จากกะเพราล้มยักษ์ที่ขายดีแต่ขาดทุน จนกลายเป็น ‘หมึกมันไก่’ ร้านข้าวมันไก่ชื่อดังที่ขายกว่า 2 แสนจานต่อปี ‘ฐิตาภัสร์’ เจ้าของร้านหญิงแกร่งที่ยอมขายทุกอย่างเพื่อเริ่มใหม่อีกครั้ง เล่าบทเรียนชีวิต-ธุรกิจ ที่เริ่มจากศูนย์ด้วยความตั้งใจและคำเดียวในใจว่า ‘ล้มไม่ได้แล้ว’
1 ปี 4 เดือน ที่ชื่อ ‘หมึกมันไก่’ กลายเป็นกระแสไวรัลบนโลกออนไลน์ ร้านข้าวมันไก่เล็ก ๆ ที่เปิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ถูกพูดถึงแทบทุกแพลตฟอร์ม รีวิวแน่นทุกวัน จนคว้ารางวัลและกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์อาหารที่คนไทยรู้จักมากที่สุดในปีที่ผ่านมา
แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น คือเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ “เคยขายดีจนเจ๊ง” และเลือกจะเริ่มต้นใหม่ด้วยเงินก้อนสุดท้ายที่มี
จาก ‘กะเพราล้มยักษ์’ ที่ขายดีวันละ 30,000 ถึงวันที่แทบไม่เหลือกำไร
ในงาน Food Carnival “อร่อยเอาเรื่อง” ที่จัดโดยเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ เครือมติชนและพันธมิตร ‘คุณหมึก-ฐิตาภัสร์ วีระปฐมศักดิ์’ เจ้าของร้านหมึกมันไก่ เล่าว่า เธอเริ่มต้นเส้นทางในธุรกิจอาหารจากร้าน “กะเพราล้มยักษ์” ที่เคยสร้างยอดขายวันละกว่า 30,000 บาท หรือเดือนละ 7-8 แสนบาท แต่กลับเหลือกำไรเพียง 2-3 หมื่นบาทเท่านั้น
“ตอนนั้นเราขายดีมาก แต่สุดท้ายอยู่ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้เรื่องต้นทุนเลย เรามีแต่แพชชั่น อยากทำอาหารอร่อย อยากขายของดี แต่ไม่รู้ว่าควรตั้งราคาเท่าไหร่”
ร้านกะเพราล้มยักษ์เลือกใช้เนื้อโคขุนสายพันธุ์ไทยวากิวทั้งหมด ต้นทุนเนื้อบดกิโลกรัมละ 600 บาท ใช้ต่อจานราว 1 ขีด คิดเป็นต้นทุนเฉพาะเนื้อจานละ 60 บาท แต่ขายในราคาเพียง 89 บาท
“เราคิดว่าขายได้กำไรแล้ว แต่ลืมคิดค่าแรง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงาน 12 คน ค่าเช่าร้าน เดือนละแสนกว่าบาท พอรวมทุกอย่างเข้าจริง ๆ คือขาดทุน” คุณหมึกกล่าวเสริม
ผลลัพธ์คือร้านขายดีแต่ ‘ไม่มีกำไร’ จนเจอวิกฤตโควิด-19 ยอดขายร่วงลงฮวบจากข้อจำกัดห้ามนั่งทานในร้าน ค่า GP เดลิเวอรี่สูงจนกลับไปติดลบอีกครั้ง นั่นคือวันที่เธอรู้ว่า “แพชชั่นอย่างเดียวไม่พอในธุรกิจอาหาร”
‘คุณหมึก-ฐิตาภัสร์ วีระปฐมศักดิ์’ เจ้าของร้านหมึกมันไก่
‘ขายดีแต่เจ๊ง’ กับ 3 บทเรียนราคาแพง
จากประสบการณ์ของฐิตาภัสร์ มี 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร้านขายดีแต่ล้มไม่เป็นท่า
ตั้งราคาต่ำเกินไป เพราะอยากให้ลูกค้าเข้าถึง แต่ลืมคิดว่ากำไรต้องเลี้ยงธุรกิจได้
พึ่งพาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่โดยไม่วางแผน เมื่อ GP หักมากกว่า 25-30% ยิ่งขายยิ่งขาดทุน
ไม่เผื่อรับมือวิกฤตที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโควิด ฝนตก น้ำท่วม หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
“ขายดีอย่างเดียวไม่พอ ถ้าบัญชีไม่มีกำไร สุดท้ายร้านก็ไปต่อไม่ได้” เธอสรุปเรียบง่ายแต่ชัดเจน
จากหนี้กะเพรา สู่ข้าวมันไก่ที่ ‘ต้องรอด’
หลังปิดร้านกะเพราล้มยักษ์ ฐิตาภัสร์ยังไม่หยุดฝัน เธอเลือกใช้เงินก้อนสุดท้าย ที่ได้จาก ‘การขายทรัพย์สินทุกอย่างที่มี’ เปิดร้านใหม่ชื่อ ‘หมึกมันไก่’
“ไม่ใช่ขายบางอย่าง แต่ขายทุกอย่างค่ะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
เธอเล่าต่อว่า ตอนนั้นเธอมีภาระครอบครัวใหญ่ มีแม่วัย 80 กว่าปี และพี่บุญธรรมที่ต้องดูแล ทำให้เธอบอกตัวเองว่า “ล้มไม่ได้อีกแล้ว”
“ถ้าพี่อยู่คนเดียว พี่อาจล้มได้ แต่พอมีแม่อยู่บนบ่า พี่ทำไม่ได้ พี่คิดถึงขั้นว่า ถ้าธุรกิจอาหารไปต่อไม่ได้ เราจะขายหัวใจ ไต ปอด อะไรได้ไหม เพื่อให้แม่อยู่ต่อ”
นั่นคือแรงผลักดันที่ทำให้เธอเลือกจะเปิดร้านใหม่ โดยตั้งเป้าเพียง “ขออยู่รอดได้”
เธอแบ่งเป้าหมายธุรกิจเป็น 2 ส่วน
ร้าน ‘กะเพราล้มยักษ์’ ไว้ใช้หนี้
ร้าน ‘หมึกมันไก่’ เพื่อเลี้ยงชีวิตประจำวัน
“ตอนเปิดหมึกมันไก่ เราคำนวณละเอียดมากแล้วว่าต้นทุนเท่าไหร่ ถ้าวันหนึ่งขายได้ 5,000 บาท เราจะเหลือกำไร 1,500–2,000 บาท พอเลี้ยงครอบครัวได้แน่”
เปิดวันแรกเกือบปิด! เพราะ ‘ขายดีเกินไป’
ร้านเปิดเพียงไม่นาน กระแสกลับมาถล่มทลายอีกครั้ง ลูกค้าต่อคิวยาวเป็นชั่วโมง
“เปิดปุ๊บก็เกือบปิดปั๊บ เพราะเราทำไม่ทัน คนแน่นมาก เราไม่ได้เตรียมระบบรองรับ เราเรียนทำข้าวมันไก่มา 3 ปี แต่ไม่เคยเรียนเรื่องบริหารความเร็ว”
กระแส ‘คิวยาว’ กลายเป็นทั้งจุดขายและจุดเสี่ยง จนเธอต้องเร่งปรับระบบการผลิต เพื่อให้คุณภาพและความเร็วเดินคู่กัน
ข้าวมันไก่จากครัวเล็ก ๆ ที่ ‘แจกฟรี 3 ปี’
ก่อนเปิดร้านอย่างจริงจัง ฐิตาภัสร์ฝึกทำข้าวมันไก่มาตลอด 3 ปีเต็ม ในช่วงโควิด เธอซื้อวัตถุดิบ ทดลองสูตร และ ‘แจกฟรี’ ให้คนรู้จักลองชิม
“พี่ทำข้าวมันไก่ แจกอยู่ 3 ปี เพราะยังไม่มั่นใจในฝีมือ ตัวเองเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เราเป็นชนชั้นกลาง เลยตั้งราคาแค่ 40 บาทตอนแรก คิดแค่ว่าให้ครอบครัวอยู่รอดก็พอ”
จนกระทั่งวันเปิดร้าน เพื่อนและ ‘ลุงเหมียว เรือนจรุง’ เชฟชื่อดังเจ้าของร้านเรือนจรุงที่ต้องจองข้ามปี มาเยี่ยมและบอกเธอว่า “ปิดร้านไปปรับราคาใหม่ ถ้าไม่ทำ จะเจ๊งเหมือนเดิม”
และคำนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
“ถ้าไม่มีลุงเหมียว ไม่มีหมึกมันไก่ในวันนี้แน่นอน” เธอกล่าวอย่างซาบซึ้ง
3 ปีแห่งการเรียนรู้ จาก ‘สูตรอาหาร’ สู่ ‘สูตรธุรกิจ’
เบื้องหลังข้าวมันไก่จานละ 69 บาท คือการทดลองไม่รู้จบ เธอใช้เวลาหลายปีเรียนรู้ทั้งวิธีต้มไก่ หุงข้าว และแม้แต่น้ำจิ้ม
“พี่อยู่กับข้าวมันไก่มา 3 ปีเต็ม ความผิดพลาด 50% ของชีวิตอยู่ในช่วงนั้นเลย เราทดลองทุกวัน ไก่แต่ละสายพันธุ์ไม่เหมือนกัน ข้าวแต่ละชนิดหุงไม่เหมือนกัน เต้าเจี้ยวแต่ละยี่ห้อรสต่างกันหมด”
จนถึงวันนี้ แม้ร้านจะเปิดมาเกินปี เธอยังลงมือทำเองทุกวัน
“พี่มีครัวเล็ก ๆ ที่บ้าน เอาไว้ทดลองต้มไก่ หุงข้าว ชิมน้ำจิ้มใหม่ ๆ ทุกวัน ไม่เคยหยุดพักเลย”
จากจานละ 69 บาท สู่ยอดขายกว่า 200,000 จานต่อปี
วันนี้ ‘หมึกมันไก่’ มียอดขายเฉลี่ยวันละ 800–900 เสิร์ฟ หรือกว่า 200,000 จานต่อปี
ราคาจานเริ่มต้น 69 บาท แต่มีลูกค้าสั่งครั้งละหลักสิบถึงหลักร้อยกล่อง
“เราไม่ได้มองว่าต้องขายแพง แต่เราต้องขายอย่างมีคุณภาพและมีระบบที่อยู่ได้จริง”
เมื่อเทียบกับร้านแรกที่เคยขาดทุน แม้ยอดขายสูง แต่ร้านนี้กลับมีกำไรชัดเจนจากการบริหารต้นทุน การวางระบบ และการไม่หยุดพัฒนา
‘หมึกมันไก่’ ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากการ ‘ไม่ยอมแพ้’
ทุกจานของหมึกมันไก่ คือผลลัพธ์ของการเรียนรู้จากความผิดพลาด
จากคนที่เคยขายดีจนเจ๊ง เป็นหนี้จนต้องขายทุกอย่างที่มี วันนี้เธอได้พิสูจน์ว่า ‘ความพยายามที่มีเป้าหมาย’ คือสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ ยืนได้ในตลาดใหญ่อย่างแท้จริง
“ตอนเปิดร้านหมึกมันไก พี่ไม่ได้คิดว่าจะดังเลย คิดแค่ว่าต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อความอยู่รอด”
ประโยคสั้น ๆ แต่สะท้อนหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เปลี่ยนความสิ้นหวังให้กลายเป็นพลัง และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทั่วประเทศ
บทเรียนธุรกิจจาก ‘หมึกมันไก่
อย่าขายเพราะแพชชั่นอย่างเดียว ต้องเข้าใจตัวเลข
แพชชั่นสร้างแรงเริ่มต้น แต่ตัวเลขคือตัววัดความอยู่รอด
ต้นทุนไม่ใช่ศัตรู แต่คือเครื่องมือบริหารกำไร
รู้ต้นทุนคือรู้ชีวิตธุรกิจ ถ้าคิดไม่เป็น ยิ่งขายยิ่งเหนื่อย
อย่ารอให้พร้อมถึงจะเริ่ม แต่เริ่มแล้วต้องเรียนรู้ให้เร็ว
เธอเริ่มจากศูนย์ ลองผิดลองถูกนับร้อยครั้ง จนกลายเป็นสูตรที่ดีที่สุด
อย่ากลัวการปรับราคา ถ้ามันสะท้อนคุณค่าจริง
ราคาที่เหมาะสมคือรางวัลของคุณภาพ ไม่ใช่แค่ตัวเลข
อย่าหยุดทดลองแม้ประสบความสำเร็จแล้ว
เพราะตลาดไม่หยุด และผู้บริโภคก็เปลี่ยนตลอดเวลา
‘หมึกมันไก่’ จึงไม่ได้เป็นเพียงร้านข้าวมันไก่ที่ขายดี
แต่เป็น สัญลักษณ์ของการยืนหยัดในวันที่ไม่มีอะไรเหลือให้เสีย
หรืออย่างที่ฐิตาภัสร์พูดไว้ในช่วงหนึ่งของเวทีสัมภาษณ์…
“ตอนเปิดร้านหมึกมันไก่ ไม่เคยคิดว่าจะดัง แต่คิดว่าต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เราอยู่รอด ”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/d-life/news-1896478
‘หมึกมันไก่’ จากขายดีจนเจ๊ง สู่ร้านไวรัลแห่งปี บทเรียนหญิงแกร่งที่ล้มไม่ได้
1 ปี 4 เดือน ที่ชื่อ ‘หมึกมันไก่’ กลายเป็นกระแสไวรัลบนโลกออนไลน์ ร้านข้าวมันไก่เล็ก ๆ ที่เปิดเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2567 ถูกพูดถึงแทบทุกแพลตฟอร์ม รีวิวแน่นทุกวัน จนคว้ารางวัลและกลายเป็นหนึ่งในแบรนด์อาหารที่คนไทยรู้จักมากที่สุดในปีที่ผ่านมา
แต่เบื้องหลังความสำเร็จนั้น คือเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งที่ “เคยขายดีจนเจ๊ง” และเลือกจะเริ่มต้นใหม่ด้วยเงินก้อนสุดท้ายที่มี
จาก ‘กะเพราล้มยักษ์’ ที่ขายดีวันละ 30,000 ถึงวันที่แทบไม่เหลือกำไร
ในงาน Food Carnival “อร่อยเอาเรื่อง” ที่จัดโดยเส้นทางเศรษฐีออนไลน์ เครือมติชนและพันธมิตร ‘คุณหมึก-ฐิตาภัสร์ วีระปฐมศักดิ์’ เจ้าของร้านหมึกมันไก่ เล่าว่า เธอเริ่มต้นเส้นทางในธุรกิจอาหารจากร้าน “กะเพราล้มยักษ์” ที่เคยสร้างยอดขายวันละกว่า 30,000 บาท หรือเดือนละ 7-8 แสนบาท แต่กลับเหลือกำไรเพียง 2-3 หมื่นบาทเท่านั้น
“ตอนนั้นเราขายดีมาก แต่สุดท้ายอยู่ไม่ได้ เพราะเราไม่รู้เรื่องต้นทุนเลย เรามีแต่แพชชั่น อยากทำอาหารอร่อย อยากขายของดี แต่ไม่รู้ว่าควรตั้งราคาเท่าไหร่”
ร้านกะเพราล้มยักษ์เลือกใช้เนื้อโคขุนสายพันธุ์ไทยวากิวทั้งหมด ต้นทุนเนื้อบดกิโลกรัมละ 600 บาท ใช้ต่อจานราว 1 ขีด คิดเป็นต้นทุนเฉพาะเนื้อจานละ 60 บาท แต่ขายในราคาเพียง 89 บาท
“เราคิดว่าขายได้กำไรแล้ว แต่ลืมคิดค่าแรง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าพนักงาน 12 คน ค่าเช่าร้าน เดือนละแสนกว่าบาท พอรวมทุกอย่างเข้าจริง ๆ คือขาดทุน” คุณหมึกกล่าวเสริม
ผลลัพธ์คือร้านขายดีแต่ ‘ไม่มีกำไร’ จนเจอวิกฤตโควิด-19 ยอดขายร่วงลงฮวบจากข้อจำกัดห้ามนั่งทานในร้าน ค่า GP เดลิเวอรี่สูงจนกลับไปติดลบอีกครั้ง นั่นคือวันที่เธอรู้ว่า “แพชชั่นอย่างเดียวไม่พอในธุรกิจอาหาร”
‘คุณหมึก-ฐิตาภัสร์ วีระปฐมศักดิ์’ เจ้าของร้านหมึกมันไก่
‘ขายดีแต่เจ๊ง’ กับ 3 บทเรียนราคาแพง
จากประสบการณ์ของฐิตาภัสร์ มี 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ร้านขายดีแต่ล้มไม่เป็นท่า
ตั้งราคาต่ำเกินไป เพราะอยากให้ลูกค้าเข้าถึง แต่ลืมคิดว่ากำไรต้องเลี้ยงธุรกิจได้
พึ่งพาแพลตฟอร์มเดลิเวอรี่โดยไม่วางแผน เมื่อ GP หักมากกว่า 25-30% ยิ่งขายยิ่งขาดทุน
ไม่เผื่อรับมือวิกฤตที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นโควิด ฝนตก น้ำท่วม หรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน
“ขายดีอย่างเดียวไม่พอ ถ้าบัญชีไม่มีกำไร สุดท้ายร้านก็ไปต่อไม่ได้” เธอสรุปเรียบง่ายแต่ชัดเจน
จากหนี้กะเพรา สู่ข้าวมันไก่ที่ ‘ต้องรอด’
หลังปิดร้านกะเพราล้มยักษ์ ฐิตาภัสร์ยังไม่หยุดฝัน เธอเลือกใช้เงินก้อนสุดท้าย ที่ได้จาก ‘การขายทรัพย์สินทุกอย่างที่มี’ เปิดร้านใหม่ชื่อ ‘หมึกมันไก่’
“ไม่ใช่ขายบางอย่าง แต่ขายทุกอย่างค่ะ” เธอพูดด้วยรอยยิ้ม
เธอเล่าต่อว่า ตอนนั้นเธอมีภาระครอบครัวใหญ่ มีแม่วัย 80 กว่าปี และพี่บุญธรรมที่ต้องดูแล ทำให้เธอบอกตัวเองว่า “ล้มไม่ได้อีกแล้ว”
“ถ้าพี่อยู่คนเดียว พี่อาจล้มได้ แต่พอมีแม่อยู่บนบ่า พี่ทำไม่ได้ พี่คิดถึงขั้นว่า ถ้าธุรกิจอาหารไปต่อไม่ได้ เราจะขายหัวใจ ไต ปอด อะไรได้ไหม เพื่อให้แม่อยู่ต่อ”
นั่นคือแรงผลักดันที่ทำให้เธอเลือกจะเปิดร้านใหม่ โดยตั้งเป้าเพียง “ขออยู่รอดได้”
เธอแบ่งเป้าหมายธุรกิจเป็น 2 ส่วน
ร้าน ‘กะเพราล้มยักษ์’ ไว้ใช้หนี้
ร้าน ‘หมึกมันไก่’ เพื่อเลี้ยงชีวิตประจำวัน
“ตอนเปิดหมึกมันไก่ เราคำนวณละเอียดมากแล้วว่าต้นทุนเท่าไหร่ ถ้าวันหนึ่งขายได้ 5,000 บาท เราจะเหลือกำไร 1,500–2,000 บาท พอเลี้ยงครอบครัวได้แน่”
เปิดวันแรกเกือบปิด! เพราะ ‘ขายดีเกินไป’
ร้านเปิดเพียงไม่นาน กระแสกลับมาถล่มทลายอีกครั้ง ลูกค้าต่อคิวยาวเป็นชั่วโมง
“เปิดปุ๊บก็เกือบปิดปั๊บ เพราะเราทำไม่ทัน คนแน่นมาก เราไม่ได้เตรียมระบบรองรับ เราเรียนทำข้าวมันไก่มา 3 ปี แต่ไม่เคยเรียนเรื่องบริหารความเร็ว”
กระแส ‘คิวยาว’ กลายเป็นทั้งจุดขายและจุดเสี่ยง จนเธอต้องเร่งปรับระบบการผลิต เพื่อให้คุณภาพและความเร็วเดินคู่กัน
ข้าวมันไก่จากครัวเล็ก ๆ ที่ ‘แจกฟรี 3 ปี’
ก่อนเปิดร้านอย่างจริงจัง ฐิตาภัสร์ฝึกทำข้าวมันไก่มาตลอด 3 ปีเต็ม ในช่วงโควิด เธอซื้อวัตถุดิบ ทดลองสูตร และ ‘แจกฟรี’ ให้คนรู้จักลองชิม
“พี่ทำข้าวมันไก่ แจกอยู่ 3 ปี เพราะยังไม่มั่นใจในฝีมือ ตัวเองเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน เราเป็นชนชั้นกลาง เลยตั้งราคาแค่ 40 บาทตอนแรก คิดแค่ว่าให้ครอบครัวอยู่รอดก็พอ”
จนกระทั่งวันเปิดร้าน เพื่อนและ ‘ลุงเหมียว เรือนจรุง’ เชฟชื่อดังเจ้าของร้านเรือนจรุงที่ต้องจองข้ามปี มาเยี่ยมและบอกเธอว่า “ปิดร้านไปปรับราคาใหม่ ถ้าไม่ทำ จะเจ๊งเหมือนเดิม”
และคำนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
“ถ้าไม่มีลุงเหมียว ไม่มีหมึกมันไก่ในวันนี้แน่นอน” เธอกล่าวอย่างซาบซึ้ง
3 ปีแห่งการเรียนรู้ จาก ‘สูตรอาหาร’ สู่ ‘สูตรธุรกิจ’
เบื้องหลังข้าวมันไก่จานละ 69 บาท คือการทดลองไม่รู้จบ เธอใช้เวลาหลายปีเรียนรู้ทั้งวิธีต้มไก่ หุงข้าว และแม้แต่น้ำจิ้ม
“พี่อยู่กับข้าวมันไก่มา 3 ปีเต็ม ความผิดพลาด 50% ของชีวิตอยู่ในช่วงนั้นเลย เราทดลองทุกวัน ไก่แต่ละสายพันธุ์ไม่เหมือนกัน ข้าวแต่ละชนิดหุงไม่เหมือนกัน เต้าเจี้ยวแต่ละยี่ห้อรสต่างกันหมด”
จนถึงวันนี้ แม้ร้านจะเปิดมาเกินปี เธอยังลงมือทำเองทุกวัน
“พี่มีครัวเล็ก ๆ ที่บ้าน เอาไว้ทดลองต้มไก่ หุงข้าว ชิมน้ำจิ้มใหม่ ๆ ทุกวัน ไม่เคยหยุดพักเลย”
จากจานละ 69 บาท สู่ยอดขายกว่า 200,000 จานต่อปี
วันนี้ ‘หมึกมันไก่’ มียอดขายเฉลี่ยวันละ 800–900 เสิร์ฟ หรือกว่า 200,000 จานต่อปี
ราคาจานเริ่มต้น 69 บาท แต่มีลูกค้าสั่งครั้งละหลักสิบถึงหลักร้อยกล่อง
“เราไม่ได้มองว่าต้องขายแพง แต่เราต้องขายอย่างมีคุณภาพและมีระบบที่อยู่ได้จริง”
เมื่อเทียบกับร้านแรกที่เคยขาดทุน แม้ยอดขายสูง แต่ร้านนี้กลับมีกำไรชัดเจนจากการบริหารต้นทุน การวางระบบ และการไม่หยุดพัฒนา
‘หมึกมันไก่’ ไม่ได้เกิดจากโชค แต่เกิดจากการ ‘ไม่ยอมแพ้’
ทุกจานของหมึกมันไก่ คือผลลัพธ์ของการเรียนรู้จากความผิดพลาด
จากคนที่เคยขายดีจนเจ๊ง เป็นหนี้จนต้องขายทุกอย่างที่มี วันนี้เธอได้พิสูจน์ว่า ‘ความพยายามที่มีเป้าหมาย’ คือสิ่งที่ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ ยืนได้ในตลาดใหญ่อย่างแท้จริง
“ตอนเปิดร้านหมึกมันไก พี่ไม่ได้คิดว่าจะดังเลย คิดแค่ว่าต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อความอยู่รอด”
ประโยคสั้น ๆ แต่สะท้อนหัวใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เปลี่ยนความสิ้นหวังให้กลายเป็นพลัง และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทั่วประเทศ
บทเรียนธุรกิจจาก ‘หมึกมันไก่
อย่าขายเพราะแพชชั่นอย่างเดียว ต้องเข้าใจตัวเลข
แพชชั่นสร้างแรงเริ่มต้น แต่ตัวเลขคือตัววัดความอยู่รอด
ต้นทุนไม่ใช่ศัตรู แต่คือเครื่องมือบริหารกำไร
รู้ต้นทุนคือรู้ชีวิตธุรกิจ ถ้าคิดไม่เป็น ยิ่งขายยิ่งเหนื่อย
อย่ารอให้พร้อมถึงจะเริ่ม แต่เริ่มแล้วต้องเรียนรู้ให้เร็ว
เธอเริ่มจากศูนย์ ลองผิดลองถูกนับร้อยครั้ง จนกลายเป็นสูตรที่ดีที่สุด
อย่ากลัวการปรับราคา ถ้ามันสะท้อนคุณค่าจริง
ราคาที่เหมาะสมคือรางวัลของคุณภาพ ไม่ใช่แค่ตัวเลข
อย่าหยุดทดลองแม้ประสบความสำเร็จแล้ว
เพราะตลาดไม่หยุด และผู้บริโภคก็เปลี่ยนตลอดเวลา
‘หมึกมันไก่’ จึงไม่ได้เป็นเพียงร้านข้าวมันไก่ที่ขายดี
แต่เป็น สัญลักษณ์ของการยืนหยัดในวันที่ไม่มีอะไรเหลือให้เสีย
หรืออย่างที่ฐิตาภัสร์พูดไว้ในช่วงหนึ่งของเวทีสัมภาษณ์…
“ตอนเปิดร้านหมึกมันไก่ ไม่เคยคิดว่าจะดัง แต่คิดว่าต้องทำให้ดีที่สุด เพื่อให้เราอยู่รอด ”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/d-life/news-1896478