มรดก(ร้าย)รัก
บทที่ 3
ตามปกติแล้วอนลชอบวันจันทร์ มันมักเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์การทำงาน ที่เขาเติมพลังมาแล้วอย่างเต็มที่
ทว่าวันจันทร์วันนี้ กำลังจะกลับกลายเป็นความหายนะ
ทำไมน่ะหรือ?
ชายหนุ่มให้คำตอบตัวเอง ขณะจ้องหน้าที่สะท้อนเงา อยู่ในกระจกห้องน้ำ ระหว่างการโกนหนวด
เขาจะต้องไปทำตามที่รับปากกับน้องๆ ไปพบกับเด็กคนนั้น ที่ตนไม่ได้ต้องการจะมีภาระผูกพันเช่นนี้เลยสักนิด
แต่ ไม่ว่าเขาจะชอบมันหรือไม่ ก็ต้องไปอยู่ดี
หลังจากให้กำลังใจตัวเอง ว่ามันคงแค่เป็นเรื่องง่ายๆ แค่การดูแลค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม แต่ตอนนี้มันกลับคล้ายกลายเป็นหายนะที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ที่จริงอนลถนัดเรื่องกฎหมายพาณิชย์มากกว่า พอมาตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายผู้พิทักษ์และกฎหมายมรดก ก็ต้องตกใจ ถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่ จ่ายเงินให้จนอายุครบแล้วจบกัน
กฎหมายสั่งให้อนลต้องทำมากกว่านั้น เขาต้องให้การสั่งสอนแนะนำ หรือแม้แต่ชี้แนะแนวทางการดำรงชีวิตด้วย
ริมฝีปากของอนล เม้มแน่นขณะล้างใบมีดโกน สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเด็ก ก็พอๆ กับความสามารถในการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นละ
และ... ยิ่งเกี่ยวกับเด็กที่ชื่อ ฤดี วงศาสราญ อนลยิ่งไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ตกลงได้ว่า ตนจะต้องจัดการเรื่องนี้ เขารีบโทรศัพท์หาทนายความของนายสฤษดิ์ วงศาสราญ ทันที แต่นายวิโรจน์ อะไรนั่นบินไปต่างประเทศ
และมันราวกับเป็นความลับสุดยอด เพราะเลขาหัวดื้อของทนายคนนั้น บอกว่าอนลไม่มีทางจะติดต่อกับเขาได้ จนกว่าจะถึงเวลาทำงานในวันจันทร์... วันนี้
ซึ่งตำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และทำให้เขายิ่งเดือด เมื่อแม่เลขาคนเดิมยืนกรานว่า ไม่สามารถจะจัดการหาแฟ้มข้อมูลของครอบครัววงศาสราญให้เขาได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายของหล่อน
อนลพ่นสเปรย์ระงับกลิ่นกาย ตามด้วยน้ำหอมสำหรับหนุ่มรสนิยมดี ก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำ ในหัวยังไม่วายครุ่นคิด
เด็กคนนั้น...
ยังอยู่ในบ้านของลุงกับพี่เลี้ยงสักคน หรือถูกส่งไปโรงเรียนประจำก็ไม่รู้ แต่คงไม่ถึงกับส่งไปอยู่สถานสงเคราะห์หรอกน่า
แล้วจะเป็นเด็กแก่แดดจอมเฮี้ยว หรือเป็นสุภาพสตรีน้อยๆ น่ารัก ก็ไม่รู้
หรือยังคงเจ็บปวดกับการสูญเสียลุงของเธออยู่หรือเปล่านะ
รวมทั้ง เธอจะเคยรู้มาก่อนไหมล่ะ ว่าจะมีผู้ปกครองคนใหม่
อนลขบกรามพลางคลายปมผ้าเช็ดตัวบนสะโพก โยนมันไปข้างๆ อย่างไม่ค่อยใส่ใจ
ลองคิดไปอีกทาง...
เด็กนั่น ควรได้รู้ว่าตอนนี้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปแล้ว ถ้ายอมรับไม่ได้ ก็เป็นตัวเธอเองนั่นละที่จะต้องลำบาก ไม่ใช่เขา
ทว่า... ตอนแปดโมงครึ่ง ซึ่งนัดกับคนขับรถเป็นมั่นเหมาะว่า จะต้องออกเดินทางไปถึงฝั่งธนบุรี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนขับรถเพิ่งโทร. มาบอกว่า ยางรถของเขาแบนแต๋
“ไม่มีปัญหา”
อนลบอกหลังจากปรับอารมณ์ฉุนเฉียวให้เย็นลง
“เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปก็ได้”
แต่แล้ว ฝนก็เริ่มตกหนัก การหารถแท็กซี่ในชั่วโมงเร่งด่วนของวันจันทร์ ที่ฝนกระหน่ำเช่นนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย ผ่านไปสิบนาที อนลจึงยอมแพ้ ออกวิ่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด
ผู้คนแน่นขนัด เขาสาวเท้าไปตามชานชาลายาวเหยียด ด้วยที่อารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อรถไฟกรีดเสียงเข้ามาถึงสถานีในที่สุด ฝูงชนเบียดเสียดยัดเยียดเพื่อจะได้เข้าไปอัดกันอยู่ข้างใน อนลขบกราม ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่ต้องพยายามระงับความรู้สึดเดือดปุดๆ ขณะแทรกตัวเข้าไปบ้าง
ตอนที่เขาอยู่บนถนนเพชรเกษมนั้น อารมณ์ที่คุกรุ่นเต็มที่ ก็รอเพียงอะไรอีกนิดหนึ่ง ที่จะสะกิดให้มันระเบิดออกมา
การได้รู้ว่า ยังต้องเดินฝ่าสายฝนไปอีกอย่างน้อยสองป้ายรถเมล์ โดยไม่มีร่ม นั่นไงล่ะ ที่ทำให้หมดความอดทนในที่สุด
“บัดซบ!”
เขาคำรามใส่ลมฟ้าอากาศ ถอดสูทตัวนอกออก คลุมศีรษะ แล้วเริ่มเร่งฝีเท้าฝ่าสายฝน
ฤดีกำลังเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไปให้ถึงอาคารที่ตั้งสำนักงานวิโรจน์ทนายความ มันเป็นการเดินทางที่ลำบากลำบน เมื่อส้นสูงเล็กๆ ของรองเท้าบู๊ต คอยแต่จะลื่นไถลไปบนบาทวิถีที่เจิ่งนอง
เธอถอนหายใจ บอกตัวเองว่าจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้แน่ๆ ถ้าได้สวมเสื้อผ้าที่เป็นของเธอเองในการนัดหมายครั้งนี้
แต่เวลานัดคือเก้าโมงเช้า จากนั้นเธอจะต้องกลับไปที่ซอยนานา เพื่อเริ่มงานตอนสิบเอ็ดโมง ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า นอกจากการสวมชุดทำงานงี่เง่านี่ ไว้ใต้เสื้อคลุมเพื่อกันฝน
เพราะข้อความจากทนายของลุงเธอ ที่มาถึงทางจดหมายลงทะเบียน เมื่อวันเสาร์นั่นแท้ๆ เชียว
เรียน นางสาวฤดี วงศาสราญ
กรุณามาพบที่สำนักงานในเช้าวันจันทร์เวลา ๙.๐๐ น.
เกี่ยวกับความประสงค์ในพินัยกรรมนายสฤษดิ์ วงศาสราญ ลุงผู้ล่วงลับไปแล้วของคุณด้วย
จดหมายลงชื่อโดย
นายวิโรจน์ ห่วงทรัพย์ น.บ.,ก.ย.
ฤดีขมวดคิ้ว อะไรคือความประสงค์ในพินัยกรรม มันไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ ลุงเคยยื่นคำขาดไว้อย่างชัดเจน ตอนที่เธอขนของออกมาจากบ้านเขา
‘แกจะไม่ได้อะไรจากฉันเลย แม้สักแดงเดียว!’
ชายชราที่หวงสมบัติกระทั่งไม่ยอมแต่งงานกับใครๆ ตะโกนไล่หลัง เสียงดังฟังชัด จนฤดีจำพูดนั้นได้ขึ้นใจ
‘ฉันจะตัดแกออกจากกองมรดก สมบัติสักเท่าขี้เล็บก็จะไม่ให้’
‘หนูก็ไม่เคยอยากได้อะไรของลุงเหมือนกัน’
เธอหันกลับไปตอบโต้ รู้ดีอยู่แล้วว่า ไม่มีอะไรเลย ที่เขาอยากจะให้เธอแน่ๆ
ดังนั้น...
อะไรล่ะที่อีตาทนายความวิโรจน์ ผู้ทรงเกียรตินั่นกำลังจะบอก...
มีข้อกฎหมายหยุมหยิม หรือเรื่องไร้สาระ อะไรที่ทำให้เขาต้องแจ้งแก่เธอว่า
...นายสฤษดิ์ วงศาสราญ ระบุว่า จะไม่มอบทรัพย์สินใดๆ ให้นางสาวฤดี วงศาสราญ...
ก็ดี...
เมื่อวานซืน ฤดีคิดเช่นนั้น ขณะโทร. ไปยังสำนักงานวิโรจน์ทนายความ ถ้ารายละเอียดมีแค่นั้น การคุยกันทางโทรศัพท์ก็น่าจะพอ
แต่เสียงจากเครื่องรับอัตโนมัติ บอกว่าสำนักงานปิดทำการในวันเสาร์และอาทิตย์ จะเปิดอีกทีก็เช้าวันจันทร์ตอนเก้าโมง
ฤดีทำหน้าเบื่อโลก คงต้องคอยจนถึงตอนนั้น ถึงจะโทร.ได้...
แล้วก็คงมีอะไรสักอย่างมาดลใจ อาจเป็นทิฐิความดื้อรั้น หรือไม่ก็เป็นการไม่ยอมถูกใครข่มหรือเอาเปรียบได้ง่ายๆ บางทีเธอควรต้องเห็นเอกสารพินัยกรรม ที่มีข้อความปฏิเสธตนจากกองมรดกจริงๆ มากกว่าจะฟังแค่คำพูดทางโทรศัพท์ของทนายความชรา ที่ก็มีท่าทางไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด
นั่นละ ทำให้ฤดีตัดสินใจมาตามนัด
เธอเคยพบทนายวิโรจน์ครั้งหนึ่งตอนลุงสฤษดิ์ มาปรึกษาเขาเรื่องจะย้ายเธอจากโรงเรียนไปกลับแห่งหนึ่งไปยังโรงเรียนประจำอีกแห่งหนึ่ง จากที่อยู่ใกล้ๆ เป็นที่ที่ไกลออกไป ไกลจนจนผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องพยายามไปรับในวันสุดสัปดาห์
ครั้งนั้น ชายชราทั้งคู่ แสดงอาการไม่พอใจในตัวเธออย่างชัดเจน
มันคงสนุกพิลึกที่จะได้ส่งยิ้มหวานให้ แล้วบอกให้ตาทนายความนั่นไปตายที่ไหนก็ได้ หลังจากที่เขาอ่านพินัยกรรมเสร็จแล้ว
ยิ่งคิดถึงมัน เธอก็ยิ่งตั้งตารอให้ถึงเวลานัดหมายโดยเร็ว และมั่นใจว่า เขาจะไม่มีวันได้เห็นน้ำตาของเธอ
ทว่า... มันไม่ง่ายเลยสักนิด กับการเดินทางข้ามฝั่งกรุงเทพมาถึงที่นี่
ฤดีอารมณ์เสีย ขณะพยายามเดินมาที่ถนนเพชรเกษมซอยเจ็ด นึกโกรธตัวเอง ที่ทุกอย่างผิดพลาดไปหมดนับแต่นาทีแรกที่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้
เธอนอนเพลิน จนไม่ได้ยินเสียงครั้งแรกของนาฬิกาปลุก แล้วคุณโฉม เจ้าแมวสีด่างก็ดันไปติดแหง็ก อยู่หลังตู้เย็น
ตอนที่รีบจ้ำออกมาจากที่พักนั้น ฤดีก็จวนเจียนจะสายแล้ว
รถประจำทางสายแปด วิ่งออกจากป้ายตอนที่ไปถึงพอดี และไม่ว่าจะตะโกนหรือกระโดดตามแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้มันชะลอลงหรือถอยกลับมารับเธอได้
เพื่อความรวดเร็ว ฤดีจึงต้องใช้ทางเรือ ตั้งใจมาต่อรถอีกทอดที่ถนนราชดำเนินกลาง แต่แล้วก็คำนวณผิดพลาดอีกจนได้
ตอนนี้เธอกำลังฝ่าสายฝน ผ่านสามซอยสุดท้าย นึกประหลาดใจว่า อะไรมาดลจิตดลใจให้เธอ คิดว่า การเผชิญหน้ากับทนายวิโรจน์ แบบตัวต่อตัวเป็นความคิดดีเลิศประเสริฐศรี
หญิงสาวกระชับเสื้อกันฝนกับตัว เพราะลมโหมกระหน่ำ พัดพาเม็ดฝนสาดซัดรุนแรงขึ้น ผมของเธอคงยุ่งเหยิงกระเจิงกระจายไปหมดแล้ว ตอนไปถึงสำนักงานทนายความนั่น
รวมทั้ง เจ้าเสื้อคลุมตัวนี้ ก็แทบไม่สามารถป้องกันฝนอะไรได้เลย
ฤดีไม่อยากคิดเลยว่า ความเปียกชื้นที่เล็ดลอดผ่านเข้าไปนั้น ทำให้เสื้อยืดที่รัดติ้วอยู่แล้วนั้น จะอยู่ในสภาพเช่นไร
เธอต้องถอนใจขณะที่ก้าวลงจากขอบบาทวิถี เพื่อข้ามไปสู่อีกซอย ถึงตรงนี้ก็ยิ่งโมโหตัวเอง ถ้าโทร.มาตั้งแต่แรก ก็คงจะจบเรื่องไปนานแล้ว ไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้
แผนเดิมที่จะโทร.หานายวิโรจน์ เมื่อตอนเก้าโมงตรง พูดกับเขาด้วยสำเนียงผู้ดีสุดๆ ตามแบบที่ใช้ในโรงเรียนประจำ เธอไม่สนอยู่แล้วนี่ว่า เขาจะบอกอะไร
ฤดีจะพูดง่ายๆ ว่า อยากบอกอะไรก็ทางโทรศัพท์นั่นแหละ หรือไม่...
“ระวัง!”
(มีต่อ)
มรดก(ร้าย)รัก บทที่ 3
ขอบคุณกำลังใจจาก คุณป้าทุยบ้านทุ่ง และคุณPuPaKae ครับ
ตามปกติแล้วอนลชอบวันจันทร์ มันมักเป็นวันเริ่มต้นสัปดาห์การทำงาน ที่เขาเติมพลังมาแล้วอย่างเต็มที่
ทว่าวันจันทร์วันนี้ กำลังจะกลับกลายเป็นความหายนะ
ทำไมน่ะหรือ?
ชายหนุ่มให้คำตอบตัวเอง ขณะจ้องหน้าที่สะท้อนเงา อยู่ในกระจกห้องน้ำ ระหว่างการโกนหนวด
เขาจะต้องไปทำตามที่รับปากกับน้องๆ ไปพบกับเด็กคนนั้น ที่ตนไม่ได้ต้องการจะมีภาระผูกพันเช่นนี้เลยสักนิด
แต่ ไม่ว่าเขาจะชอบมันหรือไม่ ก็ต้องไปอยู่ดี
หลังจากให้กำลังใจตัวเอง ว่ามันคงแค่เป็นเรื่องง่ายๆ แค่การดูแลค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม แต่ตอนนี้มันกลับคล้ายกลายเป็นหายนะที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
ที่จริงอนลถนัดเรื่องกฎหมายพาณิชย์มากกว่า พอมาตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายผู้พิทักษ์และกฎหมายมรดก ก็ต้องตกใจ ถึงรายละเอียดปลีกย่อยอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่ จ่ายเงินให้จนอายุครบแล้วจบกัน
กฎหมายสั่งให้อนลต้องทำมากกว่านั้น เขาต้องให้การสั่งสอนแนะนำ หรือแม้แต่ชี้แนะแนวทางการดำรงชีวิตด้วย
ริมฝีปากของอนล เม้มแน่นขณะล้างใบมีดโกน สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับเด็ก ก็พอๆ กับความสามารถในการงมเข็มในมหาสมุทรนั่นละ
และ... ยิ่งเกี่ยวกับเด็กที่ชื่อ ฤดี วงศาสราญ อนลยิ่งไม่รู้อะไรเลยด้วยซ้ำ
ตั้งแต่ตกลงได้ว่า ตนจะต้องจัดการเรื่องนี้ เขารีบโทรศัพท์หาทนายความของนายสฤษดิ์ วงศาสราญ ทันที แต่นายวิโรจน์ อะไรนั่นบินไปต่างประเทศ
และมันราวกับเป็นความลับสุดยอด เพราะเลขาหัวดื้อของทนายคนนั้น บอกว่าอนลไม่มีทางจะติดต่อกับเขาได้ จนกว่าจะถึงเวลาทำงานในวันจันทร์... วันนี้
ซึ่งตำตอบนั้นไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และทำให้เขายิ่งเดือด เมื่อแม่เลขาคนเดิมยืนกรานว่า ไม่สามารถจะจัดการหาแฟ้มข้อมูลของครอบครัววงศาสราญให้เขาได้ ตราบใดที่ยังไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้านายของหล่อน
อนลพ่นสเปรย์ระงับกลิ่นกาย ตามด้วยน้ำหอมสำหรับหนุ่มรสนิยมดี ก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำ ในหัวยังไม่วายครุ่นคิด
เด็กคนนั้น...
ยังอยู่ในบ้านของลุงกับพี่เลี้ยงสักคน หรือถูกส่งไปโรงเรียนประจำก็ไม่รู้ แต่คงไม่ถึงกับส่งไปอยู่สถานสงเคราะห์หรอกน่า
แล้วจะเป็นเด็กแก่แดดจอมเฮี้ยว หรือเป็นสุภาพสตรีน้อยๆ น่ารัก ก็ไม่รู้
หรือยังคงเจ็บปวดกับการสูญเสียลุงของเธออยู่หรือเปล่านะ
รวมทั้ง เธอจะเคยรู้มาก่อนไหมล่ะ ว่าจะมีผู้ปกครองคนใหม่
อนลขบกรามพลางคลายปมผ้าเช็ดตัวบนสะโพก โยนมันไปข้างๆ อย่างไม่ค่อยใส่ใจ
ลองคิดไปอีกทาง...
เด็กนั่น ควรได้รู้ว่าตอนนี้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปแล้ว ถ้ายอมรับไม่ได้ ก็เป็นตัวเธอเองนั่นละที่จะต้องลำบาก ไม่ใช่เขา
ทว่า... ตอนแปดโมงครึ่ง ซึ่งนัดกับคนขับรถเป็นมั่นเหมาะว่า จะต้องออกเดินทางไปถึงฝั่งธนบุรี เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น คนขับรถเพิ่งโทร. มาบอกว่า ยางรถของเขาแบนแต๋
“ไม่มีปัญหา”
อนลบอกหลังจากปรับอารมณ์ฉุนเฉียวให้เย็นลง
“เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่ไปก็ได้”
แต่แล้ว ฝนก็เริ่มตกหนัก การหารถแท็กซี่ในชั่วโมงเร่งด่วนของวันจันทร์ ที่ฝนกระหน่ำเช่นนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลย ผ่านไปสิบนาที อนลจึงยอมแพ้ ออกวิ่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ใกล้ที่สุด
ผู้คนแน่นขนัด เขาสาวเท้าไปตามชานชาลายาวเหยียด ด้วยที่อารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อรถไฟกรีดเสียงเข้ามาถึงสถานีในที่สุด ฝูงชนเบียดเสียดยัดเยียดเพื่อจะได้เข้าไปอัดกันอยู่ข้างใน อนลขบกราม ไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ที่ต้องพยายามระงับความรู้สึดเดือดปุดๆ ขณะแทรกตัวเข้าไปบ้าง
ตอนที่เขาอยู่บนถนนเพชรเกษมนั้น อารมณ์ที่คุกรุ่นเต็มที่ ก็รอเพียงอะไรอีกนิดหนึ่ง ที่จะสะกิดให้มันระเบิดออกมา
การได้รู้ว่า ยังต้องเดินฝ่าสายฝนไปอีกอย่างน้อยสองป้ายรถเมล์ โดยไม่มีร่ม นั่นไงล่ะ ที่ทำให้หมดความอดทนในที่สุด
“บัดซบ!”
เขาคำรามใส่ลมฟ้าอากาศ ถอดสูทตัวนอกออก คลุมศีรษะ แล้วเริ่มเร่งฝีเท้าฝ่าสายฝน
ฤดีกำลังเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อไปให้ถึงอาคารที่ตั้งสำนักงานวิโรจน์ทนายความ มันเป็นการเดินทางที่ลำบากลำบน เมื่อส้นสูงเล็กๆ ของรองเท้าบู๊ต คอยแต่จะลื่นไถลไปบนบาทวิถีที่เจิ่งนอง
เธอถอนหายใจ บอกตัวเองว่าจะรู้สึกดีขึ้นกว่านี้แน่ๆ ถ้าได้สวมเสื้อผ้าที่เป็นของเธอเองในการนัดหมายครั้งนี้
แต่เวลานัดคือเก้าโมงเช้า จากนั้นเธอจะต้องกลับไปที่ซอยนานา เพื่อเริ่มงานตอนสิบเอ็ดโมง ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า นอกจากการสวมชุดทำงานงี่เง่านี่ ไว้ใต้เสื้อคลุมเพื่อกันฝน
เพราะข้อความจากทนายของลุงเธอ ที่มาถึงทางจดหมายลงทะเบียน เมื่อวันเสาร์นั่นแท้ๆ เชียว
เรียน นางสาวฤดี วงศาสราญ
กรุณามาพบที่สำนักงานในเช้าวันจันทร์เวลา ๙.๐๐ น.
เกี่ยวกับความประสงค์ในพินัยกรรมนายสฤษดิ์ วงศาสราญ ลุงผู้ล่วงลับไปแล้วของคุณด้วย
จดหมายลงชื่อโดย
นายวิโรจน์ ห่วงทรัพย์ น.บ.,ก.ย.
ฤดีขมวดคิ้ว อะไรคือความประสงค์ในพินัยกรรม มันไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอ ลุงเคยยื่นคำขาดไว้อย่างชัดเจน ตอนที่เธอขนของออกมาจากบ้านเขา
‘แกจะไม่ได้อะไรจากฉันเลย แม้สักแดงเดียว!’
ชายชราที่หวงสมบัติกระทั่งไม่ยอมแต่งงานกับใครๆ ตะโกนไล่หลัง เสียงดังฟังชัด จนฤดีจำพูดนั้นได้ขึ้นใจ
‘ฉันจะตัดแกออกจากกองมรดก สมบัติสักเท่าขี้เล็บก็จะไม่ให้’
‘หนูก็ไม่เคยอยากได้อะไรของลุงเหมือนกัน’
เธอหันกลับไปตอบโต้ รู้ดีอยู่แล้วว่า ไม่มีอะไรเลย ที่เขาอยากจะให้เธอแน่ๆ
ดังนั้น...
อะไรล่ะที่อีตาทนายความวิโรจน์ ผู้ทรงเกียรตินั่นกำลังจะบอก...
มีข้อกฎหมายหยุมหยิม หรือเรื่องไร้สาระ อะไรที่ทำให้เขาต้องแจ้งแก่เธอว่า
...นายสฤษดิ์ วงศาสราญ ระบุว่า จะไม่มอบทรัพย์สินใดๆ ให้นางสาวฤดี วงศาสราญ...
ก็ดี...
เมื่อวานซืน ฤดีคิดเช่นนั้น ขณะโทร. ไปยังสำนักงานวิโรจน์ทนายความ ถ้ารายละเอียดมีแค่นั้น การคุยกันทางโทรศัพท์ก็น่าจะพอ
แต่เสียงจากเครื่องรับอัตโนมัติ บอกว่าสำนักงานปิดทำการในวันเสาร์และอาทิตย์ จะเปิดอีกทีก็เช้าวันจันทร์ตอนเก้าโมง
ฤดีทำหน้าเบื่อโลก คงต้องคอยจนถึงตอนนั้น ถึงจะโทร.ได้...
แล้วก็คงมีอะไรสักอย่างมาดลใจ อาจเป็นทิฐิความดื้อรั้น หรือไม่ก็เป็นการไม่ยอมถูกใครข่มหรือเอาเปรียบได้ง่ายๆ บางทีเธอควรต้องเห็นเอกสารพินัยกรรม ที่มีข้อความปฏิเสธตนจากกองมรดกจริงๆ มากกว่าจะฟังแค่คำพูดทางโทรศัพท์ของทนายความชรา ที่ก็มีท่าทางไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิด
นั่นละ ทำให้ฤดีตัดสินใจมาตามนัด
เธอเคยพบทนายวิโรจน์ครั้งหนึ่งตอนลุงสฤษดิ์ มาปรึกษาเขาเรื่องจะย้ายเธอจากโรงเรียนไปกลับแห่งหนึ่งไปยังโรงเรียนประจำอีกแห่งหนึ่ง จากที่อยู่ใกล้ๆ เป็นที่ที่ไกลออกไป ไกลจนจนผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องพยายามไปรับในวันสุดสัปดาห์
ครั้งนั้น ชายชราทั้งคู่ แสดงอาการไม่พอใจในตัวเธออย่างชัดเจน
มันคงสนุกพิลึกที่จะได้ส่งยิ้มหวานให้ แล้วบอกให้ตาทนายความนั่นไปตายที่ไหนก็ได้ หลังจากที่เขาอ่านพินัยกรรมเสร็จแล้ว
ยิ่งคิดถึงมัน เธอก็ยิ่งตั้งตารอให้ถึงเวลานัดหมายโดยเร็ว และมั่นใจว่า เขาจะไม่มีวันได้เห็นน้ำตาของเธอ
ทว่า... มันไม่ง่ายเลยสักนิด กับการเดินทางข้ามฝั่งกรุงเทพมาถึงที่นี่
ฤดีอารมณ์เสีย ขณะพยายามเดินมาที่ถนนเพชรเกษมซอยเจ็ด นึกโกรธตัวเอง ที่ทุกอย่างผิดพลาดไปหมดนับแต่นาทีแรกที่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้
เธอนอนเพลิน จนไม่ได้ยินเสียงครั้งแรกของนาฬิกาปลุก แล้วคุณโฉม เจ้าแมวสีด่างก็ดันไปติดแหง็ก อยู่หลังตู้เย็น
ตอนที่รีบจ้ำออกมาจากที่พักนั้น ฤดีก็จวนเจียนจะสายแล้ว
รถประจำทางสายแปด วิ่งออกจากป้ายตอนที่ไปถึงพอดี และไม่ว่าจะตะโกนหรือกระโดดตามแค่ไหน ก็ไม่อาจทำให้มันชะลอลงหรือถอยกลับมารับเธอได้
เพื่อความรวดเร็ว ฤดีจึงต้องใช้ทางเรือ ตั้งใจมาต่อรถอีกทอดที่ถนนราชดำเนินกลาง แต่แล้วก็คำนวณผิดพลาดอีกจนได้
ตอนนี้เธอกำลังฝ่าสายฝน ผ่านสามซอยสุดท้าย นึกประหลาดใจว่า อะไรมาดลจิตดลใจให้เธอ คิดว่า การเผชิญหน้ากับทนายวิโรจน์ แบบตัวต่อตัวเป็นความคิดดีเลิศประเสริฐศรี
หญิงสาวกระชับเสื้อกันฝนกับตัว เพราะลมโหมกระหน่ำ พัดพาเม็ดฝนสาดซัดรุนแรงขึ้น ผมของเธอคงยุ่งเหยิงกระเจิงกระจายไปหมดแล้ว ตอนไปถึงสำนักงานทนายความนั่น
รวมทั้ง เจ้าเสื้อคลุมตัวนี้ ก็แทบไม่สามารถป้องกันฝนอะไรได้เลย
ฤดีไม่อยากคิดเลยว่า ความเปียกชื้นที่เล็ดลอดผ่านเข้าไปนั้น ทำให้เสื้อยืดที่รัดติ้วอยู่แล้วนั้น จะอยู่ในสภาพเช่นไร
เธอต้องถอนใจขณะที่ก้าวลงจากขอบบาทวิถี เพื่อข้ามไปสู่อีกซอย ถึงตรงนี้ก็ยิ่งโมโหตัวเอง ถ้าโทร.มาตั้งแต่แรก ก็คงจะจบเรื่องไปนานแล้ว ไม่ต้องลำบากลำบนขนาดนี้
แผนเดิมที่จะโทร.หานายวิโรจน์ เมื่อตอนเก้าโมงตรง พูดกับเขาด้วยสำเนียงผู้ดีสุดๆ ตามแบบที่ใช้ในโรงเรียนประจำ เธอไม่สนอยู่แล้วนี่ว่า เขาจะบอกอะไร
ฤดีจะพูดง่ายๆ ว่า อยากบอกอะไรก็ทางโทรศัพท์นั่นแหละ หรือไม่...
“ระวัง!”
(มีต่อ)