มรดก(ร้าย)รัก บทที่ 2

กระทู้สนทนา
บทนำ  http://pantip.com/topic/32438161
บทที่ 1 http://pantip.com/topic/32465564


ขอบคุณกำลังใจจาก ป้าทุยบ้านทุ่ง ครับ



บทที่ 2



    สองชั่วโมงต่อมา อนลกลับมาพร้อมอารมณ์หงุดหงิดเต็มที่ สาวเท้าไปยังห้องอาหาร ซึ่งทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นั่นตามที่คาดไว้

    อนิลกับอรรณพหยอกล้อกัน อย่างไม่สนใจกับอะไรในโลกทั้งสิ้น โดยมีเมทินียืนดูด้วยรอยยิ้มชื่นสุข

    เวรกรรมอะไรวะเนี่ย!

อนลคิดอย่างพาลๆ ไม่อยากเลยที่จะต้องเป็นคนบอกเรื่องพวกนี้

    “ไอ้พวกไม่รู้จักโต!”

เขาโวยใส่น้องๆ

“ไม่คิดจะรู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยหรือไง พวกนายน่ะ ตอนนี้มีอะไรต้องรับผิดชอบบ้าง รู้ตัวกันไหม”

    อนิลกับอรรณพหันขวับ สีหน้าประหลาดใจเต็มที่ เพราะพี่ชายไม่ได้มีอารมณ์เช่นนี้ให้เห็นบ่อยๆ

    “พี่นล”

เมทินีเอ่ยขึ้น

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ”

    คนถูกถามโยนซองเอกสารสีน้ำตาลลงบนโต๊ะ แล้วเดินไปรินกาแฟให้ตัวเอง

    “พี่... พี่ก็... โอเค...”

เขาบอกเรียบๆ แต่สีหน้าที่มองมา เห็นชัดว่าไม่มีใครเชื่อแน่ๆ

    “ถ้าพี่โอเค... ก็แสดงว่าตาลุงผู้ช่วยคุณพ่อไม่โอเค งั้นเหรอครับ”

อนิลถามขึ้นในอึดใจใหญ่ๆ ต่อมา

“ตกลงว่า ลุงพรมเค้าเรียกไปคุยเรื่องอะไร”

    คำถามนี้ ทำให้อนลเคร่งเครียดขึ้นอีก

    “ก็เรื่องยุ่งยากน่ะซี”

    เสียงของพี่ชายคนโตยิ่งห้วนลง เมื่อพูดต่อไป

    “ถ้าใครสักคนอยากคุยกับเราตอนนี้ มันก็เป็นเรื่องของปัญหาทั้งแหละน่ะ”

    อรรณพขมวดคิ้ว

    “พี่นลพูดมาเลยดีกว่า ตกลงมันคือปัญหาแบบไหน”

    อนลหยิบแฟ้มขึ้นมา ไม่มีประโยชน์ที่จะโอ้เอ้โยกโย้อีกต่อไป เรื่องพวกนี้ต้องรีบจัดการโดยด่วน

    “พวกนายดูเอาเองก็แล้วกัน”

    คนพูดดึงเอกสารออกจากซอง ยื่นปึกหนึ่งให้กับอรรณพ อีกปึกให้กับอนิล

เมทินีมองตาม เมื่อไม่ได้อะไรกับเขาบ้าง ก็ยกคิ้วเป็นเชิงตั้งคำถาม แต่พออนลยิ้มให้ เธอก็ค่อยถอยไปยืนฟังเงียบๆ

    ทั้งพี่ชายคนกลางและคนเล็ก อ่านเอกสารด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ น้องสาวคนเล็กรออยู่เป็นครู่ จนขี้เกียจจะรอ เปลี่ยนเป็นหันไปชมทิวทัศน์ด้านนอกแทน

    ในที่สุด อนิลก็เป็นคนแรกที่ออกอาการ

    “ดูตามรายงานนี่แล้ว”

    น้องชายคนเล็กเอ่ยขึ้นพลางมองพี่ชาย

    “บริษัทสำรวจทรัพยากรธรณี ที่แอลทีพี เป็นเจ้าของ ที่ชื่อว่า ทรัพย์ในดิน อะไรเนี่ย มันกำลังจะเจ๊งไม่เป็นท่า”

    “บริษัทสำรวจที่ไหนกันล่ะ”

    อรรณพเอ่ยขึ้นบ้าง ด้วยสีหน้างงๆ

    “ที่อ่านอยู่นี่ อีกบริษัทหนึ่งที่ แอลทีพีกรุ๊ปเป็นเจ้าของ แต่มันเป็นบริษัทชื่อ ฟิลม์สวย รับสร้างหนังสร้างสารคดี บลา บลา บลา... แต่มันก็กำลังจะเจ๊งไม่เป็นท่าเหมือนกัน”

    “ใช่ทั้งสองคนนั่นแหละ...”

    พี่ชายคนโตต้องสรุป

“...แอลทีพี หรือพูดให้ชัดๆ ก็คือ พ่อพวกนาย ซื้อสองบริษัทนี้เพื่อช่วยให้มันดำเนินต่อไปได้ แต่ดูเหมือนว่า มันไม่เคยมีอะไรดีขึ้น ยิ่งมาอยู่ในมือของพวกเรา มันอาจแย่ลงด้วยซ้ำ

    อนิลถึงกับโยนเอกสารในมือกลับลงบนโต๊ะ

    “พวกเรา พี่นลหมายถึงพวกเราๆ เนี่ยนะ เกี่ยวไรกับเราด้วยล่ะ”

    “หรือว่าลืมไปแล้ว...” อนลหันไปหาน้องชายคนเล็ก “...ก็ตั้งแต่เมื่อเย็นวานไงล่ะ เอลทีพีกรุ๊ปเป็นของพวกเรา ถึงจะรังเกียจขนาดไหน มันก็ยังคงเป็นของพวกเรา จนกว่าจะมีคนมาซื้อต่อ”

    เรื่องนี้ ทั้งอรรณพและอนิล ย่อมรู้ดี

    ถ้าบริษัทสำรวจน้ำมันทรัพย์ในดินหรือบริษัทฟิลม์สวยอะไรนั่นตกต่ำ การขายแอลทีพีจะเป็นไปได้อย่างยากเย็น สองบริษัทย่อยนั่นจะกลายเป็นจุดด่างดำขนาดใหญ่ในการแสดงบัญชีงบดุล ใหญ่ขนาดจะไม่มีใครกล้ามาเสี่ยงลงทุนอะไรด้วยอีกเลย

    อนลล้วงมือลงกระเป๋ากางเกงด้วยความเคยชิน เมื่อเจอเศษกระดาษชิ้นหนึ่ง ใบหน้าเขาก็ยิ่งเคร่งเครียดขึ้นอีก

    กระดาษนี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ปัญหาที่น่าขันเสียจนไม่อยากเอ่ยถึง

    เขาจะไม่พูดถึงมันในตอนนี้ ไม่พูดจนกว่าจะหาทางออกให้กับสองปัญหาใหญ่นั้นได้เสียก่อน

    “บอกลุงพรมเทพให้จัดการเอาเองสิ”

    อนิลบอกง่ายๆ

    “เขาขอลาออก หลังจากบอกเรื่องนี้กับพี่ บอกว่าแก่เกินกว่าจะต้องคอยยื่นหน้ารับลมมรสุมตะวันออกเฉียงใต้หรือวิกฤตการณ์อะไรๆ อีก โดย... ไม่มีพ่อของพวกเราคอยบัญชาการ...”

    อนลยิ้มฝืนๆ ก่อนจะพูดต่อไป

    “ดูเหมือนเราจะอ่านเขาผิดไป ตาแก่นั่นกำลังจะไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แถวเชียงคาน มีละอ่อนสาวๆ คอยนวดเฟ้นซ้ายขวา”

    “แล้วสงัดล่ะ เขาเป็นมือรองของอีตาลุงพรมเทพ เขาน่าจะจัดการ...”

    “คุณสงัดมีงานล้นมืออยู่แล้ว”

    “งั้นก็...”

    “พุทโธ่!... มันจะอะไรกันนักหนาคะ”

    เสียงโวยนี้ทำให้สามหนุ่มต้องหันไปทางน้องสาว เธอกำลังขึงตาใส่พี่ชายทุกคน แววตานั้นบ่งบอกชัดๆ ว่ากำลังรำคาญเต็มที่

    “เกิดอะไรกับพวกพี่คะเนี่ย โง่หรืออะไรกันแน่ เด็กสิบขวบยังคิดออกเลยนะคะ”

    เมทินีตวัดสายตาโกรธๆ ไปยังอรรณพ

    “พี่ณพ เชี่ยวชาญเรื่องการเงินไม่ใช่เรอะ ก็แน่นอนว่าต้องเป็นพี่ ที่ต้องไปกอบกู้สถานการณ์ของฟิล์มสวย พี่ต้องตัดสินใจว่า จะทำยังไงเพื่อช่วยบริษัทนั้นเอาไว้”

    “พี่เนี่ยนะ! อย่าเพ้อไปหน่อยเลยน่ะ มีคนคอยพี่อยู่ที่เชียงใหม่ พี่ยกเลิกไม่...”

    “ส่วนพี่นิล...”

    เมทินีหันไปแหวใส่พี่ชายคนเล็ก

    “พี่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวงการน้ำมัน แก๊ส ถ่านหิน หรืออะไรก็เถอะที่ต้องขุดขึ้นมาจากดิน แล้วตอนนี้บริษัทโลกสวยอะไรนั่นกำลังมีปัญหา”

    เธอยกมือขึ้นเท้าสะเอว

    “แล้วจะมีใครเหมาะสมเกินไปกว่าพี่นิลหรือไงคะ โลกมันจะแตกเลยไหม ถ้าจะให้พี่ไปช่วยดูสถานการณ์ที่นั่น”

    “เลิกคิดไปได้เลยนะเมนี่ จบจากท่านสุลต่าลที่บอร์เนียว พี่มีงานสำคัญที่ดูไบ พี่ไม่สามารถ...”

    “เมนี่พูดถูกที่สุด”

    อนลเอ่ยขัดขึ้นด้วยเสียงเข้มๆ

    “ต้องพวกนายเท่านั้น ถึงจะจัดการเรื่องพวกนี้ได้รวดเร็วกว่าทุกคน”

    อนิลกับอรรณพมองหน้ากัน จากนั้นก็เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่ง ก่อนที่น้องคนกลางจะยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้

    “สามวัน”

อรรณพบอกแบบไม่เต็มใจอย่างยิ่ง

“ไม่มีเกินกว่านั้นสักแม้วินาทีเดียว”

    อนิลพยักหน้า จำเป็นต้องเห็นด้วยกับทุกคน

    “ก็ได้ สามวัน และ... เดี๋ยวนะ”

    น้องชายคนเล็กหันไปหาพี่ชายคนโต

    “แล้วพี่นลล่ะ อย่าบอกนะว่า เป็นคนเดียวที่จะเดินลอยชายออกไปจากเรื่องยุ่งๆ พวกนี้”

    อนลกำกระดาษที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงแน่นยิ่งขึ้น...

อนิลต้องบินไปลำปางเพื่อจัดการกับเรื่องบริษัทสำรวจน้ำมัน

ส่วนอรรณพต้องไปลุยกับอีกบริษัทหนึ่ง ที่มีสภาพร่อแร่ไม่ต่างกัน

ทั้งคู่ดูจะมีเรื่องสำคัญต้องรับผิดชอบ

แล้วเขาล่ะ...

อนลต้องสูดหายใจลึกๆ ระบายลมหายใจยืดยาว ก่อนจะเอ่ยคำ

    “พี่ก็มีเรื่องยุ่งต้องจัดการเหมือนกัน เพื่อนเก่าแก่ของพ่อ มอบเด็กหญิงอายุสิบสองคนหนึ่งให้อยู่ในปกครอง...”

    “แล้วไงล่ะ”

    “แล้ว...”

    อนลต้องกัดฟันกรอด...

    “แล้ว... จนกว่าเธอจะอายุครบยี่สิบเอ็ด ดูเหมือนว่าพี่จะต้องดูแลเธอแทนพ่อไงล่ะ”

    คนพูดเห็นชัดเลยว่า มีรอยยิ้มปรากกฎขึ้นบนใบหน้าของน้องชายทั้งสองคน

แม้แต่น้องสาวคนเล็ก ที่พยายามรักษาสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะขำพรืดออกมา

    แล้วจะมีทางเลือกอะไรอื่นอีกล่ะ เขาเป็นทนายความ อาศัยและทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร เด็กก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน ไม่มีทางที่เขาจะบ่ายเบี่ยงได้เลย

เด็กนั่น...ย่อมต้องกลายเป็นภาระของเขาไปโดยปริยาย

    อีกสองหนุ่มมองหน้ากัน รอยยิ้มของทั้งคู่ขยายกว้างขึ้น

    อนลต้องถลึงตาเข้าใส่ โวยออกมาอย่างพาลๆ

    “พวกนายคิดว่ามันตลกนักหรือไง ฟังนะ เราแลกกันก็ได้ ให้พี่ไปจัดการเรื่องบริษัทสร้างหนังหรือบริษัทขุดหาน้ำมันนั่นก็ได้ แล้วพวกนายคนใดคนหนึ่งก็...”

    “ไม่!”

อรรณพปฏิเสธทันที

    “ไม่เอาละพี่นล อย่างนี้น่ะดีแล้ว ผมจะไปจัดการเรื่องบริษัทโปรดักชั่นนั่นเอง ส่วนนิลจะไปที่ลำปาง”

    พูดจบ อรรณพหัวเราะก๊ากออกมา อีกเป็นอึดใจกว่าจะพูดต่อไปได้

    “และผมพนันได้เลยว่า พี่นลจะเป็นพี่เลี้ยงเด็กที่สุดยอดในสากลโลก”

    อนิลก็กลั้นหัวเราะดังอึกอักอยู่ในคอ จนอนลต้องโวยใส่

    “นี่... มันไม่ตลกเลยนะเว้ย...”

    จบคำ สีหน้าเคร่งเครียดของพี่ใหญ่ก็เปลี่ยนไป พยายามกลั้นยิ้ม ก่อนจะต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน

    “นี่มันบ้าบออะไรกัน... พี่ไม่อยากเชื่อเลยว่า จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับพวกเราได้จริงๆ”

    สามหนุ่มหัวเราะแล้วกอดกันแน่น ตบหลังกันและกัน ก่อนจะประสานมือขวาเข้าด้วยกันเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเด็กชายตัวน้อย

    “แด่สามทหารเสือ”

    อนิลเอ่ยขึ้น

    “แด่สามทหารเสือ”

    อนลและอรรณพว่าตาม แล้วสามพี่น้องก็ยิ้มอย่างมีความสุขให้กันและกัน

    “และ ก็คงได้เวลาเริ่มงานกันได้แล้ว”

    อนิลถอยหลังไป อรรณพพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนที่สองหนุ่มจะรีบตามกันออกไปจากห้อง

พอพี่ชายคนโตขยับตาม ก็ถูกรั้งไว้

    “พี่นล”

    คนถูกเรียก ก้มลงมองน้องสาว พร้อมกับยิ้มให้

    “จ๊ะ เกือบลืมไปเลยว่า ยังมีสุดสวยยืนอยู่ตรงนี้อีกคน”

    เมทินีหัวเราะเบาๆ

    “ไม่จริงหรอกน่ะ ทั้งเรื่องสวย ทั้งเรื่องลืมน้องน่ะ”    

    “แล้วเมนี่มีอะไร”

    “เมแค่สงสัย”

    น้องสาวคนสุดท้องลังเล

    “อยากถามว่า พวกพี่รู้สึกยังไงกับบ้านหลังนี้ มันสำคัญกับพวกพี่บ้างไหม”

    ตอนแรก คำถามนั้นทำให้อนลงุนงง แต่แล้วก็เข้าใจ เมทินีกำลังกังวลว่า บรรดาพี่ชายของเธออาจรู้สึกว่าถูกโกง เพราะพ่อยกคฤหาสน์เลิศไตรภพพร้อมที่ดินกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ให้เธอคนเดียว

    อนลโอบแขนไปรอบไหล่ของน้องสาว

    “บ้านหลังนี้ สำคัญกับพี่เสมอแหละจ๊ะ” เขาเอ่ยขึ้นเบาๆ “ตราบเท่าที่ยังมีน้องอยู่ที่นี้”

    “เมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”

    น้ำเสียงของน้องสาวชักหมดความอดทน

    “ไม่ใช่ที่เกี่ยวกับเม แต่มันเกี่ยวกับพี่ๆ พี่นล พี่ณพ พี่นิล เมอยากรู้ว่าถ้าแคร์เรื่องบ้าน เรื่องที่ดิน...”

    “พี่แน่ใจว่าสองคนนั่น ก็รู้สึกเหมือนพี่นั่นแหละ”

    อนลบอกน้องสาวสุดที่รักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “บ้านหลังนี้ จะทำให้เมมีความสุข และความสุขของเม ก็คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับพวกพี่ๆ”

    เมทินีปล่อยแขนพี่ชาย

    “อะไรกันนักคะพี่นล”

เมทินีถามตวัดๆ แก้มเรื่อขึ้นเพราะความโมโห

    “บางทีพวกพี่ก็ทำให้เมนึกถึงพ่อ”

    อนลผงะ

    “ยังไง ทำไมล่ะ?”

    “ก็... หมายความว่า พวกพี่ไม่เคยยอมฟังคนอื่นน่ะสิ พวกพี่จะฟังแต่สิ่งที่อยากได้ยิน สิ่งที่ตัวเองคิดว่าควรจะได้ยิน สิ่งที่...”

    เมทินีกะพริบตาถี่ สูดหายใจลึก แล้วระบายออกมาช้าๆ ใจเย็นลงอีกมาก ตอนที่พูดต่อ

    “ขอโทษค่ะพี่นล เมคงเหนื่อยไปหน่อย มันเป็นเจ็ดแปดวันที่ยาวนานเหลือเกินค่ะ”

    น้องสาวพยายามยิ้มให้พี่ชาย แตะมือกับทรวงอกของพี่ชาย

    “เมเชื่อนะคะว่า พี่นลจะเป็นผู้ปกครองที่ดีสำหรับเด็กคนนั้น”

    อนลขมวดคิ้ว ไม่แน่ใจกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วของน้องสาว

    “แน่นอน พี่ต้องทำหน้าที่ของพี่”

    “แต่... ถ้าเธอต้องการเพื่อน...”

    คนฟังหัวเราะ

    “พี่ไม่คิดจะเป็นเพื่อนให้เด็กนั่นหรอกนะ คงแค่ดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย อย่างน้อยก็คอยดูว่าอนาคตของเธอเติบโตขึ้นไปได้อย่างมั่นคง ไม่ให้เสียชื่อว่าเราเป็นผู้ปกครอง... ก็แค่นั้นแหละ ความรับผิดชอบที่พี่จะทำได้”

    น้องสาวระบายลมหายใจยาว

    “เม... ก็คิดว่างั้น... มังคะ”

    เธอเขย่งขึ้นจุ๊บแก้มพี่ชายเบาๆ

    “เมขอโทษ ที่โวยวายเมื่อกี้ คงเหนื่อยเกินไปจริงๆ แหละค่ะ เมรักพี่นลนะ รักพี่ชายของเมทุกคน และจะรักพี่ๆ ตลอดไปเลย”

    อนลโอบกอดเธอ เมทินีแสนอ่อนหวานและน่ารัก เขาเต็มใจสละชีวิตให้น้องสาวคนนี้ได้

    “พวกเราก็รักน้องสาวคนนี้เสมอแหละจ๊ะ”

    เขาจูบหน้าผากหญิงสาว ก่อนจะเอ่ยขอตัวกลับขึ้นห้อง เมื่อมาถึงเขาก็ปิดประตูและถอนหายใจยาว

    เมทินีคิดจริงๆ หรือว่า เขาจะยอมเล่นบทผู้ปกครอง ให้กับเด็กผู้หญิงคนนั้นได้

เด็กนั่นชื่ออะไรนะ...

ฤดี... ฤดี วงศาสราญ...

    หุ้นส่วนของเขาคนหนึ่งมีลูกสาวอายุเท่าๆ กับฤดี จากที่อนลเห็นมา ชายที่น่าสงสารคนนั้นต้องวุ่นวายอยู่กับการจัดฟัน เรื่องสิว และทุกข์ทรมานกับความกังวลต่างๆ นานา ที่จะเกิดกับเด็กสาววัยรุ่น

    แต่เขาจะไม่ยอมเผชิญกับปัญหาเหล่านั้นหรอก ในฐานะผู้ปกครองของ ฤดี... เขาจะแค่รับผิดชอบค่าใช้จ่าย แค่คอยเซ็นเช็คให้ ก็เท่านั้น

    ถึงตอนนี้ หลังจากคิดไปคิดมาอยู่หลายเที่ยว อนลก็จำเป็นต้องยอมรับว่า เมื่อเทียบกับอรรณพและอนิลแล้ว งานเขาง่ายกว่าเยอะ

    ผู้ปกครองของเด็กหญิงอายุสิบสองงั้นหรือ...

    อนลรูดซิปปิดกระเป๋าเดินทาง หิ้วสะพายหลัง เตรียมตัวกลับกรุงเทพ

รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นอีกมาก...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่