ทริปเกาหลีอันนี้เกิดขึ้นเพราะสามีมีเหตุให้ต้องไปอยู่เกาหลีเป็นเวลา 2 ปี
เราเองไม่ได้ตามสามีไปเพราะมีภารกิจงานที่เมืองไทยเช่นกัน
สามีเดินทางไปเมื่อปลายเดือนกุมภาฯ เราตามไปเจอเค้าช่วงสงกรานต์
จริงๆก่อนไปเกาหลีนี่ เราเป็นคนเดินทางต่างประเทศบ่อย เคยเรียนเมืองนอกด้วย
แต่ว่าเราตัดสินใจจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปลายปี เลยต้องเปลี่ยนพาสปอร์ตใหม่
พาสปอร์ตเล่มนี้ก็เลยกลายเป็นพาสปอร์ตหน้าขาว พร้อมนามสกุลใหม่
ใครๆก็บอกว่า ตม.เกาหลีแสนจะโหด ไอ่เราก็ไม่ไว้ใจ
เลยปรินท์เอกสารเตรียมไปอย่างมหาศาล คือ เยอะจริงๆนะ
ทั้งเอกสารต่างด้าวเกาหลีของสามี ชื่อที่อยู่ของคนเกาหลีที่จะรับรองเราได้
เอกสารการทำงาน เงินเดือน พาสปอร์ตเล่มเก่า (ที่เดินทางเยอะมาก)
เคยเข้าออกหลายประเทศ ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับตม.ที่ไหนเลย
แต่พอไปถึงเกาหลีก็โดนจริงๆค่ะ ไม่ผิดคาด นางหน้าด่านเชิญไปเข้าออฟฟิศ
ดิฉันก็เดินด้วยความมาดมั่นเข้าออฟฟิศไป มีคนไทยนั่งอยู่แล้ว 1 คน โดนเหมือนกัน
เจ้าหน้าที่เชิญไปนั่ง แล้วถามว่า พูดภาษาอังกฤษได้มั้ย ตอบไปว่า ได้
นางก็ถามว่า มาทำไม ดิฉันตอบว่า มาหาสามี สามีอยู่ที่นี่
นางถามว่าสามีเป็นคนเกาหลีเหรอ ดิฉันตอบว่า เป็นคนไทย อยู่ที่นี่
พร้อมสะบัดเอกสาร alien card ให้นางดูว่านี่คือเอกสารของสามี
นางเอาไปจิ้มจุ๊กจิ๊กในคอม แล้วก็บอกว่า follow me
แล้วนางก็แสตมป์พาสปอร์ต พร้อมเปิดประตูให้เข้าเกาหลีโดยพลัน
ส่วนคนไทยอีกคนหนึ่งที่อยู่ก่อนหน้านั้น ดิฉันไม่รู้โชคชะตาของเค้าจริงๆค่ะ
เอกสารอีกประมาณล้านกว่าแผ่นที่เตรียมไปก็ไม่ได้ใช้อะไร ใช้ใบเดียวเท่านั้น
แต่เข้าใจว่าถ้าเป็นคนอื่นที่เข้าเกาหลี อาจจะต้องมีเอกสารอื่นๆเพื่อยืนยันตัวตนมากกว่านี้
โดยเฉพาะเดินทางคนเดียว และเป็นผู้หญิงไทยด้วย ชื่อเสียงเราดีมาก
ขนาดดิฉันไม่เคยติดตม.ประเทศไหนเลย ยังจะสะดุดที่นี่จนได้
แล้วก็อย่าไปฮึดฮัดโกรธอะไรเค้าเลยนะ ถือว่าเป็นหน้าที่ของเค้าที่จะต้องคัดกรองคนเข้าประเทศ
เราใหญ่มาจากไหนจากประเทศไทย ไปถึงโน่นมันก็คือ no body เหมือนกันหมด
พอออกมาจากตม. เก็บกระเป๋าได้ สามีไม่ได้มารับนะคะ
เพราะว่ามาถึงเช้ามืด สามีอยู่เกาหลีเขตบ้านนอก ที่เรียกว่า I-hwangri เลยเมือง Icheon (ไม่ใช่ Incheon)
ห่างจากโซลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณชั่วโมงครึ่งโดยรถบัสจากโซล (ไม่ใช่สนามบิน)
เราก็เลยมีหน้าที่จัดการตัวเองโดยการต่อรถบัสไปที่นั่นเอง
อย่าดูถูกมนุษย์เมียนะคะ ทำได้ทุกอย่าง
ตรงจุดที่กากบาทสีแดงไว้นั่นแหละค่ะ
ก่อนอื่นก็ไปซื้อซิมเกาหลี เพื่อที่จะใช้อินเตอร์เนตที่นี่ให้ได้ก่อน
ที่นี่มีซิมเดียวที่คนต่างชาติจะใช้ได้ คือ EGsim ของ Olleh
ซื้อที่ GS25 นะคะ ไม่ได้ซื้อตามซุ้มโทรศัพท์
ก็จะมีราคาให้เราเลือกคือ 35,000 วอนสำหรับอินเตอร์เนต 1G
และ 55,000 วอนสำหรับอินเตอร์เนต 2G
จะใช้ซิมอันนี้ต้องอ่านวิธีใช้ ทำตามคู่มือเค้าโดยละเอียด
เพราะว่าจะต้องส่งหน้าพาสปอร์ตไปให้เค้าภายในครึ่งชั่วโมงแรกที่เปิดใช้งาน
ไม่เช่นนั้นก็จะใช้งานไม่ได้
และอย่าลืมถ่ายรูปซิมการ์ดตัวเองก่อนเสียบเข้าเครื่อง
เพราะว่าเค้าจะให้เรา verify serial number ของซิมอีก
ต้องถอดเข้าถอดออกวุ่นวายมาหา serial
ถ้าเป็นไปได้ก็เลือกซื้อ 2G ไปเลยค่ะ ถ้าอยู่หลายๆวัน
จะได้ได้ใช้ wifi ของ Olleh ด้วย ส่วนเราพลาดไป ซื้อแค่ 1G
เพราะไม่คิดว่าจะใช้เยอะ ต้องเติมเงินจนได้
แต่ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มาใหม่
เสร็จแล้วก็ไปซื้อตั๋วรถบัสไป Ichoen กันค่ะ
เดินออกจาก arrival hall ก็จะมีซุ้มขายตั๋วรถบัสอยู่ตรงนั้น
เดินไปบอกเส้นทางว่าจะไปไหน
แต่ด้วยภาษาเกาหลีอันอ่อนด้อยมาก
ไม่สามารถออกเสียงของ Icheon ให้เข้าใจได้
(ทุกคนจะงงว่ามันคือ Icheon หรือ Incheon)
เลยต้องพิมพ์บนไอโฟนแล้วส่งให้คนขายตั๋วดูว่าจะไป Icheon เป็นภาษาเกาหลี
ก็ได้ตั๋วรถบัสมา พร้อมบอกเวลากับท่ารถว่าขึ้นตรงไหน
เราได้เวลา 8.20 ซึ่งมาคันละชั่วโมง
ขึ้นรถบัสไปได้ก็พาขับไปเรื่อย ไปไหนไม่รู้ ดิฉันหลับค่า
(ก็กล้านะ มาประเทศเค้าครั้งแรก)
จอดรถอีกทีตรง DongSeoul bus terminal
แล้วโดนไล่ลงเฉยเลย เค้าให้ไปต่อรถอีกคัน
คือ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ปกติแล้วจะต้องนั่งยาวไปลง Icheon ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องลากกระเป๋าเดินข้าม terminal ไปขึ้นรถบัสอีกคัน
จากสนามบินมาตรงนี้ก็ใช้เวลาไปแล้วชั่วโมงครึ่ง
นั่งรถจาก Dong Seoul ก็โดนไปอีกชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึง Icheon
ยังค่ะ ยัง มันยังไม่ถึง I-hwangri จุดหมายปลายทางของเรา
พอถึง Icheon ก็เจอสามี แล้วก็ต่อแทกซี่ไป I-hwangri
จุดนี้เรียกว่าบ้านนอกของเกาหลีแล้วค่ะ ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษอีกต่อไป
ขึ้นรถปุ๊บคนขับแท๊กซี่ก็พูดแต่ภาษาเกาหลี
ภาษาเกาหลีที่เรียนมาพื้นฐาน 1 คอร์สถ้วน ถึงกับใบ้รับประทาน
คือ งงมาก และไม่เข้าใจเลยแม้แต่ตัวเดียว สามีพอคุยรู้เรื่องบ้าง
ด้วยเพราะอยู่มาแล้วเดือนกว่า พอไถๆไปได้
สรุปค่ะ กว่าจะถึง I-hwangri ก็เที่ยงพอดี (ได้ข่าวว่าเครื่องลงตีห้า)
วันนี้จริงๆลงมาวันเสาร์ เราไม่ตัดสินใจนอนโซลในคืนนี้
เพราะวันรุ่งขึ้น เราจะลองเดินทางไปกลับ Seoul-I-hwangri ด้วยรถบัสกับสามีก่อน
เพื่อที่จะเดินทางคนเดียวในวันจันทร์-ศุกร์ที่เหลือได้
ว้าย ใครจะไปนอนอยู่โรงแรมที่ I-hwangri คนเดียวเฉยๆได้ตั้ง 5 วันล่ะคะ
อย่างน้อยก็ไม่ใช่เราคนนึงล่ะ
เดี๋ยวมาติดตามตอนที่ 2 กับการเดินทางในเกาหลีแบบชาวเกาหลีจริงๆ
ทริป 9 วันในเกาหลีแบบชิลเวอร์ - ตอนที่ 2 - เดินทางด้วยรถบัสและรถไฟฟ้าที่เกาหลี
http://pantip.com/topic/33547002
ทริป 9 วันในเกาหลีแบบชิลเวอร์ - ตอนที่ 3 - must do in korea ทำผมที่เกาหลี
http://pantip.com/topic/33547137
ทริป 9 วันในเกาหลีแบบชิลเวอร์ - ตอนที่ 1 - สาวไทยเดินทางคนเดียว พาสปอร์ตขาว เข้าเกาหลี ต่อรถไปบ้านนอก
เราเองไม่ได้ตามสามีไปเพราะมีภารกิจงานที่เมืองไทยเช่นกัน
สามีเดินทางไปเมื่อปลายเดือนกุมภาฯ เราตามไปเจอเค้าช่วงสงกรานต์
จริงๆก่อนไปเกาหลีนี่ เราเป็นคนเดินทางต่างประเทศบ่อย เคยเรียนเมืองนอกด้วย
แต่ว่าเราตัดสินใจจดทะเบียนสมรสกันเมื่อปลายปี เลยต้องเปลี่ยนพาสปอร์ตใหม่
พาสปอร์ตเล่มนี้ก็เลยกลายเป็นพาสปอร์ตหน้าขาว พร้อมนามสกุลใหม่
ใครๆก็บอกว่า ตม.เกาหลีแสนจะโหด ไอ่เราก็ไม่ไว้ใจ
เลยปรินท์เอกสารเตรียมไปอย่างมหาศาล คือ เยอะจริงๆนะ
ทั้งเอกสารต่างด้าวเกาหลีของสามี ชื่อที่อยู่ของคนเกาหลีที่จะรับรองเราได้
เอกสารการทำงาน เงินเดือน พาสปอร์ตเล่มเก่า (ที่เดินทางเยอะมาก)
เคยเข้าออกหลายประเทศ ไม่เคยมีปัญหาอะไรกับตม.ที่ไหนเลย
แต่พอไปถึงเกาหลีก็โดนจริงๆค่ะ ไม่ผิดคาด นางหน้าด่านเชิญไปเข้าออฟฟิศ
ดิฉันก็เดินด้วยความมาดมั่นเข้าออฟฟิศไป มีคนไทยนั่งอยู่แล้ว 1 คน โดนเหมือนกัน
เจ้าหน้าที่เชิญไปนั่ง แล้วถามว่า พูดภาษาอังกฤษได้มั้ย ตอบไปว่า ได้
นางก็ถามว่า มาทำไม ดิฉันตอบว่า มาหาสามี สามีอยู่ที่นี่
นางถามว่าสามีเป็นคนเกาหลีเหรอ ดิฉันตอบว่า เป็นคนไทย อยู่ที่นี่
พร้อมสะบัดเอกสาร alien card ให้นางดูว่านี่คือเอกสารของสามี
นางเอาไปจิ้มจุ๊กจิ๊กในคอม แล้วก็บอกว่า follow me
แล้วนางก็แสตมป์พาสปอร์ต พร้อมเปิดประตูให้เข้าเกาหลีโดยพลัน
ส่วนคนไทยอีกคนหนึ่งที่อยู่ก่อนหน้านั้น ดิฉันไม่รู้โชคชะตาของเค้าจริงๆค่ะ
เอกสารอีกประมาณล้านกว่าแผ่นที่เตรียมไปก็ไม่ได้ใช้อะไร ใช้ใบเดียวเท่านั้น
แต่เข้าใจว่าถ้าเป็นคนอื่นที่เข้าเกาหลี อาจจะต้องมีเอกสารอื่นๆเพื่อยืนยันตัวตนมากกว่านี้
โดยเฉพาะเดินทางคนเดียว และเป็นผู้หญิงไทยด้วย ชื่อเสียงเราดีมาก
ขนาดดิฉันไม่เคยติดตม.ประเทศไหนเลย ยังจะสะดุดที่นี่จนได้
แล้วก็อย่าไปฮึดฮัดโกรธอะไรเค้าเลยนะ ถือว่าเป็นหน้าที่ของเค้าที่จะต้องคัดกรองคนเข้าประเทศ
เราใหญ่มาจากไหนจากประเทศไทย ไปถึงโน่นมันก็คือ no body เหมือนกันหมด
พอออกมาจากตม. เก็บกระเป๋าได้ สามีไม่ได้มารับนะคะ
เพราะว่ามาถึงเช้ามืด สามีอยู่เกาหลีเขตบ้านนอก ที่เรียกว่า I-hwangri เลยเมือง Icheon (ไม่ใช่ Incheon)
ห่างจากโซลไปทางตะวันตกเฉียงใต้ประมาณชั่วโมงครึ่งโดยรถบัสจากโซล (ไม่ใช่สนามบิน)
เราก็เลยมีหน้าที่จัดการตัวเองโดยการต่อรถบัสไปที่นั่นเอง
อย่าดูถูกมนุษย์เมียนะคะ ทำได้ทุกอย่าง
ตรงจุดที่กากบาทสีแดงไว้นั่นแหละค่ะ
ก่อนอื่นก็ไปซื้อซิมเกาหลี เพื่อที่จะใช้อินเตอร์เนตที่นี่ให้ได้ก่อน
ที่นี่มีซิมเดียวที่คนต่างชาติจะใช้ได้ คือ EGsim ของ Olleh
ซื้อที่ GS25 นะคะ ไม่ได้ซื้อตามซุ้มโทรศัพท์
ก็จะมีราคาให้เราเลือกคือ 35,000 วอนสำหรับอินเตอร์เนต 1G
และ 55,000 วอนสำหรับอินเตอร์เนต 2G
จะใช้ซิมอันนี้ต้องอ่านวิธีใช้ ทำตามคู่มือเค้าโดยละเอียด
เพราะว่าจะต้องส่งหน้าพาสปอร์ตไปให้เค้าภายในครึ่งชั่วโมงแรกที่เปิดใช้งาน
ไม่เช่นนั้นก็จะใช้งานไม่ได้
และอย่าลืมถ่ายรูปซิมการ์ดตัวเองก่อนเสียบเข้าเครื่อง
เพราะว่าเค้าจะให้เรา verify serial number ของซิมอีก
ต้องถอดเข้าถอดออกวุ่นวายมาหา serial
ถ้าเป็นไปได้ก็เลือกซื้อ 2G ไปเลยค่ะ ถ้าอยู่หลายๆวัน
จะได้ได้ใช้ wifi ของ Olleh ด้วย ส่วนเราพลาดไป ซื้อแค่ 1G
เพราะไม่คิดว่าจะใช้เยอะ ต้องเติมเงินจนได้
แต่ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็มาใหม่
เสร็จแล้วก็ไปซื้อตั๋วรถบัสไป Ichoen กันค่ะ
เดินออกจาก arrival hall ก็จะมีซุ้มขายตั๋วรถบัสอยู่ตรงนั้น
เดินไปบอกเส้นทางว่าจะไปไหน
แต่ด้วยภาษาเกาหลีอันอ่อนด้อยมาก
ไม่สามารถออกเสียงของ Icheon ให้เข้าใจได้
(ทุกคนจะงงว่ามันคือ Icheon หรือ Incheon)
เลยต้องพิมพ์บนไอโฟนแล้วส่งให้คนขายตั๋วดูว่าจะไป Icheon เป็นภาษาเกาหลี
ก็ได้ตั๋วรถบัสมา พร้อมบอกเวลากับท่ารถว่าขึ้นตรงไหน
เราได้เวลา 8.20 ซึ่งมาคันละชั่วโมง
ขึ้นรถบัสไปได้ก็พาขับไปเรื่อย ไปไหนไม่รู้ ดิฉันหลับค่า
(ก็กล้านะ มาประเทศเค้าครั้งแรก)
จอดรถอีกทีตรง DongSeoul bus terminal
แล้วโดนไล่ลงเฉยเลย เค้าให้ไปต่อรถอีกคัน
คือ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน แต่ปกติแล้วจะต้องนั่งยาวไปลง Icheon ได้เลย
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องลากกระเป๋าเดินข้าม terminal ไปขึ้นรถบัสอีกคัน
จากสนามบินมาตรงนี้ก็ใช้เวลาไปแล้วชั่วโมงครึ่ง
นั่งรถจาก Dong Seoul ก็โดนไปอีกชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึง Icheon
ยังค่ะ ยัง มันยังไม่ถึง I-hwangri จุดหมายปลายทางของเรา
พอถึง Icheon ก็เจอสามี แล้วก็ต่อแทกซี่ไป I-hwangri
จุดนี้เรียกว่าบ้านนอกของเกาหลีแล้วค่ะ ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษอีกต่อไป
ขึ้นรถปุ๊บคนขับแท๊กซี่ก็พูดแต่ภาษาเกาหลี
ภาษาเกาหลีที่เรียนมาพื้นฐาน 1 คอร์สถ้วน ถึงกับใบ้รับประทาน
คือ งงมาก และไม่เข้าใจเลยแม้แต่ตัวเดียว สามีพอคุยรู้เรื่องบ้าง
ด้วยเพราะอยู่มาแล้วเดือนกว่า พอไถๆไปได้
สรุปค่ะ กว่าจะถึง I-hwangri ก็เที่ยงพอดี (ได้ข่าวว่าเครื่องลงตีห้า)
วันนี้จริงๆลงมาวันเสาร์ เราไม่ตัดสินใจนอนโซลในคืนนี้
เพราะวันรุ่งขึ้น เราจะลองเดินทางไปกลับ Seoul-I-hwangri ด้วยรถบัสกับสามีก่อน
เพื่อที่จะเดินทางคนเดียวในวันจันทร์-ศุกร์ที่เหลือได้
ว้าย ใครจะไปนอนอยู่โรงแรมที่ I-hwangri คนเดียวเฉยๆได้ตั้ง 5 วันล่ะคะ
อย่างน้อยก็ไม่ใช่เราคนนึงล่ะ
เดี๋ยวมาติดตามตอนที่ 2 กับการเดินทางในเกาหลีแบบชาวเกาหลีจริงๆ
ทริป 9 วันในเกาหลีแบบชิลเวอร์ - ตอนที่ 2 - เดินทางด้วยรถบัสและรถไฟฟ้าที่เกาหลี
http://pantip.com/topic/33547002
ทริป 9 วันในเกาหลีแบบชิลเวอร์ - ตอนที่ 3 - must do in korea ทำผมที่เกาหลี
http://pantip.com/topic/33547137