บทที่ 1 แหวนศักดิ์สิทธิ์กับภูตวิหค
http://pantip.com/topic/30132632
บทที่ 2 ลักพาตัว
ฟาลเนียลืมตาขึ้นท่ามกลางสุสานร้างบริเวณชานเมือง ความรู้สึกชนิดอื่นมีอิทธิพลน้อยกว่าความมึนงงในขณะนี้
“ฟื้นแล้วหรือ?”
ได้ยินกระแสเสียงนกดำเกาะอยู่บนแผ่นหินสีเทาคุมปรกด้วยมอสเขียวครึ้ม จนมองไม่เห็นชื่อสลักของเจ้าของร่างในหลุมฝังศพ
“กลิ่นความตายช่วยให้ข้าฟื้นพลัง สุสานร้างเป็นจุดพำนักที่ดี” นกกระซิบบอกผ่านความคิดเธอ
“ทว่าพระอาทิตย์เริ่มสว่างแล้ว ได้เวลา..”
“เดี๋ยวก่อน” องค์หญิงโพล่งตัดบท “เจ้าเป็นใครกันแน่ เกิดอะไรขึ้น จำได้เลือนลางว่ามีนกสีขาวนำแหวนมาให้ข้า ลักษณะคือนกตัวเดียวกัน เพียงแต่ขนของเจ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ”
“ถูกแล้ว ขนของข้ากลับเป็นดำเพราะมนตร์ขาวคลายลง”
“พูดอะไรไม่เข้าใจ แล้วนี่ข้ามาอยู่ที่สุสานได้ยังไง หรือข้าตายไปแล้ว!” หล่อนหน้าถอดสี
“องค์หญิงยังมีลมหายใจและชีวิตสมบูรณ์ครบถ้วน” วิหกลึกลับกล่าวยืนยัน แล้วบินมาเกาะไหล่ขององค์หญิงพร้อมกับชี้นำว่า “เดินตามทางหินขรุขระทอดยาวเรื่อยไป จะพบทางเดินหลักนำท่านสู่ใจกลางมหานครกลามีธีส ใครคนหนึ่งกำลังรอท่านอยู่” มันทิ้งปริศนาเอาไว้ให้องค์หญิงขบคิดแล้วบินจากไป
เดินเรื่อยไปตามทางเล็กๆทอดยาวจากสุสานร้างเป็นเนินเขาลงไปบรรจบกับถนนใหญ่สู่ใจกลางนครกลามีธีส ภายในมหานครแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งตลาดที่มีการกางกระโจมปูเสื่อขายของสารพันชนิดกับฝั่งคือสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างอันวิจิตรงามงด
เดินสวนกับนักบวชชุดดำรูปหนึ่ง ถือคัมภีร์เล่มโตมุ่งหน้าไปเพื่อทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ยังวิหารทวยเทพขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลาง ก่อสร้างขึ้นเป็นอาคารสองชั้นมีเสาใหญ่สลักลายวิจิตรสวยสมบูรณ์โดดเด่น หน้าอาคารเป็นรูปแกะสลักของเทพีมหานครอันเต็มไปด้วยสถาปติยกรรมอันงดงาม วิจิตรตระการตาราวกับเทพนิมิตสร้าง รูปปั้นทวยเทพที่ปรากฏตามสถานที่สำคัญต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาและความเคารพยำเกรงต่อเทพเจ้าที่ฝัง ลึกอยู่ในความเชื่อของผู้คนในกลามีธีส
เดินเรื่อยมาจนพบตลาดกลางแจ้งยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา มีร้านค้าขึ้นเรียงรายตลอดแนว จำหนายสินค้ามากมายของพื้นๆตั้งแต่ผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง ใบชามีกลิ่นหอมหลายชนิดให้เลือก ดอกไม้สดและแห้ง เครื่องหอม สมุนไพร ยาเส้น ขนมหวานเริศรส ไปจนถึงของแปลกหายากเช่น ไข่มังกรที่กลายเป็นหิน ขนหางของนกฟินิกซ์ เขา และขนของยูนิคอน เกล็ดของเงือก และสิ่งของหลายหลากชนิดที่เกี่ยวโยงกับเวทย์มนต์
พ่อค้าวานิชต่างพากันนำเสนอสิ่งของแปลกตาแก่ผู้มุงดูสินค้าพร้อมกับแข่งกัน ต่อรองราคาให้ได้ถูกที่สุด เสียงฝีเท้าม้าและผู้คนสัญจรผ่านไปมา คือสัญญาณของความเคลื่อนไหวแลกเปลี่ยนตลอดเวลา ภายในนครแห่งเทวสถานและการค้าขาย
เป็นครั้งแรกที่เจ้าหญิงเดินตามลำพังในเมืองโดยไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเธอคือใคร ด้วยความที่ชุดนอนของเจ้าหญิงออกแบบตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าเนื้อดี จึงดูไม่ต่างจากชุดสตรีผู้มีฐานันดรสวมใส่ในเวลากลางวัน
กลมกลืนไปกับคนอื่นโดยไม่รู้สึกจำเป็นต้องสงวนท่าทางการเคลื่อนไหวให้งามสง่าสมเป็นราชนิกูล และไม่ต้องระวังคนจ้องจับผิดการกระทำ โดยเฉพาะองครักษ์ที่ตามติดอารักขาทุกฝีก้าว
ขณะเดียวกันเจ้าชายธีโอดอร์ฟก็ควบม้าด้วยความเร่งรีบ ออกตามหาเจ้าหญิงฟาลเนียบนถนนหนทางสายหลักที่ตัดสู่จตุรัสกลางนครกลามีธีสเช่นกัน
หญิงสาวผู้หนึ่งเดินข้ามถนนตัดหน้าจังหวะเดียวกันพอดี เขาจึงกระชากสายบังเหียนเพื่อหยุดม้าอย่างกระทันหัน ม้าพยศสะบัดขาเต็มกำลังสะบัดหากฟาดโดนหญิงสาวล้มลง ดอกไม้และพรรณพืชบรรจุอยู่ในตะกร้าหวายกระจายเกลื่อนพื้น เจ้าชายหนุ่มรีบโจนลงจากหลังม้า ถลันเข้าไปช่วยประคองหญิงสาวทรงตัวลุกขึ้นนั่ง
“นางบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”เจ้าชายละล่ำละลัก
นางช้อนตามองสบ พร้อมกับรอยยิ้มตรึงใจ “ข้าไม่เป็นไร”
ทันทีที่มองสบดวงตาสีฟ้าใส บางสิ่งฉายวาบทะลุหัวใจเขาทันที ขนตาของหล่อนเป็นแพรยาวราว ใบหน้างดงามราวกับรูปสลักอันวิจิตรของเทพธิดา ผมสีบลอนด์อมแดงสยายยาวเป็นลอนมีกลิ่นหอมผ่อนคลายของดอกลาเวนเดอร์
เจ้าชายหนุ่มงันไปชั่วขณะราวกับตกอยู่ในภวังค์ แต่แล้วอึดใจเดียวก็เรียกสติกลับคืนมาก้มหน้าก้มตากอบโกย สมุนไพร และดอกไม้แห้ง รวบรวมใส่ลงในตะกร้าแล้วส่งคืนแก่หญิงสาว
“ขอโทษด้วยที่ข้ามัวแต่รีบร้อนไม่ระวัง ทำให้นางต้องเจ็บ” สำนึกรับผิดชอบทำให้เขารู้สึกผิดยิ่งขึ้น
"ข้าไม่ได้มีบาดแผลตรงไหน ท่านต่างหากที่บาดเจ็บ” นางเอื้อมมืออันอ่อนช้อยสัมผัสแขนเขา มีแผลถากๆจากคมดาบ
เจ้าชายอัศวินยกแขนขึ้นมองดูผาดๆอย่างไม่ใส่ใจนัก “อ่อ บาดแผลเล็กน้อยจากการดวลดาบ ปล่อยไว้ก็หายไปเอง”
แต่นางผู้มีกริยาอ่อนหวานเหมือนรูปโฉมก็มิได้เพิกเฉย รีบจัดแจงยาสมุนไพรจากในตะกร้ามาประคบตรงบาดแผล นางโน้มกายเข้ามาใกล้ชุดเกราะแข็งแกร่ง แท้จริงเนื้อที่เต้นในอกนั้นอ่อนยวบ เส้นผมหอมละมุนนุ่มนิ่มราวกับแพรไหม สยายยาวคลอเคลียเนื้อเนียนละเอียด นางนำผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมาพันแผลให้อย่างเบามือ
“แผลของท่านจะหายสนิทปริดทิ้งในวันรุ่งขึ้น” หญิงสาวรับรองด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะ
“ขอบคุณนางอีกครั้ง แต่ข้าคงต้องรีบไป มิเช่นนั้นจะไม่ทันการ ชีวิตน้องสาวกำลังตกอยู่ในกรงเล็บมฤตยู”
“แล้วท่านรออะไรอยู่ รีบไปเสียเถิดท่านผู้กล้า รีบไปช่วยน้องสาวของท่านโดยเร็ว ข้าจะภาวนาขอให้น้องสาวท่านปลอดภัย”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟขณะที่มองดูนางเกิดความปีติและเศร้าสร้อยขึ้นพร้อมกัน
“ลาก่อน หวังว่าคงได้พบกันใหม่”
แล้วธีโอดอร์ฟก็ควบม้ามุ่งหน้าติดตามน้องสาวด้วยความห่วงหา ปล่อยให้แววตาหวานเศร้าอ้อยอิ่งมองร่างของเขาลับสายตาไป
องค์หญิงเดินตรงมามาจนเจอน้ำพุกลางลานกว้าง มีชายคนหนึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มน่าจะ รุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ เส้นผมยาวสีขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดง สวมชุดเกราะแปลกตา แต่สิ่งที่ทำให้สะดุดตาคือมีนกสีดำเกาะบนไหล่
ดูเหมือนกำลังยืนรอคอยใครอยู่ พอสังเกตเห็นเธอเข้าก็ตรงรี่เข้ามาทันที
“โอ้ องค์หญิงฟาลเนีย ยินดีที่ได้พบ ข้าชื่อคาร์ยรอส กำลังรอท่านอยู่” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร” องค์หญิงถามมองดูเขาอย่างไม่วางใจ
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร แต่จำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร” คาร์ยรอสบอกกับเป้าหมายด้วยคำพูดชวนคิดเป็นปริศนา
“หมายความว่ายังไง ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร” องค์หญิงมัวแต่พิจารณารูปกายชายผู้นี้แล้วคิดว่าเขาคงสติไม่ค่อยดีเลยพูดจาแปลกๆ ไม่สังเกตว่าแหวนบนนิ้วเรียวงามกำลังเปล่งแสงสีอ่อนจาง แต่ไม่พ้นสายตาอีกฝ่ายที่เหลือบมองพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“องค์หญิง ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ทีเดียว” ชายหนุ่มผมสีเกล็ดหิมะ คว้าแขนขององค์หญิงไว้มั่น บงการสั่งว่า “มากับพวกเราเดี๋ยวนี้”
“ทำไมข้าต้องไปกับพวกเจ้าด้วย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” สตรีผู้สวมแหวนพยายามสะบัดแขน แต่มืออีกฝ่ายกลับกลายเป็นคีมเหล็กบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆจนแขนเริ่มชา
“จะปล่อยมือออกหรือให้ตัดมือทิ้ง!” เสียงทุ้มเปี่ยมอำนาจสั่งเฉียบขาด พร้อมพระแสงดาบเงาวับกระหวัดจอร่างอีกฝ่าย ชายหนุ่มผู้โอหังคลายมือออกทันที
(มีต่อ)
TheLight of Darkness บทที่ 2
บทที่ 2 ลักพาตัว
ฟาลเนียลืมตาขึ้นท่ามกลางสุสานร้างบริเวณชานเมือง ความรู้สึกชนิดอื่นมีอิทธิพลน้อยกว่าความมึนงงในขณะนี้
“ฟื้นแล้วหรือ?”
ได้ยินกระแสเสียงนกดำเกาะอยู่บนแผ่นหินสีเทาคุมปรกด้วยมอสเขียวครึ้ม จนมองไม่เห็นชื่อสลักของเจ้าของร่างในหลุมฝังศพ
“กลิ่นความตายช่วยให้ข้าฟื้นพลัง สุสานร้างเป็นจุดพำนักที่ดี” นกกระซิบบอกผ่านความคิดเธอ
“ทว่าพระอาทิตย์เริ่มสว่างแล้ว ได้เวลา..”
“เดี๋ยวก่อน” องค์หญิงโพล่งตัดบท “เจ้าเป็นใครกันแน่ เกิดอะไรขึ้น จำได้เลือนลางว่ามีนกสีขาวนำแหวนมาให้ข้า ลักษณะคือนกตัวเดียวกัน เพียงแต่ขนของเจ้าเปลี่ยนเป็นสีดำ”
“ถูกแล้ว ขนของข้ากลับเป็นดำเพราะมนตร์ขาวคลายลง”
“พูดอะไรไม่เข้าใจ แล้วนี่ข้ามาอยู่ที่สุสานได้ยังไง หรือข้าตายไปแล้ว!” หล่อนหน้าถอดสี
“องค์หญิงยังมีลมหายใจและชีวิตสมบูรณ์ครบถ้วน” วิหกลึกลับกล่าวยืนยัน แล้วบินมาเกาะไหล่ขององค์หญิงพร้อมกับชี้นำว่า “เดินตามทางหินขรุขระทอดยาวเรื่อยไป จะพบทางเดินหลักนำท่านสู่ใจกลางมหานครกลามีธีส ใครคนหนึ่งกำลังรอท่านอยู่” มันทิ้งปริศนาเอาไว้ให้องค์หญิงขบคิดแล้วบินจากไป
เดินเรื่อยไปตามทางเล็กๆทอดยาวจากสุสานร้างเป็นเนินเขาลงไปบรรจบกับถนนใหญ่สู่ใจกลางนครกลามีธีส ภายในมหานครแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือฝั่งตลาดที่มีการกางกระโจมปูเสื่อขายของสารพันชนิดกับฝั่งคือสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างอันวิจิตรงามงด
เดินสวนกับนักบวชชุดดำรูปหนึ่ง ถือคัมภีร์เล่มโตมุ่งหน้าไปเพื่อทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้า ยังวิหารทวยเทพขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลาง ก่อสร้างขึ้นเป็นอาคารสองชั้นมีเสาใหญ่สลักลายวิจิตรสวยสมบูรณ์โดดเด่น หน้าอาคารเป็นรูปแกะสลักของเทพีมหานครอันเต็มไปด้วยสถาปติยกรรมอันงดงาม วิจิตรตระการตาราวกับเทพนิมิตสร้าง รูปปั้นทวยเทพที่ปรากฏตามสถานที่สำคัญต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึงศรัทธาและความเคารพยำเกรงต่อเทพเจ้าที่ฝัง ลึกอยู่ในความเชื่อของผู้คนในกลามีธีส
เดินเรื่อยมาจนพบตลาดกลางแจ้งยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา มีร้านค้าขึ้นเรียงรายตลอดแนว จำหนายสินค้ามากมายของพื้นๆตั้งแต่ผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง ใบชามีกลิ่นหอมหลายชนิดให้เลือก ดอกไม้สดและแห้ง เครื่องหอม สมุนไพร ยาเส้น ขนมหวานเริศรส ไปจนถึงของแปลกหายากเช่น ไข่มังกรที่กลายเป็นหิน ขนหางของนกฟินิกซ์ เขา และขนของยูนิคอน เกล็ดของเงือก และสิ่งของหลายหลากชนิดที่เกี่ยวโยงกับเวทย์มนต์
พ่อค้าวานิชต่างพากันนำเสนอสิ่งของแปลกตาแก่ผู้มุงดูสินค้าพร้อมกับแข่งกัน ต่อรองราคาให้ได้ถูกที่สุด เสียงฝีเท้าม้าและผู้คนสัญจรผ่านไปมา คือสัญญาณของความเคลื่อนไหวแลกเปลี่ยนตลอดเวลา ภายในนครแห่งเทวสถานและการค้าขาย
เป็นครั้งแรกที่เจ้าหญิงเดินตามลำพังในเมืองโดยไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงเธอคือใคร ด้วยความที่ชุดนอนของเจ้าหญิงออกแบบตัดเย็บอย่างประณีตด้วยผ้าเนื้อดี จึงดูไม่ต่างจากชุดสตรีผู้มีฐานันดรสวมใส่ในเวลากลางวัน
กลมกลืนไปกับคนอื่นโดยไม่รู้สึกจำเป็นต้องสงวนท่าทางการเคลื่อนไหวให้งามสง่าสมเป็นราชนิกูล และไม่ต้องระวังคนจ้องจับผิดการกระทำ โดยเฉพาะองครักษ์ที่ตามติดอารักขาทุกฝีก้าว
ขณะเดียวกันเจ้าชายธีโอดอร์ฟก็ควบม้าด้วยความเร่งรีบ ออกตามหาเจ้าหญิงฟาลเนียบนถนนหนทางสายหลักที่ตัดสู่จตุรัสกลางนครกลามีธีสเช่นกัน
หญิงสาวผู้หนึ่งเดินข้ามถนนตัดหน้าจังหวะเดียวกันพอดี เขาจึงกระชากสายบังเหียนเพื่อหยุดม้าอย่างกระทันหัน ม้าพยศสะบัดขาเต็มกำลังสะบัดหากฟาดโดนหญิงสาวล้มลง ดอกไม้และพรรณพืชบรรจุอยู่ในตะกร้าหวายกระจายเกลื่อนพื้น เจ้าชายหนุ่มรีบโจนลงจากหลังม้า ถลันเข้าไปช่วยประคองหญิงสาวทรงตัวลุกขึ้นนั่ง
“นางบาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า?”เจ้าชายละล่ำละลัก
นางช้อนตามองสบ พร้อมกับรอยยิ้มตรึงใจ “ข้าไม่เป็นไร”
ทันทีที่มองสบดวงตาสีฟ้าใส บางสิ่งฉายวาบทะลุหัวใจเขาทันที ขนตาของหล่อนเป็นแพรยาวราว ใบหน้างดงามราวกับรูปสลักอันวิจิตรของเทพธิดา ผมสีบลอนด์อมแดงสยายยาวเป็นลอนมีกลิ่นหอมผ่อนคลายของดอกลาเวนเดอร์
เจ้าชายหนุ่มงันไปชั่วขณะราวกับตกอยู่ในภวังค์ แต่แล้วอึดใจเดียวก็เรียกสติกลับคืนมาก้มหน้าก้มตากอบโกย สมุนไพร และดอกไม้แห้ง รวบรวมใส่ลงในตะกร้าแล้วส่งคืนแก่หญิงสาว
“ขอโทษด้วยที่ข้ามัวแต่รีบร้อนไม่ระวัง ทำให้นางต้องเจ็บ” สำนึกรับผิดชอบทำให้เขารู้สึกผิดยิ่งขึ้น
"ข้าไม่ได้มีบาดแผลตรงไหน ท่านต่างหากที่บาดเจ็บ” นางเอื้อมมืออันอ่อนช้อยสัมผัสแขนเขา มีแผลถากๆจากคมดาบ
เจ้าชายอัศวินยกแขนขึ้นมองดูผาดๆอย่างไม่ใส่ใจนัก “อ่อ บาดแผลเล็กน้อยจากการดวลดาบ ปล่อยไว้ก็หายไปเอง”
แต่นางผู้มีกริยาอ่อนหวานเหมือนรูปโฉมก็มิได้เพิกเฉย รีบจัดแจงยาสมุนไพรจากในตะกร้ามาประคบตรงบาดแผล นางโน้มกายเข้ามาใกล้ชุดเกราะแข็งแกร่ง แท้จริงเนื้อที่เต้นในอกนั้นอ่อนยวบ เส้นผมหอมละมุนนุ่มนิ่มราวกับแพรไหม สยายยาวคลอเคลียเนื้อเนียนละเอียด นางนำผ้าเช็ดหน้าที่พกติดตัวมาพันแผลให้อย่างเบามือ
“แผลของท่านจะหายสนิทปริดทิ้งในวันรุ่งขึ้น” หญิงสาวรับรองด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานไพเราะ
“ขอบคุณนางอีกครั้ง แต่ข้าคงต้องรีบไป มิเช่นนั้นจะไม่ทันการ ชีวิตน้องสาวกำลังตกอยู่ในกรงเล็บมฤตยู”
“แล้วท่านรออะไรอยู่ รีบไปเสียเถิดท่านผู้กล้า รีบไปช่วยน้องสาวของท่านโดยเร็ว ข้าจะภาวนาขอให้น้องสาวท่านปลอดภัย”
เจ้าชายธีโอดอร์ฟขณะที่มองดูนางเกิดความปีติและเศร้าสร้อยขึ้นพร้อมกัน
“ลาก่อน หวังว่าคงได้พบกันใหม่”
แล้วธีโอดอร์ฟก็ควบม้ามุ่งหน้าติดตามน้องสาวด้วยความห่วงหา ปล่อยให้แววตาหวานเศร้าอ้อยอิ่งมองร่างของเขาลับสายตาไป
องค์หญิงเดินตรงมามาจนเจอน้ำพุกลางลานกว้าง มีชายคนหนึ่งยังอยู่ในวัยหนุ่มน่าจะ รุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ เส้นผมยาวสีขาว นัยน์ตาสีน้ำตาลอมแดง สวมชุดเกราะแปลกตา แต่สิ่งที่ทำให้สะดุดตาคือมีนกสีดำเกาะบนไหล่
ดูเหมือนกำลังยืนรอคอยใครอยู่ พอสังเกตเห็นเธอเข้าก็ตรงรี่เข้ามาทันที
“โอ้ องค์หญิงฟาลเนีย ยินดีที่ได้พบ ข้าชื่อคาร์ยรอส กำลังรอท่านอยู่” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเป็นมิตรพร้อมรอยยิ้ม
“ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร” องค์หญิงถามมองดูเขาอย่างไม่วางใจ
“องค์หญิงไม่จำเป็นต้องรู้ว่าข้าเป็นใคร แต่จำเป็นต้องรู้ว่าตัวเองเป็นใคร” คาร์ยรอสบอกกับเป้าหมายด้วยคำพูดชวนคิดเป็นปริศนา
“หมายความว่ายังไง ทำไมข้าจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร” องค์หญิงมัวแต่พิจารณารูปกายชายผู้นี้แล้วคิดว่าเขาคงสติไม่ค่อยดีเลยพูดจาแปลกๆ ไม่สังเกตว่าแหวนบนนิ้วเรียวงามกำลังเปล่งแสงสีอ่อนจาง แต่ไม่พ้นสายตาอีกฝ่ายที่เหลือบมองพร้อมรอยยิ้มมุมปาก
“องค์หญิง ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาแน่ทีเดียว” ชายหนุ่มผมสีเกล็ดหิมะ คว้าแขนขององค์หญิงไว้มั่น บงการสั่งว่า “มากับพวกเราเดี๋ยวนี้”
“ทำไมข้าต้องไปกับพวกเจ้าด้วย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” สตรีผู้สวมแหวนพยายามสะบัดแขน แต่มืออีกฝ่ายกลับกลายเป็นคีมเหล็กบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆจนแขนเริ่มชา
“จะปล่อยมือออกหรือให้ตัดมือทิ้ง!” เสียงทุ้มเปี่ยมอำนาจสั่งเฉียบขาด พร้อมพระแสงดาบเงาวับกระหวัดจอร่างอีกฝ่าย ชายหนุ่มผู้โอหังคลายมือออกทันที
(มีต่อ)