สุสานทุ่งทองกวาว (ตอนที่ 4)

กระทู้สนทนา
สุสานทุ่งทองกวาว บทนำ/ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30396148
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/30396533
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/30402583

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จะเล่าถึงตอนที่โดดเรียนขณะที่อยู่โรงเรียนกวดวิชานั่นก็อีก...พ่อฉันส่งฉันไปเรียนตามปกติ 10 โมงเช้า ที่จริงฉันไม่อยากเรียนหรอก กวดวิชาอะไรนั่น แต่ฉันไม่อยากอยู่บ้าน โรงเรียนกวดวิชาแห่งนั้นค่อนข้างใหญ่ และถึงแม้มีการเช็คชื่อเข้าเรียน แต่เค้าก็ไม่ได้แจ้งให้กับผู้ปกครองว่าลูกไปเรียนหรือไม่ ฉันเลยโดดเรียนไปอยู่ร้านขายเทปแถวนั้น เป็นแบบนี้ทุกอาทิตย์! อาจจะเข้าเรียน...แต่ก็---บ้าง---เท่านั้น ป้าที่ร้านขายเทปเค้าก็ไม่ได้สนใจว่าฉันโดดเรียน ก็ไม่ใช่ลูกเค้าหนิ! ถึงแม้เค้าจะบอกหลายครั้งว่าอยากได้ฉันเป็นลูก เพราะเค้ามีลูกยาก แต่ยังไงก็ไม่ใช่ลูกเค้าอยู่ดี
จนพอนานๆ ไป เหมือนอยู่ติดที่แล้วมันเบื่อ ฉันก็ ‘ริ’ ที่จะทำอะไรแผลงๆ ขึ้นอีกระดับ ยิ่งรู้ว่าจะได้รับอิสรภาพก็ตอนที่ไปเรียนพิเศษเท่านั้น ฉันก็เลยลองขึ้น ‘รถเมล์ขาว’ มันก็คือรถเมล์ที่เดินสายประจำระหว่าง เชียงใหม่-ลำพูน ถ้าเป็นสมัยก่อนนี่พวกเด็กบ้านนอก---ถึงแม้สมัยนี้ถ้าพูดถึง เชียงใหม่-ลำพูน จะเป็นอะไรที่ใกล้ๆ ไปเสียแล้ว เนื่องจากใครๆ ก็มีรถส่วนตัวกัน การจราจรตรงเส้นซุปเปอร์ไฮเวย์ หรือคนในพื้นที่เค้าเรียกกันว่า ‘สายนอก’ ก็ปรับปรุงใหม่ให้มีอุโมงค์ลอดผ่านหลายจุด ทั้งหน้าห้างแมคโคร และหน้าห้างคาร์ฟูร์ การสัญจรมันเลยง่าย ที่ถ้าหากผู้ใหญ่สมัยนี้จะหลอกลูกที่ดิ้นเร่าๆ บนพื้นว่า “ห้ามดื้อนะ...เดี๋ยวแม่ไม่พาไปเที่ยวเชียงใหม่นะ” คงใช้คำกล่าวนี้กับเด็กไม่ได้แล้ว เพราะมัน ‘ธรรมดา’ เกินไป
แต่ถ้าหากย้อนเมื่อราวๆ 10 ปีขึ้นไป คำว่า ‘เชียงใหม่’ มันดูเลิศเลอเพอร์เฟคเกินบรรยาย ถ้าเอ่ยถึง ‘ห้างสรรพสินค้า!’ มันจะเป็นอะไรที่ฟิเนเร่มาก เพราะมันรวบรวมความเจริญไว้ที่นั่น มีร้านเทปใหญ่ๆ มีลานสเก็ต มีที่โยนโบลลิ่ง และประดามีที่เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างฉัน และอีกหลายๆ คน ถึงแม้ฉันจะมีโอกาสได้เข้าไปเรียนพิเศษที่นั่นก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้มีอิสระที่จะเดินเตร่ โดยไร้ผู้ปกครองควบคุม แถมซ้ำเวลาที่แม่นกพาไปเที่ยวที่ไหน แม่นกก็ชอบบ่นอะไรไม่รู้ มันเลยกลายเป็นไม่สนุกไปเสีย

ที่ฉันเกิด ‘เก็ท’ ไอเดียหนีเที่ยวข้ามจังหวัดนั้น ก็เพราะมีวันหนึ่งดันคิดขึ้นมาเล่นๆ ว่า ความจริงฉันก็เคยขึ้นรถเมล์ขาวมาก่อนหน้านี้ โดยที่แม่นกเป็นคนพาขึ้น เวลาจะกลับบ้านที่ลำพูน

ฉันเป็นคนที่ชอบจดจำ สังเกต ยิบย่อยต่ออะไรที่มันแปลกหู แปลกตา โดยเฉพาะเรื่องที่จะสามารถพาฉัน ‘หนี’ ได้แล้ว ยิ่งเรื่องการเดินทาง ฉันยิ่งกระสันหาที่จะเรียนรู้อย่างใจจด ใจจ่อ ฉันเลยจดจำเสมอว่าถ้าเกิดจะนั่งรถเมล์ขาวกลับบ้าน ต้องบอกรถแดง (รถประจำทาง ‘ชื่อดัง’ ของเชียงใหม่) ว่าไปคิวรถช้างเผือก พอถึงคิวรถ ต้องหารถเมล์ขาว แต่ต้องอ่านป้ายให้ดีก่อนขึ้น ว่ามันเขียนติดข้างรถว่า ‘เชียงใหม่-ลำพูน’ รึเปล่า เพื่อความแน่ใจ พอขึ้นเสร็จ จะมีกระเป๋ารถเมล์มาเก็บเงิน เค้าจะถามว่าลงที่ไหน เราก็ตอบว่า ลงที่ลำพูน พอจ่ายเงินเสร็จ จะได้ตั๋วรถเมล์มา เป็นอันเสร็จสิ้น ฉันแอบจำขั้นตอนเหล่านั้นเป็นฉากๆ ได้ตั้งแต่ประถม แล้วก็มีความคิดอยากหนีมาขึ้นเองตั้งแต่ประถมเช่นกัน นี่เค้าไม่ได้เรียกว่า ‘ฉลาด’ นะ ต้องเรียกว่า ‘ร้ายกาจ’ มากกว่า จนบัดนี้ฉันอายุ 28 แล้ว ลองมองย้อนกลับถึงความคิดในวัยเด็กแล้วแอบส่ายศีรษะเบาๆ ‘เด็กนรก’ สิ้นดี และในบางความคิดก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ไม่ลงมือทำ เพราะถ้าทำแล้ว อันตรายบังเกิดจริงๆ แต่ด้วยความเป็นเด็ก และถูกประคบไว้ในหิน จึงคิดไม่ถึงว่ามันจะอันตรายยังไง

และวันหนึ่งฉันก็ตัดสินใจโดดเรียนไปเที่ยวเชียงใหม่!

ครั้งแรก---มันตื่นเต้น กล้าๆ กลัวๆ จนฉันอยากจะเดินลงรถหลายครั้ง เพราะไม่เคยที่จะขึ้นรถเมล์ขาวจากลำพูน ไปเชียงใหม่สักครั้ง เคยแต่ขึ้นจากเชียงใหม่มาลำพูน แต่ก็ลงไม่ทัน เนื่องจากว่ากระเป๋ารถเมล์เดินเข้ามาหา แล้วถามว่า

“ลงที่ไหนคะ?” ก็อย่างที่บอกว่าฉันดูโตเป็นสาวเกินวัย และด้วยความ ‘แก่แดด’ ชอบแต่งตัวสวยๆ กระเป๋ารถเมล์เลยไม่มองว่าฉันเป็นเด็ก

“เชียงใหม่คะ...” ฉันตอบแบบกล้าๆ กลัวๆ เหงื่อนี่แตกพลั่กเลยหละ

“กาดหลวง หรือช้างเผือกคะ?” มาถึงตอนนี้ฉันอึ้งไปหลายวินาที แต่ก็ตัดสินใจตอบว่า “ช้างเผือก” เพราะจำได้ที่เดียว กระเป๋ารถเมล์เก็บเงิน แล้วยื่นตั๋วรถให้ ฉันโล่งใจไปเกินครึ่ง ตอนนั้นฉันกลัวอย่างเดียว กลัวว่าเค้าจะจับได้ แล้วซักไซ้หาผู้ปกครอง ถ้าเป็นแบบนั้นฉันตายแน่ๆ!

เรื่องวันนั้นเป็นผลสำเร็จ ไม่มีใครจับได้ และ...เมื่อมีครั้งแรก ก็จะมีครั้งที่สอง สาม สี่ ห้า ตามมาเรื่อยๆ ฉันลุ่มหลงในอิสระที่ฉันใฝ่หามาแสนนาน ถึงแม้จะไม่เต็มร้อย แต่สิ่งที่ฉันฝันว่าจะได้เดินเล่นดู โน้น นี่ นั่น โดยที่ไม่มีเสียงแม่นกมาบ่นกรอกหู ไม่มีเสียงพ่อคอยประณามเด็กวัยรุ่น---ที่เค้าแค่จับกลุ่มคุยกัน พ่อก็ว่าเค้าเป็นคนไม่ดีแล้ว พ่อฉันชอบคิดว่าถ้าพวกวัยรุ่นจับกลุ่มกัน จะต้องพากันไปทำเลว ไม่รู้ว่าเค้าเอาความคิดนี้มาจากที่ไหน พ่อชอบบ่นว่า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องมารวมตัวคุยกัน หัวร่อต่อกระซิก ยิ่งถ้าในกลุ่มมีทั้งชายและหญิง พ่อจะด่าทอออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ซึ่งฉันเกลียดนัก ฉันคิดว่าพ่อมองโลกแคบไป ถ้าเกิดฉันเถียงขึ้นมา พ่อจะประชดด้วยคำพูดที่ว่า

“อีกหน่อยก็ทำแบบนั้นสิ!” ฉันจึงเงียบ ทั้งๆ ที่สีหน้าไม่ค่อยจะพอใจเท่าไรนัก และคำว่า ‘อีกหน่อย’ ของพ่อนั่นแหละ ที่ต่อมาถึงฉันจะไม่เคยไปจับกลุ่มคุยกับใคร อย่างที่พ่อเกลียด แต่ฉัน ‘เสียผู้เสียคน’ ไปเลยทีเดียว แถมทำในที่ลับ ซึ่งกว่าผู้ใหญ่จะรู้ ก็...---ลงเหว---ไปเสียแล้ว
สมัยนั้นที่ๆ จะไปมีไม่กี่ที่ หลักๆ ก็ห้างสรรพสินค้า อาจจะมีที่อื่นอีก แต่ฉันรู้จักแค่ห้างฯ ซึ่งคนเชียงใหม่คงรู้ดี ว่าเมื่อก่อนนั้น ห้างฯ ดังของวัยรุ่นคือที่ไหน ไม่ใช่โรบินสันก็แล้วกัน ที่นั่นจะรวบรวมคนหนุ่มสาวไว้เยอะมากกกก เพราะมันครบวงจรสำหรับที่ฮิตๆ ของวัยรุ่น เช่น ที่โยนโบลิ่ง ลานสเก็ตน้ำแข็ง โรงหนัง เป็นจุดรวมตัวของวัยรุ่นเลยแหละ และ...ถ้าหากใครจำได้ ห้างฯ นั้น จะมีร้านอาหารร้านหนึ่ง ซึ่ง...เค้าทำร้านได้แบบ ถ้าหากเป็นตอนนี้ฉันก็ยังคิดว่ามัน ‘เริ่ด’ อยู่ดี เนื่องจากร้านที่ล้อมไปด้วยกระจก จะมีน้ำตกไหลลงมาจากด้านบน สีสันของร้านจะออกโทนฟ้า เนื่องจากลุ๊คของร้านจะออกแนว Aqua ชื่อร้านตัวย่อตัว M ถ้าใครจำได้ จะต่อให้เต็มประโยคได้ในทันที ซึ่งตอนนี้ไม่มีแล้ว ไม่รู้เจ๊งไปตั้งแต่เมื่อไร รู้แต่ว่าฉันอยากเข้าไปนั่งร้านนี้มาก และ...ไม่กล้าเข้า เพราะมีแต่รุ่นพี่เต็มเลย ให้เดาอายุ คงประมาณ ม. ปลาย กัน แต่ละคนแต่งตัวประชันกันสุดฤทธิ์ คือสมัยก่อนไม่มีของแบรนด์ ‘แพงเวอร์’ ไว้โชว์กันแบบยุคปัจจุบันนะ เพราะฉะนั้นวัยรุ่นยุคนั้น ‘ต้อง’ แต่งตัวเป็น หน้าตาดีจริง เท่ห์จริง ยิ่งถ้าใคร ‘เท่ห์’ นี่เรียกว่าดังเลย ไอ้ความเท่ห์มันจะมาจากความสามารถ เช่น เล่นกีตาร์เก่ง เล่นสเก็ตเก่ง เป็นต้น ไม่ใช่รวยอย่างเดียวแล้วสาวจะกรี๊ดได้ (ยิ่งเล่า เหมือนยิ่งแก่ 555+) นี่ถ้ามีใครมาต่อชื่อร้านตัว M นั่นได้ เหมือนหลงกลมาบอกอายุเลยนะ

รู้สึกว่าที่ร้านนั้นจะขายพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย สมัยนั้นตำรวจไม่เข้มงวดเหมือนสมัยนี้ พวกเหล้า เบียร์ บุหรี่ มีขายตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำกัดอายุคนซื้อด้วย ฉันเคยเห็นเด็กผู้ชาย อายุคงประมาณ 10-13 ปี นั่งสูบบุหรี่กับกลุ่มรุ่นพี่ น่าจะทำตามรุ่นพี่มากกว่า ร้าน M นั่น ถึงจะไม่จำกัดอายุคนเข้า แต่เด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ถ้าไม่มีรุ่นพี่พาเข้าไปนั่ง ก็ไม่มีใครใจกล้าเข้าไปอยู่ดี เพราะสังคมวัยรุ่นสมัยก่อนรุนแรงนะ เหลือบตามองหน้ากันนิดเดียวก็เป็นเรื่องแล้ว เดินคนเดียว...ถ้าเป็นผู้ชายนะ พวกอื่นเค้าก็จะมองหน้ากัน แล้วตั้งคำถามว่า

“ไอ้นี่แน่มาจากไหน ถึงได้กล้าเดินคนเดียว!”

สักพักจะเกิดการหาเรื่องกันเกิดขึ้น ไม่ต้องเดินคนเดียวก็ได้ ถ้ามากันเป็นกลุ่ม เดี๋ยวกลุ่มนั้นหมั่นไส้กลุ่มนี้ กลุ่มนี้ไม่พอใจกลุ่มนั้น แค่เดินเฉียดกันก็หาเรื่องกันได้แล้ว ในห้างฯ...ตีกันบ่อยมาก และ...ตีกันรุนแรงด้วย ซึ่งโซนที่พวกวัยรุ่นเก๋าๆ ชอบไปรวมตัวกัน ก็คือโซนที่มีเกมส์คอมพิวเตอร์ รถบั๊ม ถ้าพูดถึง...ตอนนี้จะมีคนรู้จักอยู่มั๊ย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องราววันนั้น...อันเป็นจุดไคลแมกซ์ของเรื่องนี้ ตั้งแต่นั้นมาฉันก็ปิดกั้นความจริงทุกสิ่งปวง ไม่สนใจโลกที่เปลี่ยน...ว่ามันไปถึงไหนแล้ว จึงไม่ทราบว่าไอ้เจ้ารถบั๊มนี่ มันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกโซนนั้นแหละ ที่เรียกได้ว่า ‘โซนอันตราย’ ผู้ปกครองที่พาลูกหลานมาเที่ยวห้างฯ จะไม่พาเด็กมาโซนนี้ และโซนนี้จะอยู่โซนด้านหลัง

ฉันก็ไม่กล้าเข้าไปใน ‘ดง’ นั้นหรอก ตอนนั้นอายุแค่ 13 เอง กลัวสิ...แค่เดินเฉียดๆ ให้รู้ว่ามันเป็นยังไงก็พอแล้ว

ฉันโดดเรียนมาเที่ยวทุกอาทิตย์...ไม่มีใครมาด้วยหรอก เพราะฉันไม่มีเพื่อน ฉันจึงเดินเตร่อยู่คนเดียว เข้าร้านนั้น ออกร้านนี้ จนหนำใจ แล้วก็ต่อรถกลับบ้าน เงินที่พ่อแม่ให้ไปเรียนในระหว่างวันจันทร์-ศุกร์ วันละ 200 บาท ถือว่ามากเวอร์ๆ นะ สำหรับเด็ก ม.1 ฉันก็ใช้แค่วันละ 50 บาท นอกนั้นเก็บไว้ เพื่อจะเอามาเที่ยวทีเดียวในวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งถือเป็นจำนวนเงินที่มากเกินเด็กอายุ 13 แต่พ่อบอกแม่ว่า

“ให้ๆ มันไปเถอะ มันจะได้ไม่อายใคร เวลาที่เพื่อนถามว่าพ่อแม่ให้เงินมาเรียนเท่าไร” พ่อคิดผิดมาก...ฉันเห็นใจอุดมคติของพ่อในข้อนี้นะ พ่อเคยจนมาก่อน ตอนพ่อเป็นเด็กไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ เป็นลูกคนโตต้องทำไร่ ไถนา เพื่อเลี้ยงน้องๆ อีก 4 คน พ่อไม่มีโอกาสได้ของเล่น อย่างที่เด็กทั่วไปควรได้ เสื้อผ้าก็ขาดแล้วขาดอีก พอร่ำรวยขึ้นมา พ่อจึงทุ่มทุกอย่างให้ลูก...---ด้วยเงิน--- และข้าวของต่างๆ ที่พ่อไม่เคยได้รับในวัยเยาว์ พ่อ ‘ให้’ จนฉันไม่เคยเห็นคุณค่าของสิ่งของ เมื่อไรที่ฉันอาละวาด ฉันจะทำลายข้าวของสารพัด เกมส์บอย ซาวน์เบาท์ ฉันเคยปาลงพื้น พังไปหลายอันแล้ว เพราะทราบดีว่าเมื่อไรที่สถานการณ์ดีขึ้น ฉันก็จะได้อันใหม่!

มาวันนี้...ฉันร้องไห้แทบขาดใจทุกครั้ง เมื่อนึกถึงสิ่งที่เคยทำกับพ่อแม่ในตอนนั้น ถึงแม้หลายครั้งที่ไปขอโทษพวกเค้าแล้วร้องไห้ พวกเค้าจะบอกว่าไม่เป็นไรก็เถอะ สิ่งเหล่านั้นมันเหมือนตราบาปติดตัว ซึ่ง...ชาตินี้ฉันไม่มีวันให้อภัยตัวฉันเอง!

ด้วยความที่เคยได้แต่เงิน และสิ่งของ ฉันจึงเป็นพวกโหยหาความรู้สึกทางด้านจิตใจอย่างรุนแรง จนเหมือนเป็นพวกขาดความรัก พอมาเจอกับ ‘เขา’ ฉันจึงติดเขางอมแงม เรื่องระหว่างฉันกับเขา มันคือโศกนาฎกรรมความรู้สึก ที่เหมือนมีดกรีดหัวใจฉันจนยับเยิน แหลกสลาย กลายเป็นฉันในแบบทุกวันนี้ ซึ่งจะเล่าให้ฟังเมื่อถึงเวลา ตอนนี้กำลังสนุกกับการรำลึกถึงชีวิตช่วง ม.1 อยู่

RA-EL

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่