยกับเขา
“ถ้าอยากเป็นฮีโร่นักก็ออกไปสู้คนเดียวเลย พวกเราไม่ไป” อีกคนตะโกนใส่วาตินอย่างเกลียดชัง
“ฉันเห็นด้วยกับวาติน” หญิงสาวท่าทางเด็ดเดี่ยวที่ยืนพิงผนังอยู่พูดเสียงดังกลบเสียงคนอื่นๆ วาตินหันมองเธอด้วยสายตาปลาบปลื้มและแอบส่งยิ้มที่มุมปากให้หล่อน แต่เธอทำหน้าบึ้งใส่เขา
“ถ้าเราไม่ตายเพราะถูกยักษ์กิน ก็ต้องตายเพราะมัวแต่แย้งอาหารกันกิน” หญิงสาวพูดต่อ เธอหยุดเว้นวรรคแล้วพูดขึ้นอีกครั้งเธอกวาดสายตามองทุกคน
“ที่นี้บ้านเมืองเรา เราต้องสู้กับพวกมันเพื่อเอาพื้นที่ของเราคืนมา” เธอพูดอย่างกล้าหาญทุกคนต่างนิ่งฟัง
“เยี่ยมไปเลย บีน่า ผมเห็นด้วยกับเธอ” วาตินหันไปส่งยิ้มให้บีน่า
“ผมจะไม่ยอมอยู่ที่นี้อีกต่อไปแล้ว ที่นี้ทั้งมืดและเหม็นอับ ผมจะออกไปสู้กับพวกมัน” ชายหนุ่มสวมแว่นสายตา มีใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาผมฟูรกรุงรังลุกขึ้นพูดอย่างกล้าหาญ
“ดีมากชาน เราจะสู้กับมันให้ถึงที่สุด” วาติส่งยิ้มให้เขา ชานยิ้มตอบอย่างพอใจ
“มีใครจะเอาด้วยบ้างไปสู้กับพวกยักษ์” วาตินพูดเสียงดังเพื่อรับสมัครผู้กล้า หลายคนยังลังเลแต่อีกหลายคนก็ลุกขึ้นทั้งชายและหญิงพวกเขาเต็มใจสู้
“เอ่อ งานนี้ผมว่าไม่เหมาะกับคุณเท่าไหร่นัก นั่งเถอะครับคุณแมนสัน ” วาตินร้องบอกชายแก่ชราคนหนึ่งที่พยายามจะลุกขึ้นแต่ด้วยวัยเจ็ดสิบปีของเขาก็ทำให้ลุกลำบาก คนที่นั่งอยู่ข้างๆต้องช่วยพยุงตัวแกให้นั่งลง
“ขอบคุณ” วาตินหันไปยิ้มให้คุณแมนสัน เขาพยักหน้ารับ
“แล้วพวกเราจะเอาอาวุธอะไรไปสู้กับพวกมันล่ะ ปืนซักกระบอกยังไม่มีเลย” ผู้ร่วมขบวนการคนหนึ่งกล่าวขึ้น
“ทุกอย่างที่เรามีตอนนี้คืออาวุธ มีด ขวาน คราด เหล็กแหลมเอามาให้หมดเลยที่มีนะ” วาตินบอกทุกคน แล้วพวกเขาก็เริ่มรวบรวมสิ่งที่มีอยู่ตอนนี้
“ทิมมี่มีธนูฮะ ทิมมี่ยิงธนูแม่นที่สุดเลยฮะ” เด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่บนตักแม่พูดถึงทิมมี่อย่างชื่นชม เขาเคยเห็นทิมมี่ยิงธนูเก็บผลแอปเปิ้ลไม่เคยพลาดซักลูกเลย
“ปานนี้มันโดนยักษ์กินตายไปแล้วล่ะ ตายซะได้ก็ดีเด็กขี้ขโมย” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างผนังพูดขึ้นอย่างเกลียดชังในตัวทิมมี่
“ตอนนี้เราไม่ควรแช่งใครให้ตายหรอกนะ ควรจะอวยพรให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยจะดีว่านะจอร์น” บีน่าทำเสียงค้อนใส่คนที่พูด ไม่พอใจกับสิ่งที่เขาพูดเป็นอย่างมาก จอร์นรีบนั่งลงอย่างทันทีเพื่อหลบสายตาของบีน่าที่ออกจะดุดัน
“พวกเราจะลองตามหาทิมมี่ดูเผื่อเขายังปลอดภัย” วาตินบอกเด็กน้อยที่อยู่ในตักแม่ เด็กน้อยส่งยิ้มให้เขาด้วยความพอใจ
“ตอนนี้เราต้องการเชือก เชือกที่แข็งแรงและต้องการเยอะๆด้วย” วาตินบอกกับเหล่าอาสาสมัครใจกล้า
“พวกเราจะทำกักดักจับมันโดยใช้เชือกหมัดมันไว้” วาตินวางแผนกับอาสาสมัครพวก เขาวางแผนที่จะปฎิบัติการคืนนี้ตอนที่ยักษ์มันหลับ เมื่อกักดักเสร็จก็ล่อมันออกมา
“ปัญหาคือเราไม่มีเชือกแม้แต่เส้นเดียว” บีน่าออกความคิดเห็นหลังจากที่ฟังแผนของวาติน
“ผมรู้ว่าจะไปหาเชือกได้ที่ไหน” ชานแสดงความคิดเห็นพร้อมกับหันหน้ามามองเพื่อนทั้งสามที่รู้เหมือนกัน
“พวกเราจะไปเอาเชือกเอง” อดัมคนที่ยืนอยู่หลังชานพูดขึ้น
“งั้นหน้าที่ตรงนี้มอบให้พวกเธอเป็นคนจัดการ” วาตินบอกกับเด็กหนุ่มทั้งสี่ ทุกคนพยักหน้ารับอย่างรู้หน้าที่
วาตินแบ่งกองกำลังออกมาเป็นสามส่วน ส่วนของชานไปเอาเชือก อีกส่วนไปเอาน้ำมันที่ปั๊มของเซ็กตันและให้ไปตามเซ็กตันมาช่วยด้วยอีกแรงถ้าเขายอมมา ส่วนกลุ่มสุดท้ายขุดหลุมพรางทำกักดัก และหาเศษไม้ที่แหลมคมมาทำอาวุธให้ได้มากที่สุด ปฎิบัติการกำจัดยักษ์เริ่มขึ้นในคืนนี้อย่างเงียบๆและทำอย่างรวดเร็ว
พวกที่เหลือคือเด็ก ผู้หญิง คนแก่และพวกขี้ขลาดยังคงหลบอยู่ในหลุมหลบภัย
จบแล้วคะตอนที่ 3 part 1 ฝากติดตามตอนที่ 3 part 2 ด้วยนะคะ..
ตอนนี้ขอแบ่งออกเป็น2partค่ะ มันยาวนิดหนึ่ง(ไม่ยาวเท่าไหร่คะแต่อยากให้จบแบบนี้)
กลัวคนอ่านจะตาลาย..จ้องจอนานๆไม่ดีเป็นห่วงสุขภาพนักอ่านที่น่ารัก
ขอขอบพระคุณล่วงหน้าทุกๆคำติชมแนะนำคะ