สุสานทุ่งทองกวาว (ตอนที่ 2)

กระทู้สนทนา
สุสานทุ่งทองกวาว บทนำ/ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/30396148

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แม่นกอยากให้ลูกๆ ทุกคนเรียนสายวิทย์-คณิตกันหมด เพราะเค้าอยากให้ฉันเป็นเภสัชกร และลูกอีกสองคนของเค้าอยากให้เป็นหมอผ่าตัด หมอฟัน อะไรทำนองนี้แหละ ฉันจำคำพูดนั้นได้ไม่ถนัดนัก แต่ที่แน่ๆ ทำงานอยู่ในแวดวงการแพทย์ เป็นสิ่งที่เค้าต้องการ อาจจะด้วยความที่แม่นกเป็นหมอไม่ได้ เลยมาหวังกับลูกๆ เช่นนี้ บทสรุปคือการบังคับเรียนอย่างสาหัส ฉันเองเป็นคนดื้อเงียบ และค่อนข้างจะเก็บกดความกดดันทั้งปวงตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็แล้วแต่เถอะ โดยเฉพาะความกดดันจากพ่อแม่ ฉันลงที่ไหนไม่ได้ ก็จะเก็บตัวอยู่ในห้อง แล้วเอาปากกามาขีดแรงๆ ในสมุดจนมันขาดไม่เป็นชิ้นดี ฉันต่อต้านการเรียนตั้งแต่เด็กเลย ไม่รู้ว่าเพราะเบื่อที่พ่อแม่กดดันเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก หรือว่าเพราะฉันมันไม่ดีเอง การแสดงออกของพ่อแม่ โดยเฉพาะพ่อ ค่อนข้างจะรุนแรงน่าดู ไม่ใช่เรียกไปแล้วเอาไม้เรียวฟาดนะ แต่จำได้เคยโดนรองเท้าปาใส่ โดนตะโกนด่าเสียงดังใส่หน้า ส่วนฉัน...เก็บตัวอยู่แต่ในห้องแล้วร้องไห้ ไม่ใช่แค่เรื่องเรียนอย่างเดียวที่มักจะทำให้เกิดปัญหา แต่อีกหลายเรื่องที่ในบางทีไม่น่าจะมาด่ากันแรงๆ พ่อฉันก็ด่าฉันได้ เพราะเค้าคิดว่าการด่ามันจะทำให้ลูกได้ดี และจนถึงตอนนี้ เค้าก็ยังคิดว่าเค้าเลี้ยงลูกแบบนี้ มันถูกต้องเสมอมา คนเป็นลูกมันพูดอะไรไม่ได้หรอก ถ้าเกิดทำหือก็ ‘อีลูกทรพี’ เพราะพ่อแม่ถูกเสมอ เค้ามีอภิสิทธิ์ในการให้เหตุผลที่ว่า ‘กูอยากให้ได้ดี เลยทำแบบนี้’ ได้ โดยที่สังคมไม่มีข้อกังขาใดๆ ทั้งนั้น ญาติฉันคนหนึ่งเคยพูดว่า

“พ่อแม่ทำอะไรอย่าโกรธ” ฉันสวนทันควันว่า

“ถ้าลุกขึ้นมาตบลูกก็ไม่ต้องโกรธหรอ?”

“ใช่...เพราะเค้าอยากให้เราได้ดี เค้าหวังดี” คำกล่าวทำนองนี้มันหากินได้จนถึงปัจจุบัน...มันเป็นคำกล่าวที่คนเป็นพ่อแม่จะทำอะไรก็ได้กับลูก โดยที่ยังไงๆ ลูกก็ผิดอยู่วันยังค่ำ แต่สำหรับฉันกลับคิดว่าการกระทำรุนแรงกับลูกทั้งการด่า ทุบ ตี หรือ ซ้อม ไม่ใช่เพราะว่าเขารัก หรืออยากให้ลูกได้ดีหรอก เขาทำเพราะเราไม่ได้ดั่งใจเขามากกว่า เขาทำเพราะว่าเราดื้อกับเขา ซึ่งมันก็ไม่ต่างจากเหตุผลที่ว่า เราทำตามใจเขาไม่ได้ เขาจึงลงมือทำแบบนั้น มากกว่าหวังดี...แน่นอนว่าใครก็ตามที่อ่านเรื่องนี้ ต้องกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าฉันอกตัญญู เขียนถึงพ่อแม่แบบนี้ได้ไง!

ด้วยความที่พ่อกับแม่อยากให้ฉันเรียนจบปริญญา และคิดว่าใบปริญญามันคือสิ่งเดียวที่วัดค่าของคน เค้ามักจะบังคับให้อ่านหนังสือมากๆ โดยที่เค้าคิดว่าการอ่านหนังสือเรียนเท่านั้นจะทำให้คนฉลาด เชื่อมั๊ยตอนเป็นเด็กฉันอ่านหนังสือการ์ตูน หรือนิยาย จะโดนด่าทันที

“ข้อสอบมันออกแบบนี้หรอ!?!” ก่อนที่พ่อจะแย่งหนังสือไปแล้วเอาปาทิ้งต่อหน้า เค้าคิดว่านิตยสาร หรือหนังสือต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียน มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย และแม้แต่ทีวีเค้าก็ไม่ให้ฉันดูละครหลังข่าว จะมีก็บางเรื่องที่แม่ฉันติด ฉันเลยมีโอกาสได้ไปนั่งดูด้วย
สิ่งที่พ่อแม่ให้ได้ และกรอกหูเสมอนั่นคือ ‘เงิน’ และสิ่งของทุกชนิดที่ใช้เงินซื้อ

“กูหมดเงินกับไปเท่าไรแล้ว อยากได้อะไรกูก็ซื้อให้ มีใครเค้าได้แบบบ้าง ที่เป็นแบบนี้มันไม่รักดีเอง!” ประโยคบทนี้ฉันได้ยินจนไม่รู้จะชินดีมั๊ย ทั้งๆ ที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก มันเป็นประโยคเดียวที่ฉันต้องเงียบ เพราะสิ่งของที่พ่อแม่ให้ฉันมานั้นมันมากมายจริงๆ โดยความคิดที่ว่า

“จะได้ไม่ต้องน้อยหน้าใคร” พ่อฉันพูดให้ฟังประจำ พ่อเค้าคิดเสมอว่าความรู้สึกของคนเป็นเรื่องเล็กน้อย การให้ของที่ถูกใจจะกลบล้างความรู้สึกได้ มันก็เลยกลับกลายเป็นว่า เวลาที่ฉันมีปัญหากับพ่อ พ่อจะกระทำรุนแรงแบบใดก็ได้ตามที่พ่อต้องการ แต่พอพ่ออารมณ์เย็นแล้ว พ่อก็มักจะง้อโดยการซื้อของให้ เป็นประจำ ซ้ำๆ กันแบบนั้นตลอดมา ฉันก็ทราบว่านั่นคือการแสดงออกของความรัก พ่อกับแม่แสดงออกได้โดยวิธีนั้นแค่วิธีเดียวจริงๆ มันจึงป่วยการที่จะต้องมานั่งจับเข่าคุยกันดีๆ เพราะคุยกันทีไรไม่ถึง 10 นาทีหรอก เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน เคยมีครั้งหนึ่งฉันทนไม่ไหว ถามพ่อไปตรงๆ ว่า

“พ่อคิดว่าพ่อเลี้ยงลูกแบบกดดันมั๊ย?” บทสรุปคือพ่อร้องไห้ แล้วแม่ก็ขึ้นมาโวยวาย

“ไปเรียนหนังสืออีท่าไหน เดี๋ยวกูจะไปคุยกับครูของ” แล้วอีกวันแม่ก็ไปเล่าให้ครูที่โรงเรียนฟัง เรื่องมันเลยไปกันใหญ่ ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นตัวปัญหาตั้งแต่วินาทีนั้น และฉันไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องเอาปัญหาครอบครัวไปปรึกษาคนอื่น คล้ายกับจะเอาฉันไปประจาน และคล้ายกับจะตำหนิครูทางอ้อมว่า ‘เลี้ยงลูกของฉันยังไงให้เป็นแบบนี้!’ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันไม่เคยเล่าให้พ่อแม่ฉันฟังเลย และไม่เคยเล่าให้เพื่อน หรือใครฟังด้วย ทางออกคือการเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง และสร้างกำแพงโอบล้อมตนเองไว้หนาแน่นกับบุพการี เชื่อมั๊ยว่าฉันเป็นพวกไม่สู้กับสังคมตั้งแต่เด็กๆ และฉันมักจะเป็นพวกเข้ากับสังคมได้ยาก ตอนเป็นเด็กแม่ฉันไม่พอใจที่ฉันไปเล่นกับเด็กๆ แถวบ้านสักเท่าไร แม่ไม่ชอบให้ไปเล่นกับคนอื่น เพราะแม่คิดว่า ‘เด็กพวกนั้น’ จะพาไปซน และจะพาไปทำอะไรที่มันไม่ดี

ความรู้สึกที่ ‘หลุด’ เกินมนุษย์มนามันจึงเกิดขึ้นในภวังค์ที่ฉันตกอยู่ในห้องเพียงลำพัง ฉันเริ่มฟังเพลงแปลกๆ ตั้งแต่อายุไม่ถึง 10 ขวบ มันคงจะเริ่มธรรมดาขึ้นมาบ้างสำหรับเพลงจำพวก Up ในสมัยนี้ แต่สำหรับสมัยนั้นมันแปลก...แปลกจนกระทั่งว่า ‘เพลงห่าไรก็ไม่รู้ ไม่มีคนร้อง!’ ตอนนั้นฉันฟังโดยที่มัน ‘เข้าหู’ เท่านั้น และไอ้ความที่มันเข้าหูเนี่ยแหละ มันทำให้ฉันกลายเป็นบุคคลประหลาดสำหรับเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ตอนนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าเพลงพวกนี้เค้าใช้ในปาร์ตี้อัพยากัน จากที่ไม่ค่อยมีเพื่อนเล่นอยู่แล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ ฉันโดนคนอื่นกีดกันให้อยู่คนเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าฉันหัวสูง ฟังเพลงฝรั่ง ทำตัวไม่เหมือนคนอื่น คุยกับเพื่อนก็ไม่รู้เรื่อง กลับบ้านไปก็ไม่มีใครเข้าใจ ฉันก็เลยเลือกที่จะเก็บตัวเงียบแบบนั้นเสมอมา จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังเป็นแบบนั้น ถึงแม้ตอนนี้จะมีเพื่อนขึ้นมาบ้างก็เถอะ

RA-EL

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่