สุสานทุ่งทองกวาว (ตอนที่ 3)

กระทู้สนทนา
สุสานทุ่งทองกวาว บทนำ/ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30396148
สุสานทุ่งทองกวาว ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/30396533

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฉันรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เมื่อทราบว่าจะได้ออกไปเรียนต่อที่อื่นแล้ว หลังจากที่จบ ม.3 จากโรงเรียนรัฐบาลชื่อดังในเชียงใหม่ เพราะนั่นเท่ากับว่า ฉันจะได้ไม่ต้องอยู่หอพักพยาบาลกับแม่นกอีก และฉันจะเป็นอิสระมากขึ้น แต่ไม่เลย…

พ่อวานให้แม่นกจัดการหาโรงเรียนใหม่ให้ฉัน ตอนนั้นแม่นกจัดการให้ด้วยอารมณ์ที่ไม่พอใจลึกๆ เนื่องจากหัวเด็ดตี.นขาดยังไงฉันก็ไม่ยอมเรียนสายวิทย์-คณิต มันทำให้ความฝันของแม่นกพังทลายไปต่อหน้า และครอบครัวของฉันก็เริ่มห่างเหินจากครอบครัวของแม่นกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะแม่นกโกรธ และเมื่อไรที่แม่นกโกรธ แม่นกจะตัดขาดจากคนๆ นั้นทันที เค้าจะมีนิสัยประมาณว่าทุกคนต้องตามใจเค้าคนเดียว แม้แต่พ่อแม่ฉันก็เคยโดนแม่นกว๊ากใส่จนเงียบหลายครั้งแล้ว ก็อย่างที่บอก...พ่อแม่ยอมแม่นกเสมอ เพราะเห็นว่าเค้ามีการศึกษาสูงกว่า ทำหือใส่ไม่ได้

แม่นกติดต่อโรงเรียนเอกชนหญิงล้วน ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากพอสมควร ซึ่งตอนนี้โรงเรียนนั้นไม่มีแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นโรงเรียนที่ค่อนข้าง ‘คุณหนู’ เอาการ แต่อาจจะเพราะมันไกลจากตัวเมืองจนเกินไป ไม่สะดวกต่อผู้ปกครองที่จะรับ-ส่ง ฉันได้ยินมาว่าผู้อำนวยการตัดสินใจปิดโรงเรียน และมาเปิดใหม่ในตัวเมือง แต่...ก็ช่างมันเถอะ! ชีวิตฉันไม่ได้ผูกพันอะไรมากมายกับโรงเรียนอยู่แล้ว ทุกคนอยากไปโรงเรียนเพราะได้เจอเพื่อน หรืออาจจะเพราะได้เจอคนที่แอบ ‘ปิ๊ง’ แต่สำหรับฉัน การไปโรงเรียนแต่ละครั้ง มันเหมือน---เหมือนกับว่าไปเพราะพ่อแม่อยากให้ไปเท่านั้น เพื่อนหรือ---ฉันก็ไม่มีใครที่เรียกได้ว่าเพื่อนอย่างจริงจัง อาจจะมี ก็แค่ทักทายผ่านๆ คุยกันไปงั้นๆ

โรงเรียนนี้เป็นที่น่าพอใจสำหรับพ่อกับแม่ฉันมาก พ่อฉันยอมวางเงินแรกเข้าจำนวนหลายหมื่น เพื่อที่จะให้ลูกได้รับการศึกษา สิ่งเดียวที่เค้าคิดว่าเป็นเครื่องการันตีคุณค่าของคน ฉันรู้สึกผิดไม่น้อยนะ...ที่ทุกวันนี้ฉันกลายเป็นแบบนี้ พ่อแม่หมดเงินกับฉันไปมากจริงๆ หมด...แบบไม่ได้อะไรคืนมาด้วย แม้แต่ใบปริญญาที่เค้าคาดหวังว่าจะได้เห็นจากลูก เค้าก็ยังไม่ได้เห็นสักที จนตั้งแต่ฉันอายุ 20 ขึ้นไปนั่นแหละ ที่เค้าคงเบื่อหน่าย และทำใจได้กับสิ่งที่ฉันเป็น ทุกวันนี้เค้าก็ไม่ค่อยมายุ่งกับชีวิตของฉันเท่าไรแล้ว ให้แต่เงินเหมือนเคย ก็คนเป็นพ่อแม่...จะทิ้งลูกให้ลอยทะเลได้ไง ยิ่งความรักของคนเป็นพ่อแม่ ที่คิดว่าการที่ลูกได้อยู่กินอย่างสบาย คือสิ่งที่ประเสริฐสุดสำหรับความรักด้วยแล้ว เค้าก็จะให้แต่เงินอยู่วันยังค่ำ และมันก็ป่วยการที่ฉันจะปรารถนาความเข้าใจจากเค้า หรือ---ถึงแม้เค้าให้ได้ ฉันก็ไม่ต้องการมันอีกต่อไป ความรู้สึกมันนาน...ที่ถ้าหากนับเป็นระยะทางมันคงไกล---ไกลจนเหลียวหลังมองเส้นทางที่ข้ามผ่าน ก็พบแต่ความว่างเปล่าเสียแล้ว มัน---‘เกินจะเยียวยา!’---

ถึงตอนนี้ฉันจะโตจนเข้าใจอะไรๆ ในความหวังดีแบบผิดๆ ของพ่อแม่แล้วก็เถอะ เข้าใจว่าถึงยังไงก็คือความหวังดีวันยังค่ำ เวลานี้ฉันย้ายออกมาอยู่คนเดียวแล้ว นานๆ ทีได้เจอหน้าพ่อกับแม่ เค้าไม่ค่อยยุ่งกับฉันเท่าไร และฉันก็ไม่ค่อยยุ่งกับเค้าด้วย ถึงแม้จะคุยกันพอรู้เรื่อง ---บ้าง--- แล้วก็เถอะ ถ้าฉันรวยเมื่อไรนะ ฉันจะส่งเงินคืนพ่อกับแม่ให้เยอะๆ เลย ถึงเค้าจะบอกว่าไม่ต้องการสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เค้าต้องการคืออยากให้ฉันกลับไปอยู่บ้านกับเค้า ซึ่งนั่นเป็นเรื่องคอขาดบาดตายสำหรับฉันมาก ฉันให้ไม่ได้จริงๆ อะไรที่ทำให้ฉันต่อต้านพ่อแม่ถึงเพียงนี้ มันมีที่มา---ที่มานั้นคือโศกนาฎกรรมที่สะเทือนใจมหันต์ จนแววตาที่ ‘ห่างเหิน’ เมื่อมองพวกเค้าอยู่เป็นทุนเดิม แปรเปลี่ยนเป็นปรปักษ์อยู่พักใหญ่

โรงเรียนใหม่ของฉันอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองไม่พอ ทางเข้าสู่โรงเรียนนั้นก็ทอดยาวลึก สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นสนสูง การจราจรเรียกว่าไม่ติดขัดเลย พ่อของฉันอมยิ้ม ปากก็ชมไม่ขาดไปตลอดทั้งระยะทางที่ขับรถส่งฉันเข้าเรียนพิเศษภาคฤดูร้อนในวันแรก ซึ่งโรงเรียนนี้เค้าเปิดให้มีการสอนพิเศษเพื่อเตรียมเปิดเทอม และแน่นอนว่าพ่อฉันก็ไม่พลาดที่จะใช้สิทธิ์นั้น

“ดีๆ แบบนี้แหละจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมาก” ที่เค้าพูดแบบนี้ เพราะก่อนหน้านี้วีรกรรมฉันเยอะมาก เกี่ยวกับการโดดเรียนออกไปเที่ยว ฉันไม่ ‘อาจหาญ’ โดดเรียนในวันเรียนหลักอย่าง จันทร์-ศุกร์ หรอก แต่ฉันเคยโดดเรียนตอนเรียนพิเศษ เสาร์-อาทิตย์ ที่โรงเรียนกวดวิชาในตัวเมืองลำพูน ตอนช่วง ป.4 – ป. 6 ฉันเรียนพิเศษที่เชียงใหม่ในวันเสาร์ – อาทิตย์ อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ส่วนตอน ม.1 ฉันสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดลำพูนไม่ได้ พ่อเลยจำต้องเอาฉันไปเข้าโรงเรียนเอกชนในตัวเมืองลำพูน และช่วงตอน ม.1 นั่นแหละ ที่เสาร์-อาทิตย์ ฉันต้องได้ไปเรียนพิเศษในโรงเรียนกวดวิชาในตัวเมือง ส่วนตอน ม.2 – ม.3 แม่นกจัดการเอาฉันมาอยู่ด้วยที่เชียงใหม่ให้ได้ๆ โดยการใช้เส้นสาย ‘ยัด’ ฉันเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาลชื่อดัง ฉันไม่ขอเอ่ยชื่อโรงเรียนสักแห่งนะ รวมทั้งชื่อโรงเรียนกวดวิชาด้วย เดี๋ยวจะมีปัญหาอีก

ช่วงตอนที่เรียนอยู่ที่ จ. ลำพูน ตอน ม.1 ฉันก็เป็นพวกที่ไม่ค่อยมีเพื่อนนั่นแหละ และฉันก็ทราบดีด้วยว่าคนในห้องไม่ค่อยชอบฉันเท่าไรนัก พวกเค้าบอกว่าลักษณะการพูดของฉันมัน ‘แปลกๆ’ อาจจะเพราะเวลาที่ฉันอยู่กับพ่อแม่ จะพูดอะไร จะทำอะไร ก็กลัวการถูกต่อว่าหมด จำได้ว่าตอนประมาณ ป.1 ฉันไม่รู้จักว่าโรงแรมม่านรูดคืออะไร เห็นพวกเด็กผู้ชายซนๆ พูดถึงอย่างขบขัน ฉันจึงไปถามพ่อ ตอนนั้นฉันไม่เดียงสาจริงๆ ผลปรากฏว่าฉันโดนด่า พ่อด่าว่าฉันแก่แดด ไปเอามาจากไหน สรรหาแต่สิ่งเลวๆ ตอนนั้นฉันเครียดมากที่อยู่ๆ ก็โดนด่าไม่มีปี่มีขลุ่ย อีกวันพ่อฉันไปเอาเรื่องครูที่โรงเรียน โดยที่ลงความเห็นว่าฉันไปเอาคำนี้มาจากโรงเรียนแน่นอน ทำไมครูถึงปล่อยให้เด็กมันพูดถึงสถานที่แบบนี้! คือแต่ก่อนถ้าใครพูดถึงโรงแรมม่านรูด มันหมายถึงสถานที่ๆ ไม่ดี มันเป็นที่ๆ คนเค้าพากันไปเสพย์กามารมณ์ ยิ่งในแง่ที่พ่อฉันมองด้วยแล้ว ต้องเติมคำว่า ‘เท่านั้น’ หลัง ‘กามารมณ์’ ไปด้วย ซึ่งจริงๆ แล้วคนที่เข้าไปใช้บริการม่านรูด บางคนก็อาจจะแค่เหนื่อยจากการเดินทาง แล้วไปพักอาศัยอยู่แค่นั้น แต่ส่วนใหญ่ก็พากันไปทำภารกิจอย่างว่านั่นแหละ และสมัยนั้น ตามโรงแรมม่านรูดมักจะมีหญิงบริการไว้ด้วย

คุณครูก็อารมณ์เสียที่โดนผู้ปกครองด่า จึงมาลงที่นักเรียนในห้อง พวกเพื่อนในห้องมองฉันว่าเป็นคนขี้ฟ้อง และเพื่อนผู้ชายกลุ่มที่พูดถึงโรงแรมม่านรูด แกล้งฉันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พวกเขาดึงผมฉันบ้าง จับไส้เดือนมาปล่อยฉันบ้าง เพราะเขารู้ว่าฉันกลัวพวกหนอน ไส้เดือนจนขีดสุด เมื่อฉันลุกขึ้นกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ก็กลายเป็นที่ตลกโป๊กฮาของพวกเขา แต่นั่นมันก็คือเด็กแหละนะ ตอนนี้ฉันเจอพวกเพื่อนผู้ชายกลุ่มนี้อีก ในวัยที่เลย 25 ขึ้นมาแล้วทุกคน ฉันเล่าเรื่องที่พวกเขาเคยแกล้งฉันให้ฟังด้วยอารมณ์ขันๆ พวกเขาทำหน้าซีเรียสแล้วถามฉันว่า

“เราเคยทำอะไรเลวๆ แบบนั้นกับผู้หญิงด้วยหรอ?” ฉันจึงหัวเราะแบบไม่เอาเรื่อง

“นายจำไม่ได้แล้วมั้ง เด็กมากแล้ว”  

แล้วตั้งแต่ไอ้เรื่องโรงแรมม่านรูดนั่นแหละ ฉันจึงขยาดกับการตั้งคำถามกับพ่อ เวลามีปัญหาสงสัยอะไรก็เก็บงำไว้ แล้วไปถามคนอื่นบ้าง พวกคุณที่ผ่านวัยเด็กมาจะทราบดีว่าช่วงประถมฯ ต้นนั้น เราจะมีเครื่องหมายคำถามเยอะมาก เพราะเป็นวัยที่เพิ่งจะ ‘เริ่ม’ ได้เห็นโลก หลังจากการอนุบาลเสร็จสิ้นลง เด็กวัยนี้จึงมักขี้สงสัย ถามนั่น ถามนี่ และ...ใครก็แล้วแต่ที่กำลังมีลูกอยู่ในวัยนี้ หรือกำลังจะมี ฉันขอบอกไว้เลยนะว่าอย่าตวาดใส่แก แม้แต่คำว่า ‘รำคาญ’ ก็เถอะ คุณอย่านึกนะว่าเด็กไม่รู้เรื่อง ในทางกลับกัน วัยเด็กกลับเป็นวัยที่ควรระวังมากที่สุด เพราะมันคือวัยปลูกฝัง ‘สั.นดา.น’ ขอใช้คำตรงๆ นะคะ เพื่อให้มันจบทีเดียว ไม่ต้องอ้อมค้อม มันเป็นวัยที่ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกเค้าจะจำไปจนวันตาย การเรียนรู้ของพวกเค้าจะไวมากในช่วงเวลานี้ จะพูดอะไร บอกอะไร ให้กระทำด้วยความอ่อนโยน แล้วเค้าจะติดนิสัยอ่อนโยนนั้น จากพ่อแม่ของเขาเอง มันคงเป็นไปไม่ได้ที่คุณตีลูก ด่าลูก แล้วลูกคุณจะกลายเป็นเด็กเรียบร้อย อ่อนหวาน น่ารัก เค้าอาจจะดูเรียบร้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ เพราะกลัวการถูกดุ ด่า แต่จริงๆ แล้วในใจไม่ใช่เลย ดูดีๆ ว่าเด็กที่ก่อปัญหาสังคมทุกวันนี้ มักจะมาจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงทั้งสิ้น

และด้วยความที่มีปัญหาคาใจอะไรไม่กล้าถามใครนั่นแหละ ฉันจึงติดนิสัยแบบนั้นจนโต เมื่อพบปะกับสังคมใหม่ หรือเพื่อนใหม่ ฉันมักจะไม่กล้าถาม หรือพูดอะไร เพราะกลัวว่าพวกเค้าจะไม่พอใจในคำพูดเหล่านั้น มันจึง ‘แปลกๆ’ อย่างที่เพื่อนในวัยเรียนฉันบอกนั่นแหละ คือฉันระแวดระวังจนเกินไป จนคนอื่นเค้าสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ฉันจึงหลีกเลี่ยงเสมอที่จะพบปะสังสรรค์ เวลาทานอาหารกลางวัน ฉันก็ทานคนเดียวที่โรงอาหาร ยังจำได้ว่าเวลามีงานรื่นเริงในโรงเรียน อาทิเช่น งานขึ้นปีใหม่ ฉันจะปลีกตัวออกห่างจากห้องที่ทั้งโต๊ะเรียน และเก้าอี้ ถูกโล๊ะไปกองที่เดียวกัน ส่วนตรงกลางก็มีน้ำส้ม ขนมหวาน ที่แต่ละคนเอามาจากบ้าน กินเลี้ยงกันตามประสาเด็กๆ ฉันออกมาจากกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะฉันทำตัวไม่ถูกเวลาจะพูดกับใคร ยิ่งกับคนที่ฉันรู้ว่าเขาไม่ชอบหน้าฉันแล้ว ฉันเป็นคนที่มีความรู้สึกรุนแรงมาก ต่อบุคคลอื่น ฉันจะทราบได้ในทันทีว่าคนนั้นไว้ใจได้หรือไม่ เขารู้สึกอย่างไรกับเรา เขาพอใจกับคำพูดของเรามั๊ย และก็ไม่เข้าใจอยู่หลายอย่างที่ว่า ทำไมใครๆ ก็ไม่ค่อยชอบฉันเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้ไปทำอะไรให้พวกเขาเลย ยิ่งพวกเขารู้ว่าฉันมาจากโรงเรียนที่ค่าเทอมแพงสุดในละแวกนั้นด้วยแล้ว ก็ยิ่งเหมือนจะถูกหมั่นไส้หนักเข้าไปอีก พวกเพื่อนผู้ชายในห้องชอบแกล้งฉันด้วยการล่วงละเมิด อาจจะเพราะฉันดูโตเป็นสาวกว่าพวกเพื่อนรุ่นเดียวกัน ฉันจึงเกลียดการไปเรียนชั้น ม.1 ที่นั่น จนเปิดปากบอกพ่อว่าอยากย้ายโรงเรียน และหาข้ออ้างสารพัด ช่วงนั้นแม่นกเข้ามามีบทบาทในครอบครัวของฉันอีกครั้ง จึงเอาฉันไปเรียนต่อ ม.2 ที่เชียงใหม่ได้สำเร็จ

RA-EL

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่