เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 46

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 45 http://pantip.com/topic/30320360

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl


                                                                                     ตอนที่ 46

                 ในความมืด ความเงียบ ความสิ้นหวัง กุสุมาลย์ไม่รู้ว่าสิ่งใดโถมถาเข้ามาหานางก่อนกัน หรือทุกสิ่งจะโรมรันเข้ามาโจมตีนางพร้อมๆ กัน  หญิงงามปิดหน้าตาตัวเองด้วยสองมือ ด้วยไม่อยากรับรู้สิ่งใดอีกแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน...เหนื่อยเกินไป ล้าแม้กระทั่งจะลุกขึ้นนั่ง หากความตายคือการหลับไหลชั่วนิรันดร์ก็คงจะดี  แต่หาได้เป็นเช่นนั้นไม่  ความตายเป็นแค่การสิ้นสุดของร่างกายเท่านั้นหาได้สิ้นสุดจิตวิญญาณไม่ ดวงวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่ ความเจ็บปวดมิได้จางหายไปตามกาลเวลา  

                 หญิงงามหยุดการเคลื่อนไหวทุกประการปล่อยกายลงดิ่งลงสู่ท้องน้ำให้กลืนร่างจนมิดหาย แต่ความคิดนั้นมิได้หยุดตามยิ่งพยายามนิ่งจิตใจยิ่งว้าวุ่น ถ้าหลับได้เสียคงดี...ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ เล่า ภูวิษะเจ้าเล่า? จะเป็นเช่นใด จะต้องรอคอยนางอันเป็นที่รักอีกกี่ชาติภพ จะต้องเดียวดายในความมืดมิดอีกนานเท่าไร ถึงจะปลดปล่อยตนเองจากบ่วงกรรมได้ เขามิได้ผิดอันใด เขาเป็นเพียงบุรุษที่น่าสงสารเท่านั้น บัดนี้ท่านได้พบกับนางเทวีแล้วจากนี้ต่อไปจะเป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างจะคลี่คลายหรือจะพากันร่วงหล่นลงเหวลึกกันนะ

                 “ช่างเขาเถอะ...ยังไงเขาก็หนีกันไม่พ้นหรอก” เสียงทุ้มดังอยู่ข้างหู ทำเอานางจากอดีตกาลสะดุ้งขึ้นมาสุดร่าง เมื่อลืมตาขึ้นก็พบรอยยิ้มอบอุ่นมองอยู่จากริมตลิ่ง

                  “ทำกระไรอยู่แม่คุณ จะลอยเท้งเต้งอยู่อย่างนั้นอีกนานไหม?” เสียงปราศัยเรียกให้นางเหลียวมองรอบกาย กุสุมาลย์จึงพบว่านางลอยอยู่บนผิวน้ำ มิใช่ใต้สายนทีอย่างเมื่อครู่

                 “นี่ท่าน...”

                  “ว่าอย่างไรแม่หญิง” คนบนฝั่งยิ้มตอบบอกว่าตั้งใจฟังอยู่

                 “ท่านใช้กลใด...ส่งสองคนนั่นไปไหน แล้วเรียกเรามาที่นี่ทำไม?” นางขยับตนเคลื่อนไหว หากครึ่งร่างยังแช่อยู่ในน้ำต่อว่าคนบนฝั่ง

                “แม่อยากรู้รึ?” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน นึกอยากสาดน้ำใส่คู่สนทนา แต่ยังยั้งใจไว้ได้

                “ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่มีใครบังคับท่าน งั้นลากันเสียตรงนี้เลยแล้วกันวิทยเทพ!”

                “จะรีบไปไหนเล่า ขึ้นมาจำนรรจากันก่อนเถิด ใจคอแม่จะให้ชะโงกอยู่บนฝั่งอยู่อย่างนี้ไปอีกครึ่งวันรึ?...มันเมื่อยนะ...” หญิงงามขัดใจนัก นางได้แต่สะบัดหน้าหนี แต่ครู่เดียวก็หายวับไปจากสายน้ำขึ้นมายืนเคียงข้างวิมุตติ ตลอดร่างแห้งสนิทหาได้เปียกปอนเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ

                 “ข้าขึ้นมาแล้ว มีกระไรก็ว่ามา!” น้ำเสียงนางประชดประชันอยู่ในทีแต่อีกฝ่ายไม่ตอบเอาแต่จ้องหน้านางแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

                “อะไรของท่าน? ”

                “กำลังพิศดู เมื่อครู่แม่เปียกปอนก็น่ามอง แต่ยามเนื้อตัวแห้งโฉมแม่แฉล้มนัก” วิญญาณหญิงงามถอยกรูด นางเม้มริมฝีปากแน่นระงับความไม่พอใจ

              “นี่ท่าน! กลางวันแสกๆ แท้ๆ ยังจะมาเกี้ยวพาราสี หน้าไม่อาย” คนโดนตำหนิเหลียวมองตะวันเหนือศีรษะ

              “ถ้าอย่างนั้นรอให้อาทิตย์อับแสงก่อนก็ได้ เรายินดีรอ”

              “วิมุตติ!! ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” นวลแก้มขาวเนียนแดงก่ำขึ้นมาทันที นางพูดพลางสะบัดกายหนี

              “เดี๋ยวสิแม่คุณ...อย่าเพิ่งหนีหน้าไปเลย  เรามิได้ตั้งใจยั่วเย้าให้ขุ่นเคือง เพียงแต่...เห็นแม่สดใสขึ้นก็อดจะชื่นชมมิได้”

              “สดใส?” กุสุมาลย์ขมวดคิ้ว หญิงอาภัพอย่างนางหรือมีสีหน้าแช่มช้อย?

              “ใช่” หนุ่มรูปทองพยักหน้า

             “ในใจแม่เป็นอย่างไรบ้าง? ความเกลียดความโกรธบรรเทาไปบ้างหรือไม่” คราวนี้คำถามจริงจังไม่ใช่หยอกเอินอย่างที่ผ่านมา ยิ่งเห็นแววตาที่ถ่ายทอดมายังนาง นัยน์ตาคู่นั้นมีแต่ความปรารถนาดีส่งให้ นางจึงได้แต่ยืนนิ่งอึ้ง

              “ข้า...” เจ้าของดวงหน้าหวานล้ำก้มหน้านิ่ง ความรู้สึกสับสนยังอยู่ในใจร่างสูงที่ยืนมองอยู่ครู่ใหญ่เอื้อมมือมาช้อนดวงหน้านางขึ้นให้สบตาเขา

               “ไม่เป็นไร...ถ้ายังไม่หายโกรธก็ไม่เป็นไร ค่อยๆ ว่ากันไป”

              “มันอาจจะนาน”

               “กาลเวลาไม่มีความหมาย...สำหรับผู้ไม่มีลมหายใจ จะบัดนี้หรือบัดนั้นค่าของมันเท่ากัน...เพราะมันผ่านมาแล้ว”

               “นั่นสินะมันผ่านมาแล้ว...” เสียงรำพันนั้นแฝงด้วยความเศร้า

               “กุสุมาลย์ สายน้ำไม่ไหลกลับ เวลาก็เช่นกัน...แล้วธาราแห่งความทุกข์เล่าจะกักขังมันไว้ในใจได้นานเท่าใดเทียว...ฝืนธรรมชาติ”

               “ท่านไม่ได้เป็นคนทุกข์นี่ ท่านก็พูดได้”

               “หึ หึ กุสุมาลย์แม่พูดราวกับว่า ถ้าได้แบกทุกข์ไว้นั่นคือสิ่งสูงสุดที่หวัง  หากไม่มีมันแล้วไซร้ก็ไม่รู้จะไปทางไหน” วิญญาณหญิงงามเบิกตากว้าง ถอยตัวห่างจากกึ่งเทพทันที

               “ใครว่า ท่านอย่ามารู้ดี  ข้ายังมีสิ่งอื่น...” สิ่งที่กังวล...นางตรึกตรองราวกับเพิ่งแยกแยะสิ่งสำคัญนั้นออกจากความทุกข์อันแสนวิปโยคได้

                “สิ่งใดคือปรารถนาอีกประการของแม่กันเล่า?”

                “ทำไมข้าต้องบอกท่านด้วย...” เสียงสะอื้นไห้มาจากร่างอรชร แล้วหยาดน้ำตาก็ค่อยๆ รินหลั่งลงมาเป็นสาย

                “กุสุมาลย์...เราเพียงอยากขจัดปัดเป่าทุกข์ร้อนในใจให้เท่านั้น มิได้ต้องการให้เสียใจ” ร่างสูงเข้าขยับเข้าประชิดนางอีกครั้ง

                “งั้นบอกข้าสิ...ท่านหลอกนางนั่น มาให้ข้าทำไม  ท่านรู้อยู่แล้วมิใช่หรือว่าอย่างไรภูวิษะเจ้าก็ต้องมาช่วย ท่านไม่ได้มีเจตนาจะช่วยข้าจริงๆ  ” หญิงงามส่ายหน้าด้วยความเสียใจ

                “หรือท่านต้องการให้ข้าดับดิ้นลงอีกครา ด้วยน้ำมือของภูวิษะเจ้าเอง!”

                “กุสุมาลย์!! เข้าใจผิดแล้ว มันมิได้เป็นเช่นนั้น”

                “ท่านรู้ ภูวิษะเจ้าต้องเสด็จมา อย่าได้โป้ปด”กระแสความร้อนในตัวนางเพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ

               “กุสุมาลย์...เราดูเป็นคนใจดำถึงเพียงนั้นเทียวหรือ?  จริงอยู่เราแน่ใจว่าภูวิษะต้องมาเขามีกระแสใจเชื่อมโยงกับเคียงฟ้า  แต่...มันไม่ใช่อย่างที่เจ้ากำลังคิด”

               “ข้าไม่เชื่อ...เล่ห์บุรุษ หากไม่มีข้า งานท่านเท่ากับลุล่วงไปเร็วขึ้น”

               “กุสุมาลย์!!! วิทยาธรไม่ได้มีหน้าที่ก่อกรรม!! ” เมื่อตวาดออกไปแล้วจึงค่อยข่มอารมณ์ลงได้ ชายหนุ่มจึงเสียงอ่อนลง

               “เรารู้ว่าแม่กำลังเสียใจ...แต่คำกล่าวของแม่กำลังหยามบุรุษถึงสองคน คนแรกคือเรา...ไม่ว่าในฐานะวิทยาธรหรือเพียงแค่วิมุตติก็ตาม  คนที่สองคือภูวิษะ....เขารึ? จะฆ่าแม่ได้ลงคอ ” สองมือแกร่งจับต้นแขนของนางไม่ให้หลีกหนี

                “ถ้าเพื่อปกป้องหญิงนางนั้น....ท่านก็อาจจะ...”

              “ไม่..เรื่องแบบนั้นไม่มีวันเกิดขึ้น  ภูวิษะไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น และหากแม้นว่าเขาจะทำเราก็มิยอมให้เป็นเช่นนั้นเด็ดขาด...หากเขาจะปกป้องหญิงของตน  ข้าก็เช่นกัน...กุสุมาลย์  แม้แลกด้วยชีวิต” นางผู้ข้ามกาลเวลาเบิกตาค้าง ม่านตากะพริบไหวในดวงใจเต้นระรัว

              “ด้วยหน้าที่วิทยเทพ?” คำถามนั้นหลุดออกจากปากอย่างแผ่วเบาคล้ายรำพันมากกว่าจะถามจริงจัง บุรุษเบื้องหน้าพยักหน้ารับก่อนจะเอ่ยตอบ

              “ด้วยหน้าที่ของบุรุษ...มิใช่หน้าที่ของวิทยาธร  ไม่มีบุรุษใดปล่อยให้หญิงนั้นถูกเข่นฆ่าต่อหน้าต่อตาได้หรอก...ยิ่งถ้าหากหญิงนั้นเป็น....”

              “เป็น....?”

              “เป็นเจ้าอย่างไรเล่า กุสุมาลย์”  เสียงอ่อนโยนทอดลงมากลางใจนาง หญิงงามได้แต่ยืนนิ่งชั่วเวลาสั้นเพียงกะพริบตาหากเนิ่นนานราวกาลเวลาหยุดนิ่ง

                ม่านหมอกพรางภพให้เหลื่อมซ้อนยากที่จะปรากฏแก่สายตามนุษย์ใด  ปรากฏเพียงเงาเลือนรางของชายหนุ่มและหญิงสาวจ้องมองกันอย่างเงียบๆ ไร้คำพูดใดจะสื่อสารต่อกันอีก คงมีแต่นัยน์ตาทำหน้าที่เจรจาสืบแทน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่