ฝนจางลงไปมากแล้ว แต่ความเปียกชุ่มของทั้งคู่ยังไม่ได้บรรเทาลง ลมเย็นพัดผ่านมา ปะทะกับไอร้อนจากยวดยานพาหนะ ทำให้แยกไม่ออกว่า รอบตัวเต็มไปด้วยหมอกควัน ไอเสีย หรืออะไรกันแน่
ไม่มีใครสนใจสองหนุ่มสาว ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ตรงหัวมุมปากซอย และทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจสายตาของใครๆ เช่นกัน
อนลยังคงพยายามยิ้มอย่างสุภาพ
“ผม... แค่กำลังรีบ”
เขาอธิบาย พร้อมกับพยักหน้าไปยังทางเข้าอาคารด้านขวามือ
“เราเข้าไปในตึกนั่นกันก่อนดีไหม คุณจะได้ถอดบู๊ตยาวตลกๆ นี่ออก ผมจะได้ช่วยดูว่าข้อเท้าคุณ...”
เธอทาบมือลงกับลอนท้องของเขา มันทำให้อนลเสียววาบ ลมหายใจสะดุดกึก
“นี่พูดจริงๆ ที่เท่าฉันเคยเจอมา การใช้มุกแบบนี้ มันน่าเวทนาที่สุดแล้วละ”
ริมฝีปากของฤดีเหยียดออกอย่างดูหมิ่น
“จากนั้นก็จะเชิญฉันขึ้นไปที่ห้องทำงาน แล้วก็ขอสำรวจตรวจสอบทั้งเนื้อทั้งตัวฉัน บนโซฟาของคุณ”
“อย่าพูดอะไรเลอะเทอะไปหน่อยเลย ผมแค่หมายความว่า...”
“อ๋อ! ชั้นรู้ดีเชียวละว่านายหมายความว่าอะไร”
ฤดีเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย
“ตอนแรกนายก็ชนฉันล้ม แล้วก็กล่าวหาว่าฉันแกล้งเจ็บ และตอนนี้นายก็พยายามที่จะ... จะ...”
“ฟังนะครับ...”
“ฉันก็กำลังจะไปพบทนายของฉันอยู่เดี๋ยวนี้ละ สาบานได้เลยว่า จะบอกเขาให้ฟ้องคุณที่... ที่...”
“ข้อหาเท่าที่คุณคิดได้น่ะ มันจะเป็นข้อหาที่ไร้สาระมาก ไร้สาระที่สุด”
อนลกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย
“งั้นก็เชิญเลย จะเดินไปเองก็ตามใจ ขอให้เจอเหยื่อรายต่อไปเร็วๆ ก็แล้วกัน อ้อ... อย่าลืมวิ่งไปชนให้แนบเนียนกว่าที่ทำกับผมด้วยล่ะ”
“นายก็เหมือนกันนั่นละ”
ฤดีไม่ลดราวาศอกให้เด็ดขาด พอคิดว่าหมดเรื่องคุยแล้ว ก็ตั้งท่าจะสะบัดหน้าผ่านเขาไป
ทว่า ไปได้ไม่ถึงครึ่งก้าว คราวนี้ก็มีอันได้ผวาลงไป ตะครุบดินโคลนเฉอะแฉะได้จริงๆ
“ว้าย!”
ฤดีร้องอย่างตกใจ ขณะที่อนลส่ายหน้า เอือมระอาเต็มที
“นี่แหละนะ ผู้หญิง... ชอบอวดเก่งไม่เข้าเรื่อง”
อนลเอ่ยอย่างอ่อนใจ พลางก้มลง สอดแขนอุ้มร่างเธอขึ้นมาง่ายดาย
“หยุดนะ... ไอ้...”
ฤดียิ่งโวยวายลั่น
“นายจะทำอะไรชั้น!!!”
อนลไม่สนใจใครต่อใครที่หันมองมา คิดว่า ต้องทำคุณไถ่โทษให้หมดสิ้นเวรกรรมกันไป
เขาแบกเธอตรงไปทางอาคารที่ตั้งของ สำนักงานวิโรจน์ทนายความ
เวรกรรมจริงๆ
แต่ก็ยังไม่วายโมโห
เอาเถอะ อย่างน้อยก็เข้าใกล้สถานที่นัดหมายปัญญาอ่อนนั่น เข้าไปทุกทีแล้ว
ฤดีระดมรัวกำปั้นใส่เขา แต่อนลไม่สนใจ หลังจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี่ อาจเป็นแค่เรื่องตลก ไว้คุยกันสนุกๆ ก็เป็นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิง ที่ให้ความรู้สึกนุ่มเนียน มีกลิ่นกายหอมกรุ่น แต่กลับมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ และทุบกระหน่ำไม่ยอมหยุดแบบนี้
ตอนนี้ ทั้งหมดที่เขาหวังก็คือ ในบรรดาคนที่ผ่านไปมา แล้วกำลังอมยิ้มกันอย่างขบขันอยู่รอบตัวนี่ จะไม่ใช่ทนายวิโรจน์
อนลใช้ไหล่ดันประตูโถงตึกใหญ่ให้เปิดออก และก้าวไปบนพื้นหินอ่อนที่ประดับด้วยต้นจั๋งใบโกร๋นที่พยายามจะแผ่แทงยอดใหม่
เขาคำรามในลำคอ ก่อนจะวางร่างของหญิงสาวที่อุ้มมา ลงบนขอบกระถาง
“ไม่มีโซฟา”
เขาเอ่ยห้วนๆ ค่อยทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
“แต่ก็นั่นแหละ คนเรา ไม่เคยสมหวังในทุกสิ่งที่ปรารถนาหรอก จริงไหม”
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ฤดีตวาดเมื่อชายหนุ่มเอื้อมมือมาคว้าเท้าข้างที่เกิดอาการ
“ผมกำลังจะดูว่า ไอ้ความปัญญาอ่อนน่ะ มันทำอะไรคุณมั่ง”
“การที่ชนกันเนี่ยนะปัญญาอ่อน รู้จักไหม คำว่าอุบัติเหตุน่ะ แล้วนายก็ผิดอยู่เต็มประตู อยู่ๆ ก็วิ่งมาชน กล่าวหาว่าฉันเป็นพวกต้มตุ๋น แล้วนี่...นาย... นายยังจะกล้าอุ้มฉันมานี่อีก...”
คนถูกต่อว่า ไม่เสียเวลาตอบโต้ จับข้อเท้าของหญิงสาวบิดไปมาเบาๆ พอเห็นว่า ไม่มีอาการเจ็บปวดอะไร ก็เอ่ยด้วยเสียงระรื่น
“ตามสบาย อยากฟ้องร้องอะไรก็ฟ้องเลยนะ แต่ก่อนอื่นผมต้องถอดรองเท้าบู๊ตนี่ออกก่อน”
“ฝันไปเถอะ! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน...”
ถ้อยคำกราดเกรี้ยวสะดุดกึก เมื่อชายหนุ่มส่งเสียงขำพรืดออกมา
“มีอะไรน่าขันนักหรือไงล่ะ”
“คุณไม่ต้องการรถพยาบาลหรือศัลยแพทย์หรอกนะ”
อนลเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีผากของเขากระตุกเพราะพยายามหยุดหัวเราะ
“ที่คุณต้องการก็คือ ร้านซ่อมรองเท้าต่างหากล่ะ”
ฤดี ขมวดคิ้ว พร้อมกับก้มลงมองสภาพรองเท้าตัวเอง
“อะไรนะ!”
“ก็ส้นรองเท้าน่ะสิ มันคงหักตอนที่คุณ.. ตอนที่เรา... ชนกัน มันเลยทำให้ทรงตัวไม่อยู่ไงล่ะ”
ฤดีต้องเสมองไปทางอื่นด้วยความกระดากอาย ขณะที่ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะเบาๆ
เธอจะโทษเขาเต็มๆ ก็ไม่ได้ เพราะตนทำตัวงี่เง่าไปเองแท้ๆ
ตั้งแต่ตอนเดินชนกัน จนถึงการแผลงฤทธิ์ที่ลุยใส่เขา ตอนที่แบกเธอเข้ามาในตัวอาคารแห่งนี้
พอได้สติขึ้นมาบ้าง ฤดีก็สูดหายใจลึกๆ
“เอาอย่างนี้นะ”
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงพูดขึ้น...
แต่คำขอโทษก็ยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ขณะเขายังคงจับที่ข้อเท้าของเธออยู่
อนลไม่ได้ยิ้มอีกแล้วตอนเงยหน้าขึ้นมองตลอดตัวของเธอ ด้วยดวงตาดำขลับทรงเสน่ห์นั้น เขาค่อยๆ สำรวจอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ไปบนเรือนร่างทุกตารางนิ้วของหญิงสาว
ฤดีรู้ดีเลยเชียวว่า เขาเห็นอะไรบ้าง เสื้อยืดบางๆ ตัวนี้ กระโปรงหนังนี่ยิ่งน่าหัวเราะ รองเท้าบู๊ตปัญญาอ่อนนี่อีก...
‘รองเท้าบู๊ตที่หน้าตาทุเรศขนาดนี้’ อนลคิด ทำไมกลับกลายเป็นสิ่งที่เซ็กซี่ที่สุด เท่าที่เขาเคยเห็นมา และกระโปรงนั่น เป็นหนังแบบเดียวกับรองเท้า มันสั้นจุ๊ดจู๋แค่คืบกว่าๆ เหนือขึ้นไปคือเข็มขัดกว้าง ที่รับกับเอวเล็กบางแทบไม่น่าเชื่อ และเหนือขึ้นไปอีก...
โอ... ใช่แล้ว เหนือขึ้นไป
หน้าอกของเธออวบอิ่ม กลมกลึงและงอนเชิด อยู่ใต้เสื้อผ้ายืดสีชมพูซีด ที่เปียกปอน
เขาเห็นปลายถันของเธออย่างชัดเจน จนอยากยื่นมือออกไปสัมผัสลูบไล้ มันจะเป็นอย่างไรนะ จะเหมือนหญิงสาวคนอื่นที่ที่เคยผ่านมือมาหรือเปล่า...
อนลไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า ความปรารถนาแบบนั้นเข้าครอบงำจิตใจเขาเมื่อวินาทีไหน
“นี่... คุณ...”
เสียงของเธอทุ้มต่ำ หนักแน่นและเย็นชาอย่างยิ่ง
“ดูพอหรือยังยะ พ่อไก่อ่อนสอนขัน”
เธอกระตุกเท้าออกจากมือเขา ลงยืนแบบที่ตัวเอียงไปข้างๆ
“กลับบ้านไปหาดูดนมแม่ไป๊ ฉันจะได้ไปตามทางของฉันซะที”
อนลลุกขึ้นยืนเช่นกัน เห็นว่า ดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มจัด เป็นเกือบดำสนิท
เธอคงทำเป็นโกรธอีกแล้วสิ มันก็แค่เป็นเรื่องตลก พอๆ กับตอนที่เธอทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยง โวยวายว่าเขากำลังจะลวนลาม
ไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะแต่งตัวแบบนี้ ถ้าไม่ต้องการจะยั่วยวนผู้ชายทุกคน ที่เหลือบตามาเห็น
“อย่าเข้าใจอะไรผิดนะครับ”
อนลเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“คิดว่าผมอยากจะรั้งคุณไว้หรือยังไง ผมไม่อยากให้คุณเสียเวลา กับการงานนอกสถานที่ของคุณหรอกนะ ก็คุณมีนัดกับ...เอ้อ... ทนายของคุณใช่ไหมล่ะ คุณบอกแบบนั้นใช่ไหม”
ฤดีหน้าชาวูบ รีบกระชับเสื้อตัวนอก ห่อหุ้มร่างกายของตนให้มิดชิดที่สุด
“ไปตายซะเถอะ!”
(มีต่อ)
มรดก(ร้าย)รัก บทที่ 4
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ขอบคุณทุกกำลังใจครับ (เริ่มปรากฏตัวละ ปลื้มปริ่มปรีดิ์เปรมมากมาย)
ขอบคุณคุณ คุณ Inverness, คุณ PuPaKea, คุณ Su_jeong, คุณ Kduangin, คุณ รัตน์ฤดี และคุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนิยาย เรียบๆ เรื่อยๆ เรื่องนี้นะครับ
********************************************************
มรดก(ร้าย)รัก
บทที่ 4
ฝนจางลงไปมากแล้ว แต่ความเปียกชุ่มของทั้งคู่ยังไม่ได้บรรเทาลง ลมเย็นพัดผ่านมา ปะทะกับไอร้อนจากยวดยานพาหนะ ทำให้แยกไม่ออกว่า รอบตัวเต็มไปด้วยหมอกควัน ไอเสีย หรืออะไรกันแน่
ไม่มีใครสนใจสองหนุ่มสาว ที่กำลังถกเถียงกันอยู่ตรงหัวมุมปากซอย และทั้งคู่ก็ไม่ได้สนใจสายตาของใครๆ เช่นกัน
อนลยังคงพยายามยิ้มอย่างสุภาพ
“ผม... แค่กำลังรีบ”
เขาอธิบาย พร้อมกับพยักหน้าไปยังทางเข้าอาคารด้านขวามือ
“เราเข้าไปในตึกนั่นกันก่อนดีไหม คุณจะได้ถอดบู๊ตยาวตลกๆ นี่ออก ผมจะได้ช่วยดูว่าข้อเท้าคุณ...”
เธอทาบมือลงกับลอนท้องของเขา มันทำให้อนลเสียววาบ ลมหายใจสะดุดกึก
“นี่พูดจริงๆ ที่เท่าฉันเคยเจอมา การใช้มุกแบบนี้ มันน่าเวทนาที่สุดแล้วละ”
ริมฝีปากของฤดีเหยียดออกอย่างดูหมิ่น
“จากนั้นก็จะเชิญฉันขึ้นไปที่ห้องทำงาน แล้วก็ขอสำรวจตรวจสอบทั้งเนื้อทั้งตัวฉัน บนโซฟาของคุณ”
“อย่าพูดอะไรเลอะเทอะไปหน่อยเลย ผมแค่หมายความว่า...”
“อ๋อ! ชั้นรู้ดีเชียวละว่านายหมายความว่าอะไร”
ฤดีเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย
“ตอนแรกนายก็ชนฉันล้ม แล้วก็กล่าวหาว่าฉันแกล้งเจ็บ และตอนนี้นายก็พยายามที่จะ... จะ...”
“ฟังนะครับ...”
“ฉันก็กำลังจะไปพบทนายของฉันอยู่เดี๋ยวนี้ละ สาบานได้เลยว่า จะบอกเขาให้ฟ้องคุณที่... ที่...”
“ข้อหาเท่าที่คุณคิดได้น่ะ มันจะเป็นข้อหาที่ไร้สาระมาก ไร้สาระที่สุด”
อนลกล่าวอย่างเหนื่อยหน่าย
“งั้นก็เชิญเลย จะเดินไปเองก็ตามใจ ขอให้เจอเหยื่อรายต่อไปเร็วๆ ก็แล้วกัน อ้อ... อย่าลืมวิ่งไปชนให้แนบเนียนกว่าที่ทำกับผมด้วยล่ะ”
“นายก็เหมือนกันนั่นละ”
ฤดีไม่ลดราวาศอกให้เด็ดขาด พอคิดว่าหมดเรื่องคุยแล้ว ก็ตั้งท่าจะสะบัดหน้าผ่านเขาไป
ทว่า ไปได้ไม่ถึงครึ่งก้าว คราวนี้ก็มีอันได้ผวาลงไป ตะครุบดินโคลนเฉอะแฉะได้จริงๆ
“ว้าย!”
ฤดีร้องอย่างตกใจ ขณะที่อนลส่ายหน้า เอือมระอาเต็มที
“นี่แหละนะ ผู้หญิง... ชอบอวดเก่งไม่เข้าเรื่อง”
อนลเอ่ยอย่างอ่อนใจ พลางก้มลง สอดแขนอุ้มร่างเธอขึ้นมาง่ายดาย
“หยุดนะ... ไอ้...”
ฤดียิ่งโวยวายลั่น
“นายจะทำอะไรชั้น!!!”
อนลไม่สนใจใครต่อใครที่หันมองมา คิดว่า ต้องทำคุณไถ่โทษให้หมดสิ้นเวรกรรมกันไป
เขาแบกเธอตรงไปทางอาคารที่ตั้งของ สำนักงานวิโรจน์ทนายความ
เวรกรรมจริงๆ
แต่ก็ยังไม่วายโมโห
เอาเถอะ อย่างน้อยก็เข้าใกล้สถานที่นัดหมายปัญญาอ่อนนั่น เข้าไปทุกทีแล้ว
ฤดีระดมรัวกำปั้นใส่เขา แต่อนลไม่สนใจ หลังจากนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี่ อาจเป็นแค่เรื่องตลก ไว้คุยกันสนุกๆ ก็เป็นได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิง ที่ให้ความรู้สึกนุ่มเนียน มีกลิ่นกายหอมกรุ่น แต่กลับมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ และทุบกระหน่ำไม่ยอมหยุดแบบนี้
ตอนนี้ ทั้งหมดที่เขาหวังก็คือ ในบรรดาคนที่ผ่านไปมา แล้วกำลังอมยิ้มกันอย่างขบขันอยู่รอบตัวนี่ จะไม่ใช่ทนายวิโรจน์
อนลใช้ไหล่ดันประตูโถงตึกใหญ่ให้เปิดออก และก้าวไปบนพื้นหินอ่อนที่ประดับด้วยต้นจั๋งใบโกร๋นที่พยายามจะแผ่แทงยอดใหม่
เขาคำรามในลำคอ ก่อนจะวางร่างของหญิงสาวที่อุ้มมา ลงบนขอบกระถาง
“ไม่มีโซฟา”
เขาเอ่ยห้วนๆ ค่อยทรุดตัวคุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
“แต่ก็นั่นแหละ คนเรา ไม่เคยสมหวังในทุกสิ่งที่ปรารถนาหรอก จริงไหม”
“ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
ฤดีตวาดเมื่อชายหนุ่มเอื้อมมือมาคว้าเท้าข้างที่เกิดอาการ
“ผมกำลังจะดูว่า ไอ้ความปัญญาอ่อนน่ะ มันทำอะไรคุณมั่ง”
“การที่ชนกันเนี่ยนะปัญญาอ่อน รู้จักไหม คำว่าอุบัติเหตุน่ะ แล้วนายก็ผิดอยู่เต็มประตู อยู่ๆ ก็วิ่งมาชน กล่าวหาว่าฉันเป็นพวกต้มตุ๋น แล้วนี่...นาย... นายยังจะกล้าอุ้มฉันมานี่อีก...”
คนถูกต่อว่า ไม่เสียเวลาตอบโต้ จับข้อเท้าของหญิงสาวบิดไปมาเบาๆ พอเห็นว่า ไม่มีอาการเจ็บปวดอะไร ก็เอ่ยด้วยเสียงระรื่น
“ตามสบาย อยากฟ้องร้องอะไรก็ฟ้องเลยนะ แต่ก่อนอื่นผมต้องถอดรองเท้าบู๊ตนี่ออกก่อน”
“ฝันไปเถอะ! ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน...”
ถ้อยคำกราดเกรี้ยวสะดุดกึก เมื่อชายหนุ่มส่งเสียงขำพรืดออกมา
“มีอะไรน่าขันนักหรือไงล่ะ”
“คุณไม่ต้องการรถพยาบาลหรือศัลยแพทย์หรอกนะ”
อนลเงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีผากของเขากระตุกเพราะพยายามหยุดหัวเราะ
“ที่คุณต้องการก็คือ ร้านซ่อมรองเท้าต่างหากล่ะ”
ฤดี ขมวดคิ้ว พร้อมกับก้มลงมองสภาพรองเท้าตัวเอง
“อะไรนะ!”
“ก็ส้นรองเท้าน่ะสิ มันคงหักตอนที่คุณ.. ตอนที่เรา... ชนกัน มันเลยทำให้ทรงตัวไม่อยู่ไงล่ะ”
ฤดีต้องเสมองไปทางอื่นด้วยความกระดากอาย ขณะที่ชายหนุ่มเริ่มหัวเราะเบาๆ
เธอจะโทษเขาเต็มๆ ก็ไม่ได้ เพราะตนทำตัวงี่เง่าไปเองแท้ๆ
ตั้งแต่ตอนเดินชนกัน จนถึงการแผลงฤทธิ์ที่ลุยใส่เขา ตอนที่แบกเธอเข้ามาในตัวอาคารแห่งนี้
พอได้สติขึ้นมาบ้าง ฤดีก็สูดหายใจลึกๆ
“เอาอย่างนี้นะ”
เมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว จึงพูดขึ้น...
แต่คำขอโทษก็ยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ขณะเขายังคงจับที่ข้อเท้าของเธออยู่
อนลไม่ได้ยิ้มอีกแล้วตอนเงยหน้าขึ้นมองตลอดตัวของเธอ ด้วยดวงตาดำขลับทรงเสน่ห์นั้น เขาค่อยๆ สำรวจอย่างช้าๆ แต่มั่นคง ไปบนเรือนร่างทุกตารางนิ้วของหญิงสาว
ฤดีรู้ดีเลยเชียวว่า เขาเห็นอะไรบ้าง เสื้อยืดบางๆ ตัวนี้ กระโปรงหนังนี่ยิ่งน่าหัวเราะ รองเท้าบู๊ตปัญญาอ่อนนี่อีก...
‘รองเท้าบู๊ตที่หน้าตาทุเรศขนาดนี้’ อนลคิด ทำไมกลับกลายเป็นสิ่งที่เซ็กซี่ที่สุด เท่าที่เขาเคยเห็นมา และกระโปรงนั่น เป็นหนังแบบเดียวกับรองเท้า มันสั้นจุ๊ดจู๋แค่คืบกว่าๆ เหนือขึ้นไปคือเข็มขัดกว้าง ที่รับกับเอวเล็กบางแทบไม่น่าเชื่อ และเหนือขึ้นไปอีก...
โอ... ใช่แล้ว เหนือขึ้นไป
หน้าอกของเธออวบอิ่ม กลมกลึงและงอนเชิด อยู่ใต้เสื้อผ้ายืดสีชมพูซีด ที่เปียกปอน
เขาเห็นปลายถันของเธออย่างชัดเจน จนอยากยื่นมือออกไปสัมผัสลูบไล้ มันจะเป็นอย่างไรนะ จะเหมือนหญิงสาวคนอื่นที่ที่เคยผ่านมือมาหรือเปล่า...
อนลไม่เข้าใจตัวเองเลยว่า ความปรารถนาแบบนั้นเข้าครอบงำจิตใจเขาเมื่อวินาทีไหน
“นี่... คุณ...”
เสียงของเธอทุ้มต่ำ หนักแน่นและเย็นชาอย่างยิ่ง
“ดูพอหรือยังยะ พ่อไก่อ่อนสอนขัน”
เธอกระตุกเท้าออกจากมือเขา ลงยืนแบบที่ตัวเอียงไปข้างๆ
“กลับบ้านไปหาดูดนมแม่ไป๊ ฉันจะได้ไปตามทางของฉันซะที”
อนลลุกขึ้นยืนเช่นกัน เห็นว่า ดวงตาของหญิงสาวตรงหน้าเปลี่ยนจากสีเขียวเข้มจัด เป็นเกือบดำสนิท
เธอคงทำเป็นโกรธอีกแล้วสิ มันก็แค่เป็นเรื่องตลก พอๆ กับตอนที่เธอทำท่าหัวฟัดหัวเหวี่ยง โวยวายว่าเขากำลังจะลวนลาม
ไม่มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนจะแต่งตัวแบบนี้ ถ้าไม่ต้องการจะยั่วยวนผู้ชายทุกคน ที่เหลือบตามาเห็น
“อย่าเข้าใจอะไรผิดนะครับ”
อนลเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“คิดว่าผมอยากจะรั้งคุณไว้หรือยังไง ผมไม่อยากให้คุณเสียเวลา กับการงานนอกสถานที่ของคุณหรอกนะ ก็คุณมีนัดกับ...เอ้อ... ทนายของคุณใช่ไหมล่ะ คุณบอกแบบนั้นใช่ไหม”
ฤดีหน้าชาวูบ รีบกระชับเสื้อตัวนอก ห่อหุ้มร่างกายของตนให้มิดชิดที่สุด
“ไปตายซะเถอะ!”
(มีต่อ)