รำลึกถึงชีวิตและผลงานของศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์)

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา  ผมมีโอกาสได้ไปร่วมฟังงานอภิปรายในหัวข้อ “ชีวิตและผลงานของศักดิ์ชัย  บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์)”  ที่จัดขึ้น ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ สุขุมวิท 55 โดยมีผู้เข้าร่วมอภิปายคือ ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการ , อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง นักเขียนอิสระ อดีตนายกสมาคมนักเขียนฯ  , นพ.ประจวบ มงคลศิริ ผู้แทนคณะสร้างภาพยนตร์ไทย เรื่อง “ปีศาจ” , คุณพุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) โดยมี อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย เป็นผู้ดำเนินรายการ   ผมจึงขออนุญาตนำเรื่องราวที่ได้อภิปรายในวันนั้นมาเขียนสรุปให้ได้อ่านกัน  โดยผมอาจจะไม่สามารถเก็บรายละเอียดของการอภิปรายได้ครบถ้วน  แต่ผมก็พยายามเขียนออกมาให้ตรงกับเนื้อหาการอภิปรายมากที่สุดครับ





การอภิปรายเริ่มขึ้นโดย อ.จรูญพร ปรปักษ์ประลัย  ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า เสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นนักเขียนเชิงสังคม , เชิงอุดมคติคนสำคัญของเมืองไทย

อ.ชมัยภร แสงกระจ่าง  พูดถึงเสนีย์ เสาวพงศ์ในแง่ของความเป็นวรรณกรรมในชีวิตนักเขียน

@ ในวันนี้มีคนมาร่วมงานนี้เยอะมาก ก็เพราะว่าทุกคนรักและศรัทธาในผลงานของเสนีย์ เสาวพงศ์

@ เสนีย์  เสาวพงศ์  สร้างงานเขียนที่แตกต่างออกไปจากงานเขียนทั่วไปในยุคสมัยนั้น  โดยเฉพาะนวนิยายเรื่อง “ปีศาจ” ที่ใช้สำนวนการเขียนไม่เหมือนกับนิยายทั่วไปที่ส่วนใหญ่จะมีแต่เรื่องรัก

@ นวนิยายเรื่อง “ความรักของวัลยา”  สร้างตัวละครวัลยาที่เป็นนางเอกของเรื่องซึ่งมีวิธีการคิด , การพูด ไม่เหมือนกับนางเอกทั่วไป

@ ผลงานเขียนของเสนีย์ เสาวพงศ์ ถือว่าเป็นผู้เปลี่ยนแปลงหักโค้งนวนิยายไทยต่อจาก ศรีบูรพา (จากผลงานเรื่อง “สงครามชีวิต” , “จนกว่าเราจะพบกันอีก” และ “แลไปข้างหน้า”)

@ เสนีย์ เสาวพงศ์ ใช้ประเด็นเรื่อง “กาลเวลา” มาเขียนเพื่อย้ำเตือนให้ผู้อ่านได้เตรียมตัวไว้ถึงการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

@ นวนิยายเรื่อง “ความรักของวัลยา” ทำให้ผู้หญิงรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเองมากกว่าจะเป็นเพียงแค่แม่บ้านเท่านั้น  ซึ่งแตกต่างจากนวนิยายทั่วไปในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก  ตัวตนของวัลยาทำให้ผู้หญิงภูมิใจในความเป็นผู้หญิงมากขึ้น

@ เสนีย์ เสาวพงศ์ เขียนเรื่องสั้นไม่มากนัก  แต่เรื่องสั้นที่เขียนก็สะท้อนถึงอะไรบางอย่างที่มีอยู่ในสังคมไทย  อย่างเช่นเรื่อง “ทานตะวันดอกหนึ่ง” ซึ่งเขียนหลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519  ที่เนื้อเรื่องพูดถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการเกษตร  ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่องมงายทางไสยศาสตร์ของชาวบ้านทั่วไป  โดยดอกทานตะวันในเรื่อง  อาจจะเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงความเจริญก้าวหน้าทางประชาธิปไตยก็เป็นได้

@ โดยรวมแล้วต้องถือว่า เสนีย์ เสาวพงศ์ สามารถสร้างผลงานวรรณกรรมขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางความคิดที่ดี

@ เรื่องสั้นที่ชื่อ “ขอให้การพายเรือของเจ้าเที่ยวนี้ จงเป็นเที่ยวสุดท้าย” เป็นเรื่องสั้นที่สร้างความสะเทือนใจให้แก่ผู้อ่านได้เป็นอย่างมาก  เพราะผู้อ่านไม่ต้องการให้ผู้หญิงต้องยากลำบากถึงขนาดนั้น

@ ในผลงานช่วงหลังของ เสนีย์ เสาวพงศ์  เช่นนวนิยายเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” และ “ดินน้ำดอกไม้” เป็นการเล่าเรื่องโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจทางสังคมเป็นผู้เล่าเรื่อง  แต่เป็นการเล่าเรื่องจากมุมมองของสามัญชนคนธรรมดา  ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่เรื่องมักจะถูกเล่าโดยผู้ที่มีอิทธิพลเสมอ  ดังนั้นการเล่าเรื่องจากมุมมองของคนธรรมดาจึงทำให้ผู้อ่านรู้สึกมีส่วนร่วมในเรื่องมากขึ้นด้วย





อ. ชาญวิทย์  เกษตรศิริ พูดถึงเสนีย์ เสาวพงศ์ในแง่ของ ชีวิต , ประวัติศาสตร์และวรรณกรรม

@  พวกเราต้องถือว่า เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้สร้างอะไรหลายอย่างไว้ให้แก่พวกเราเป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะในเรื่องของผลงานวรรณกรรม

@ เสนีย์ เสาวพงศ์  เกิดในปีที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เพิ่งจบลง  ผลงานในช่วงแรก ๆ ใช้ชื่อว่า ศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วง ปี 2490 เสนีย์ เสาวพงศ์ ได้สร้างผลงานอันหลากหลายซึ่งถือว่าเป็นผลงานวรรณกรรมของนักเขียนที่ไฟแรงมาก

@ พอถึงยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่เรียกว่ายุค “สายลมและแสงแดด”  เป็นช่วงเวลาที่มีการลบผลงานวรรณกรรมออกจากสังคมเป็นจำนวนมาก   จนกระทั่งถึงยุคปี 2510 มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เริ่มมีการฟื้นฟูความทรงจำเก่า  ในช่วงนั้นนักศึกษาไทยที่กรุงปารีสเริ่มพูดถึงตัวละครที่ชื่อ วัลยา  และเริ่มพูดถึงผลงานของเสนีย์ เสาวพงศ์ มากขึ้น  ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ในปี 2510 ที่เริ่มมีการขุดค้นวรรณกรรม จึงทำให้เราค้นพบเสนีย์ เสาวพงศ์อีกครั้ง

@ “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ ปัจจุบันได้แพร่พันธ์ไปมากแล้ว ตัวละครทั้ง สาย สีมาและรัชนี มีอยู่ในทุกแวดวงของสังคมไทย

@  เสนีย์ เสาวพงศ์ มีความโดดเด่นด้วยงานเขียน แม้ว่าจะถูกลบชื่อออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์แล้ว  แต่ภายหลังก็ถูกขุดค้นเพื่อนำกลับมาอีกครั้ง

@  เมื่อเสนีย์ เสาวพงศ์ หรือ ศักดิ์ชัย  บำรุงพงศ์  เกษียณจากราชการในปี 2520  เขาก็กลับมาสู่แวดวงวรรณกรรมใหม่อีกครั้ง

@ หลายคนอาจจะชอบนวนิยายเรื่อง “คนดีศรีอยุธยา” มากกว่าเรื่อง “ความรักของวัลยา”  ซึ่งถือว่าเสนีย์ เสาวพงศ์ สามารถเรียกคืนสถานะความเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่กลับมาได้อีกครั้ง

@ โดยส่วนตัวแล้ว อ.ชาญวิทย์ โชคดีที่ได้สัมผัสตัวตนของเสนีย์ เสาวพงศ์  ตั้งแต่สมัยที่คุณศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์ เป็นทูตอยู่ที่ประเทศพม่า  อ.ชาญวิทย์ เชื่อว่า เสนีย์ เสาวพงศ์ได้ให้อะไรหลายอย่างแก่ผู้ที่ได้อ่านข้อคิดข้อเขียนของเขา





นพ. ประจวบ มงคลศิริ  ผู้ที่เคยได้รับบทเป็นสาย สีมา ในภาพยนตร์เรื่อง “ปีศาจ”  เมื่อ 35 ปีที่แล้ว ได้พูดในแง่ของการเป็นนักศึกษาในยุคหลังซึ่งได้รับอิทธิผลจากผลงานวรรณกรรมของ เสนีย์ เสาวพงศ์

@ ในสมัยที่เป็นนักศึกษาแพทย์อยู่ที่เชียงใหม่ (นพ. ประจวบ) เป็นนักศึกษาที่ทำงานกิจกรรมเยอะมาก  จนมาพบกับคุณขรรค์ชัย บุญปาน ซึ่งจะสร้างภาพยนตร์เรื่อง “ปีศาจ” จึงได้รับร่วมแสดง  โดยมีคุณสุพรรณ  บูรณะพิมพ์เป็นผู้กำกับ

@ ในเรื่อง “ปีศาจ” นั้นมีการแบ่งชนชั้นออกจากกันอย่างชัดเจนคือ ชนชั้นผู้ปกครอง และ ชนชั้นสามัญชน ซึ่งชนชั้นปกครองนั้นยังแบ่งออกไปอีกเป็น เจ้าฟ้าและขุนนาง (ข้าราชการ)  ดังนั้นในเรื่องนี้จึงแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างกันระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน

@ ตัวละคร “สาย สีมา” นั้น ถือว่าเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  สาย สีมาเป็นชนชั้นชาวนาชาวบ้านแต่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ  จนทำให้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงชนชั้นของตัวเองได้  แต่สาย สีมาก็ไม่ได้ทำในที่สุด

@ ภาษาที่ใช้ในเรื่อง “ปีศาจ” เป็นภาษาของนักการทูตที่สุภาพ  แต่มีความจริงที่เสียดแทงอยู่เบื้องลึกในคำพูดนั้น

@ นพ. ประจวบ บอกว่าในครั้งหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ  คุณศักดิ์ชัย บำรุงพงศ์หรือเสนีย์ เสาวพงศ์ เจ้าของบทประพันธ์ ได้มาที่กองถ่ายจึงทำให้ได้พูดคุยกัน  เสนีย์ เสาวพงศ์ ถามว่ารู้ไหมใครคือปีศาจ? ซึ่ง นพ. ประจวบตอบว่า “ปีศาจคือการปฏิเสธความคิดของคนรุ่นเก่า  แล้วนำความคิดในแนวทางสมัยใหม่มาใช้”  แต่เสนีย์ เสาวพงศ์ บอกว่า  “ปีศาจที่แท้จริงคือตัวละครชื่อรัชนี ที่ประกาศตัวตนเป็นกบฏต่อชนชั้นของตัวเองมากที่สุด  จึงถือว่าเป็นปีศาจที่หลอกหลอนชนชั้นของตัวเองอย่างแสนสาหัสที่สุด”






คุณพุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู  จากหอภาพยนตร์   พูดถึงแง่ของจากวรรณกรรมมาสู่ภาพยนตร์  เห็นคุณค่าอย่างไรบ้าง?

@ ภาพยนตร์เรื่อง “ปีศาจ” ตามข้อมูลบอกว่าสร้างเมื่อปี 2522 แล้วนำออกฉายในปี 2524  โดยมีตัวละครเอกของเรื่องคือ "สาย สีมา  นักสู้สามัญชน"

@ ปีที่ภาพยนตร์เรื่องปีศาจออกฉาย  เป็นปีที่รัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ประกาศขึ้นภาษีภาพยนตร์เยอะมาก  จึงทำให้หลังจากนั้นไม่ค่อยมีภาพยนตร์จากต่างประเทศเข้ามาฉาย  ในประเทศจึงมีการสร้างหนังไทยขึ้นมาเยอะมาก

@ ภาพยนตร์เรื่อง “ปีศาจ” ถือว่าเป็นหนังแนวสะท้อนสังคม  จึงทำให้หลังจากนั้นมีการสร้างหนังแนวสะท้อนสังคมตามออกมาอีกเยอะมาก  อาทิเช่น เขาชื่อกานต์ , ทองพูดโคกโพราษฎร์เต็มขั้น ฯลฯ

@ จากข้อมูลบอกว่า  คุณเจน (จากมติชน) อยากสร้างหนังเรื่องนี้  โดยใช้เงินทุนของคุณขรรค์ชัย บุญปาน คนเขียนบทคือ คุณสมานและคุณเวช บูรณะ โดยมีผู้กำกับคือคุณสุพรรณ บูรณะพิมพ์  จึงถือว่าคนสร้างหนังอยู่ในแวดวงวรรณกรรม  โดยเป็นการสร้างหนังในยุคที่หนังแนวสะท้อนสังคมกำลังเบ่งบาน




ก่อนจะจบการอภิปรายในวันนั้นมีคำคมสุดท้ายจาก อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ  ซึ่งได้พูดถึงการจากไปของเสนีย์ เสาวพงศ์ ว่า ...

“เป็นความตายที่ยังอยู่  ถือว่าเสนีย์  เสาวพงศ์เป็นอมตะในวงการวรรณกรรมไทย”






ภาพบรรยายกาศบางส่วนจากงานอภิปรายในครั้งนี้








รางวัลเกียรติยศของคุณศักดิ์ชัย  บำรุงพงศ์ (เสนีย์ เสาวพงศ์)




ภาพบางส่วนจากภาพยนตร์เรื่อง ปีศาจ






หลังจากจบการอภิปรายมีการฉายภาพยนตร์เรื่อง "ปีศาจ" โดยหอิภาพยนตร์  แต่ว่าผมไม่ได้อยู่ดูเนื่องจากต้องรีบไปงานเลี้ยงของพันทิปต่อครับ

ท้ายสุดนี้ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมกระทู้นี้  หากข้อมูลใดที่ผิดพลาดไปจากเนื้อหาในการอภิปรายผมต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่