แชร์ประสบการณ์ลดความอ้วนได้สำเร็จ โดยวิธีการคุมแคลอรี่+ออกกำลังกาย

สวัสดีครับผมชื่อป๊อปอาย เรียนอยู่ปี4 คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
วันนี้อยากจะมาตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์ในการลดความอ้วนให้กับเพื่อนๆครับ
ต้องบอกไว้ก่อนว่า วิธีการลดความอ้วนของผมอาจจะลดช้าหน่อยเพราะค่อยๆลดจริงๆ แต่ไม่ได้ใช้ยาใดๆทั้งสิ้น ดังนั้นทุกคนสามารถทำได้ง่ายๆเลย



ผมเป็นคนอ้วนมาตั้งแต่สมัยประถมแล้วครับ เป็นเด็กกินเยอะ ไม่ค่อยกินขนมจุบจิบเท่าไรแต่ชอบกินนมมากและจะมากินหนักเฉพาะมื้อปกตินี่แหละ ตอนขึ้นปี 1 ถึงปี 2 น้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 85 กก. (สูง 175 cm.) แต่ช่วงน้ำท่วมปี 54 บ้านผมหนีน้ำท่วมไปอยู่ที่บ้านยายที่จังหวัดอุบลราชธานี แล้วหายนะก็บังเกิดครับเพราะที่อุบลอาหารการกินดีมากกกกกกกก กินทั้งวัน กิน-นอน กิน-นอน จนสุดท้ายก่อนกลับบ้าน น้ำหนักผมอยู่ที่ 91 กก. แล้วสิวก็เยอะมากๆ



แล้วหลังจากกลับบ้านมาก่อนปีใหม่55 ไม่นานก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ตัวผมที่ไม่เคยคิดจะดูแลตัวเองเลย หันกลับมามองตัวเองแล้วคิดว่า “เราต้องทำอะไรซักอย่างกับชีวิตเราแล้ว”

เริ่มลดน้ำหนัก (ปลายธันวาคม 2554)
เริ่มแรกผมกินสลัดทูน่าเป็นมื้อเย็น(พยายามใส่น้ำสลัดน้อยๆ รสชาติแย่มาก) แล้วก็เต้น Cardio ของ Jillian Michaels ตามคลิปนี้  วันละครั้ง ทำทั้งที่บ้านและที่หอด้วย
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เวลาอยู่หอหาสลัดกินไม่ค่อยได้ผมก็กินบิ๊กเปาของ 7-11 ลูกนึงเป็นมื้อเย็น แต่ผมก็กินสลัดได้ไม่นานครับไม่ค่อยชอบ หลังๆมื้อเย็นก็เป็นน้ำเต้าหู้บ้างซาลาเปาบ้าง ทำมาเรื่อยๆจนมาถึงเดือนพฤษภาคม(มีช่วงที่หยุดลดไปประมาณเกือบสองเดือนเพราะอ่านหนังสือสอบปลายภาค)

ผ่านไป 7 เดือน น้ำหนักผมลดไป 10 กก. มาอยู่ที่ 81 แล้ว (เท่าตอนเข้าปี1ใหม่ๆ) ช่วงนี้เริ่มมีคนทักเรื่องผอมลงบ้างแล้ว



ช่วงปิดเทอมใหญ่ปี 2 ผมเลิกเต้นคาร์ดิโอหันมาวิ่งด้วยเครื่องวิ่งที่ผมมีในบ้าน(ที่ฝุ่นเกาะหนามากแทบไม่มีใครใช้) ผมวิ่งด้วยเจ้าเครื่องนี้เป็นหลักทุกวันเริ่มแรกวันละ 20 นาที แต่วิ่งเฉยๆแล้วมันเบื่อ หลังๆผมเอาเครื่องนี้ไปวิ่งหน้าทีวี เปิดอนิเมดูไปด้วย เริ่มแรกก็เปิดแค่ตอนเดียว(ตอนนึงจะยาว 23-25 นาที) แต่พอวิ่งจนอยู่ตัวแล้ว(ซักอาทิตย์สองอาทิตย์)ก็เพิ่มจำนวนตอนไปเรื่อยๆ จนมาสุดที่ 3 ตอน (ประมาณ 75 นาที) ทำแบบนี้วิ่งได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อทุกวันเลย
แล้วก็ทุกวันตอนเช้าผมจะ ยกน้ำหนัก วิดพื้น ซิทอัพ ด้วยครับ แต่ไม่เยอะมาก วิดพื้นเริ่มจาก 5 ที ทำไปเรื่อยๆจนชินมาสุดที่ 40 ที ส่วนซิทอัพผมทำ 3  เซต เซตละ 10-20 ครั้ง

เครื่องวิ่งที่ผมใช้ก็หน้าตาประมาณนี้ครับ มีบอกพวกความเร็วแล้วก็วัดให้ด้วยว่าเผาผลาญไปกี่แคลอรี่แล้ว


เริ่มเข้าใจการคุมแคลอรี่
ระหว่างช่วงที่ลดไปแล้ว 10 กิโลผมรู้สึกเหมือนอิ่มตัวแล้วว่าจะเลิกลดเพราะลดช้ามากๆ แต่ผมได้เห็นกระทู้ลดความอ้วนของคุณเนยที่ลดไปเยอะมากๆทำให้ผมกลับมาฮึดอีกครั้ง และนอกจากนี้ก็ได้เห็นคลิป Good Shape Save Cost ของคุณจอห์น วิญญู ผมลองดูแล้วเริ่มเข้าใจวิธีการนับและการคุมแคลอรี่มากขึ้นคือวันนึงคนต้องการ 2,000 แคล ถ้าเรากินไม่ถึง 2,000 แคล ร่างกายก็จะเอาที่สะสมไว้ในร่างกายมาใช้ ผมเลยเน้นกินของที่แคลอรี่น้อยที่สุดเท่าที่ผมจะอิ่มมาใช้ (แต่ผมไม่ได้ทำตามทุกอย่างนะครับ เอาเท่าที่ตัวเองไหวไม่ได้กินวันละ 500 แคลอย่างคุณจอห์น) เท่าที่นับดูวันนึงผมกินประมาณ 1,600-1,800 แคลอรี่ แล้วก็มาวิ่งกับเครื่องอีกชั่วโมงกว่านับจากเครื่องลดไปได้ 350-500 แคล ต่อวัน สรุปแล้ววันนึงผมเอาแคลอรี่เข้าตัวประมาณ 1,300 แคลอรี่ (อีก 700 ก็ให้เอาที่สะสมไว้ไปใช้)

อันนี้เป็น Good Shape Save Cost ตอนที่ผมเอาไว้อ้างอิงการนับแคลอรีเวลากินอาหารครับ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ในช่วงปิดเทอม(พ.ค.-ก.ค.)นี้ผมยังคงกินมื้อเช้า เที่ยง ปกติ ส่วนมื้อเย็นหลังวิ่งเสร็จผมทาน เยลลี่บิวตี้ (รสสีม่วง 30 แคลอรี่) ตอนกลางคืนก็อย่านอนดึก ปกติผมนอนประมาณ 4-5 ทุ่ม ถ้าตอนกลางคืนหิว ให้กินน้ำเปล่าครับแล้วรีบนอนเลย ทำอยู่แบบนี้ประมาณเดือนกว่าๆ น้ำหนักลดไปอีก 5 กิโล เปิดเทอมขึ้นปี 3 มาโดนทักเยอะมาก น้ำหนักอยุ่ที่ 76 กก. ในช่วงรับน้อง



จากนั้นไม่นานผมเพิ่งมาเห็นว่า เยลลี่บิวตี้ ใช้วัตถุกันเสีย ผมที่กินมาหลายเดือนเลยรู้สึกไม่ดีจึงเลิกกิน แล้วมื้อเย็นหลังวิ่งเสร็จก็หันมากิน โยเกิร์ตไขมัน 0% แทน 80 แคลอรี่ เยอะกว่าเดิมนิดหน่อย

ผมลดน้ำหนักมาเรื่อยๆ ช่วงอยู่หอที่มหาลัยไม่ได้ใช้เครื่องวิ่งก็คุมอาหารเอาอย่างเดียว ลดของทอดของมัน กินอิ่มคืออิ่มไม่ต้องเสียดายทิ้งไปเลย ถือคติจากที่พี่สาวผมบอกว่า“อิ่มแล้วก็ทิ้งไป ให้มันเป็นขยะลงถังไป ดีกว่ามาเป็นขยะในตัวเรา” กลับมาบ้านเสาร์-อาทิตย์ก็วิ่งเครื่องที่นั้นตามปกติ จนมาลดได้ถึง 20 กก. เหลือ 71 กก. ในเดือนสิงหาคม 2555



เลิกลดน้ำหนัก
เดือนธันวา 2555 ครบ 1 ปีที่ผมลดน้ำหนักพอดี ผมลดไปทั้งหมด 22 กิโลกรัม น้ำหนักจาก 91 ลงมาเหลือ 69 กิโลกรัม เป็นการลดที่ใช้เวลานานพอสมควร แต่ผมก็ลดได้จริงๆ ระหว่างลดนี้หลายๆอย่างผมก็กินอย่างมีความสุขนะครับไม่ได้ทรมานเลย (ผมลดน้ำหนักแบบไม่ค่อยได้สนปริมาณน้ำตาลด้วยแหละครับ สนแต่แคลอรี่)
ช่วงหลังๆผมถูกทักว่าโทรมไปเยอะ เพราะยิ่งลดแก้มยิ่งตอบ ผมเลยตัดสินใจเลิกลดน้ำหนักแล้วก็หันมาดูแลตัวเองให้คงที่ครับ ตลอดปี 2556 ที่ผ่านมาก็น้ำหนักขึ้นๆลงๆ อยู่ในช่วงไม่เกิน 72 กิโลกรัม ขึ้นเยอะสุดก็ช่วงสอบนี่แหละครับ 555



ส่วนเรื่องสิว ผมไปรักษาที่สถาบันโรคผิวหนังโรงพยาบาลราชวิถีแถวอนุสาวรีย์ครับ (แต่อันนี้มันอยู่ที่แล้วแต่คนจริงๆ เพื่อนผมบางคนไปที่นี่ก็ไม่หาย)

สรุปการลดน้ำหนักของผมนะครับ
1.    มื้อเช้า และมื้อเที่ยงสำคัญมากๆ ควรกินอย่างเต็มที่เอาให้อิ่มเลย ส่วนมื้อเย็นกินให้น้อยที่สุด แต่ห้ามอดอาหารเด็ดขาด ลดของมันของทอด (อันนี้ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่ากินอะไรทำให้อ้วน)
2.    อย่านอนดึก เพราะคุณจะหิวเนื่องจากกินมื้อเย็นมาน้อย ถ้าหิวมากก็กินโยเกิร์ตอีกถ้วย ไม่ก็อัดน้ำเปล่า แล้วรีบนอน
3.    จะให้ดีที่สุดต้องออกกำลังกายทุกวัน แต่ถ้าไม่สะดวกคุณต้องมีวินัยในการคุมอาหารมาก อย่าตามใจปาก อย่าเอาขยะเข้าตัว
4.    อย่าท้อครับ กำลังใจสำคัญที่สุด ต้องอดทน นึกภาพวันที่เราผอมเอาไว้ วันที่ชีวิตเปลี่ยนไป วันที่ใครๆก็ทักคุณว่า “เฮ้ย ผอมลงไปทำไรมาวะ”
5.    พยายามดูสารอาหารให้ครบนะครับ วิธีของผมก็ไม่ใช่ว่าจะดีเพราะไม่คุมน้ำตาลเลย สนแต่แคลอรี่ ตอนนี้ต้องมาทำให้หุ่นเฟิร์มมากขึ้นอีก

สิ่งที่ได้จากการลดน้ำหนัก
1.    น้ำหนักลดไป 22-23 กิโล
2.    เอวลด จาก 38-39 ลงมาที่ 32 นิ้ว
3. มีวินัยในการกินมากขึ้น ประหยัดไปเยอะ
4. รู้จักการก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง
5.    มั่นใจในตัวเองมากขึ้น
6.    ชอบถ่ายรูปมากขึ้น (ฮา)
7. ****ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่ทั้งล็อต****Facepalm

นี่รูปปัจจุบันผมครับ ล่าสุดเพิ่งเล่นละครเวทีของคณะมา ช่วงเก็บตัวก่อนแสดงกินน้อยออกกำลังกายเยอะ น้ำหนักเลยลดไปอีก จากตอนปีใหม่ 71 กก. ตอนนี้เหลือ 68 กก.




ทีแรกผมเห็นว่าวิธีของผมมันอาจจะง่ายเกินไปเลยไม่เคยคิดจะมาตั้งกระทู้แบบนี้ หวังว่ากระทู้นี้คงจะทำให้เพื่อนๆที่หาวิธีลดน้ำหนักง่ายๆอยู่ได้แนวทางและกำลังใจไปบ้างนะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ ถ้าคุณมีความตั้งใจจริงๆ ลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ ยิ้ม



ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบนะครับ

สวัสดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่