
TITLE: Rebel Moon 2: The Scargiver - สรุปให้ฟังแบบบ้านๆ คนดูหนังบอกต่อ!
สวัสดีครับชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้ผมขอมาเล่าสู่กันฟังถึงหนังที่หลายคนอาจจะรอคอย หรือบางคนอาจจะกำลังตัดสินใจว่าจะดูกันดีไหมกับ "Rebel Moon – Part Two: The Scargiver" ครับ หลังจาก Part 1 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ทิ้งท้ายแบบว่า...เอาล่ะ มาดูกันว่าภาคต่อนี้จะมาแก้ตัว หรือจะไปต่อในทางเดียวกัน?
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผมดู Part 1 มาแล้ว ก็มีความคาดหวังกับ Part 2 พอสมควรครับ ด้วยความที่ Part 1 มันเหมือนการปูพื้นฐานตัวละคร โลก และปมของเรื่องราวทั้งหมด หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยเข้มข้นเท่าที่ควร หรือบางฉากก็ดูยืดๆ ไปหน่อย แต่ผมก็ยังเชื่อว่า Zack Snyder แกมีของ และรอให้ภาค 2 มาปลดปล่อยเต็มที่
พอได้ดู Part 2 สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ จังหวะหนังมันกระชับขึ้นครับ การเล่าเรื่องเดินหน้าไปเร็วขึ้นมาก ไม่มีการยืดเยื้อเหมือนภาคก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเลยครับ ตัวละครหลักอย่าง Kora นี่คือได้โชว์ของเต็มที่จริงๆ บทบาทเธอเด่นชัดขึ้นมาก และการแสดงก็ดูดีขึ้นด้วยครับ เราได้เห็นมุมมองและแรงผลักดันของเธอที่ชัดเจนมากขึ้น ว่าทำไมเธอถึงต้องลุกขึ้นมาสู้
เรื่องราวหลักๆ ของภาคนี้ก็คือการเตรียมตัวและต่อสู้ของกลุ่มกบฏที่นำโดย Kora เพื่อปกป้องหมู่บ้าน Veldt จากการกลับมาของ Atticus Noble และกองทัพของ Motherworld ครับ มันคือการสู้เพื่อบ้าน เพื่อผู้บริสุทธิ์ และเพื่อความหวังครั้งสุดท้ายที่เหลืออยู่ ซึ่งธีมของการเสียสละ ความกล้าหาญ และการรวมพลังกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่า มันยังคงเป็นแกนหลักของเรื่องครับ
สิ่งที่ผมชอบในภาคนี้ก็คือฉากแอ็คชั่นครับ Zack Snyder แกถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว และในภาค 2 นี้ก็จัดเต็มกว่าเดิม ฉากต่อสู้ระหว่าง Kora กับ Atticus Noble นี่คือดุเดือดมาก มีความดิบ ความรุนแรง และความอลังการตามสไตล์ของแกเลยครับ การออกแบบท่าต่อสู้ การใช้อาวุธ และมุมกล้องที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสมรภูมิด้วย มันทำให้การดูหนังเรื่องนี้มันส์ขึ้นเยอะเลยครับ
นอกจากนี้ ตัวละครอื่นๆ ก็มีบทบาทมากขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็น Gunnar ที่ต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบที่หนักขึ้น หรือแม้แต่ตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริมทัพ ก็ทำให้เรื่องราวมีความน่าสนใจมากขึ้น ตัวละครอย่าง Nemesis, Tarak, Midas, และ Davian ก็มีโมเมนต์ของตัวเองที่น่าจดจำครับ การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ได้รู้สึกว่ายัดเยียดเข้ามา
เรื่องการออกแบบงานสร้างก็ยังคงความอลังการตามที่คาดหวังครับ การออกแบบยานอวกาศ ชุดเกราะ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมต่างๆ มันดูมีเอกลักษณ์ และสร้างโลกของ Rebel Moon ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ถึงแม้ว่าบางอย่างอาจจะดูคุ้นๆ หรือมีกลิ่นอายของหนังไซไฟอื่นๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีครับ
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางจุดที่ผมรู้สึกว่ายังสามารถปรับปรุงได้ครับ บางครั้งบทสนทนาอาจจะยังดูตรงไปตรงมาไปหน่อย หรือบางฉากอาจจะยังมีความรู้สึกว่า "คุ้นๆ" กับฉากจากหนังเรื่องอื่นอยู่บ้าง ซึ่งอาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าขาดความสดใหม่ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วสำหรับผม มันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เสียอรรถรสในการรับชมครับ
ส่วนเรื่องของ Atticus Noble ในภาคนี้ ดูเหมือนว่าบทบาทของเขาจะมีความซับซ้อนมากขึ้นครับ ไม่ใช่แค่ตัวร้ายที่โหดเหี้ยมอย่างเดียว แต่ก็มีเบื้องหลังและความเชื่อของตัวเองที่ทำให้ตัวละครนี้ดูมีมิติมากขึ้น การแสดงของ Ed Skrein ก็ถือว่าน่าประทับใจครับ เขาสามารถถ่ายทอดความน่าเกรงขามและความบ้าคลั่งของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี
สำหรับใครที่ดู Part 1 มาแล้ว และรู้สึกว่า "เอ๊ะ ยังไงนะ?" ผมบอกเลยว่า Part 2 คือคำตอบครับ มันคือการสานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้น สนุกขึ้น และให้ภาพรวมของเรื่องราวที่สมบูรณ์มากขึ้น ถ้าคุณชอบฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ ชอบหนังไซไฟอวกาศที่มีกลิ่นอายของความเป็นสงคราม และชอบการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ ผมว่าคุณน่าจะชอบภาคนี้ครับ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่คาดหวังความแปลกใหม่ หรือบทที่ลึกซึ้งมากๆ อาจจะต้องปรับความคาดหวังลงมาหน่อยครับ เพราะแก่นของเรื่องมันก็ยังคงเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม การเอาชนะความสิ้นหวัง และการรวมพลังกันครับ
โดยสรุปแล้ว Rebel Moon – Part Two: The Scargiver เป็นหนังที่ผมดูแล้วสนุกครับ มันเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปจากภาคแรก ทำให้เรื่องราวมีความสมบูรณ์มากขึ้น และให้ฉากแอ็คชั่นที่น่าพอใจมากๆ ครับ เป็นหนังที่เหมาะกับการดูเพื่อความบันเทิง ดูเพื่อผ่อนคลาย และดูเพื่อลุ้นระทึกไปกับการต่อสู้ของเหล่าตัวละครครับ
ผมให้คะแนนภาคนี้แบบบ้านๆ เลยก็คือ 7.5/10 ครับ หักคะแนนเล็กน้อยที่บางจุดอาจจะยังมีความคุ้นเคย หรือบทสนทนาที่ยังไม่ถึงกับคมกริบ แต่โดยรวมแล้วคือผ่านครับ เป็นภาคต่อที่ทำได้ดีกว่าภาคแรก และทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องราวของ Rebel Moon มันมีที่มาที่ไปและมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนมากขึ้น
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถูกใจทุกคนครับ เพราะสไตล์ของ Zack Snyder มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ แต่ถ้าคุณเปิดใจ ลองดูกันครับ อาจจะเจอความสนุกที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของทุกท่านครับ แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวหน้าครับผม!
Rebel Moon 2: The Scargiver - สรุปให้ฟังแบบบ้านๆ คนดูหนังบอกต่อ!
TITLE: Rebel Moon 2: The Scargiver - สรุปให้ฟังแบบบ้านๆ คนดูหนังบอกต่อ!
สวัสดีครับชาวพันทิปทุกท่าน วันนี้ผมขอมาเล่าสู่กันฟังถึงหนังที่หลายคนอาจจะรอคอย หรือบางคนอาจจะกำลังตัดสินใจว่าจะดูกันดีไหมกับ "Rebel Moon – Part Two: The Scargiver" ครับ หลังจาก Part 1 ที่ออกมาก่อนหน้านี้ ทิ้งท้ายแบบว่า...เอาล่ะ มาดูกันว่าภาคต่อนี้จะมาแก้ตัว หรือจะไปต่อในทางเดียวกัน?
ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผมดู Part 1 มาแล้ว ก็มีความคาดหวังกับ Part 2 พอสมควรครับ ด้วยความที่ Part 1 มันเหมือนการปูพื้นฐานตัวละคร โลก และปมของเรื่องราวทั้งหมด หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันยังไม่ค่อยเข้มข้นเท่าที่ควร หรือบางฉากก็ดูยืดๆ ไปหน่อย แต่ผมก็ยังเชื่อว่า Zack Snyder แกมีของ และรอให้ภาค 2 มาปลดปล่อยเต็มที่
พอได้ดู Part 2 สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ จังหวะหนังมันกระชับขึ้นครับ การเล่าเรื่องเดินหน้าไปเร็วขึ้นมาก ไม่มีการยืดเยื้อเหมือนภาคก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเลยครับ ตัวละครหลักอย่าง Kora นี่คือได้โชว์ของเต็มที่จริงๆ บทบาทเธอเด่นชัดขึ้นมาก และการแสดงก็ดูดีขึ้นด้วยครับ เราได้เห็นมุมมองและแรงผลักดันของเธอที่ชัดเจนมากขึ้น ว่าทำไมเธอถึงต้องลุกขึ้นมาสู้
เรื่องราวหลักๆ ของภาคนี้ก็คือการเตรียมตัวและต่อสู้ของกลุ่มกบฏที่นำโดย Kora เพื่อปกป้องหมู่บ้าน Veldt จากการกลับมาของ Atticus Noble และกองทัพของ Motherworld ครับ มันคือการสู้เพื่อบ้าน เพื่อผู้บริสุทธิ์ และเพื่อความหวังครั้งสุดท้ายที่เหลืออยู่ ซึ่งธีมของการเสียสละ ความกล้าหาญ และการรวมพลังกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจที่เหนือกว่า มันยังคงเป็นแกนหลักของเรื่องครับ
สิ่งที่ผมชอบในภาคนี้ก็คือฉากแอ็คชั่นครับ Zack Snyder แกถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว และในภาค 2 นี้ก็จัดเต็มกว่าเดิม ฉากต่อสู้ระหว่าง Kora กับ Atticus Noble นี่คือดุเดือดมาก มีความดิบ ความรุนแรง และความอลังการตามสไตล์ของแกเลยครับ การออกแบบท่าต่อสู้ การใช้อาวุธ และมุมกล้องที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสมรภูมิด้วย มันทำให้การดูหนังเรื่องนี้มันส์ขึ้นเยอะเลยครับ
นอกจากนี้ ตัวละครอื่นๆ ก็มีบทบาทมากขึ้นครับ ไม่ว่าจะเป็น Gunnar ที่ต้องแบกรับภาระและความรับผิดชอบที่หนักขึ้น หรือแม้แต่ตัวละครใหม่ๆ ที่เข้ามาเสริมทัพ ก็ทำให้เรื่องราวมีความน่าสนใจมากขึ้น ตัวละครอย่าง Nemesis, Tarak, Midas, และ Davian ก็มีโมเมนต์ของตัวเองที่น่าจดจำครับ การพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครก็ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ได้รู้สึกว่ายัดเยียดเข้ามา
เรื่องการออกแบบงานสร้างก็ยังคงความอลังการตามที่คาดหวังครับ การออกแบบยานอวกาศ ชุดเกราะ หรือแม้แต่สภาพแวดล้อมต่างๆ มันดูมีเอกลักษณ์ และสร้างโลกของ Rebel Moon ให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ถึงแม้ว่าบางอย่างอาจจะดูคุ้นๆ หรือมีกลิ่นอายของหนังไซไฟอื่นๆ อยู่บ้าง แต่โดยรวมก็ถือว่าทำได้ดีครับ
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางจุดที่ผมรู้สึกว่ายังสามารถปรับปรุงได้ครับ บางครั้งบทสนทนาอาจจะยังดูตรงไปตรงมาไปหน่อย หรือบางฉากอาจจะยังมีความรู้สึกว่า "คุ้นๆ" กับฉากจากหนังเรื่องอื่นอยู่บ้าง ซึ่งอาจจะทำให้บางคนรู้สึกว่าขาดความสดใหม่ไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วสำหรับผม มันไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เสียอรรถรสในการรับชมครับ
ส่วนเรื่องของ Atticus Noble ในภาคนี้ ดูเหมือนว่าบทบาทของเขาจะมีความซับซ้อนมากขึ้นครับ ไม่ใช่แค่ตัวร้ายที่โหดเหี้ยมอย่างเดียว แต่ก็มีเบื้องหลังและความเชื่อของตัวเองที่ทำให้ตัวละครนี้ดูมีมิติมากขึ้น การแสดงของ Ed Skrein ก็ถือว่าน่าประทับใจครับ เขาสามารถถ่ายทอดความน่าเกรงขามและความบ้าคลั่งของตัวละครออกมาได้เป็นอย่างดี
สำหรับใครที่ดู Part 1 มาแล้ว และรู้สึกว่า "เอ๊ะ ยังไงนะ?" ผมบอกเลยว่า Part 2 คือคำตอบครับ มันคือการสานต่อเรื่องราวที่เข้มข้นขึ้น สนุกขึ้น และให้ภาพรวมของเรื่องราวที่สมบูรณ์มากขึ้น ถ้าคุณชอบฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ ชอบหนังไซไฟอวกาศที่มีกลิ่นอายของความเป็นสงคราม และชอบการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ ผมว่าคุณน่าจะชอบภาคนี้ครับ
แต่ถ้าคุณเป็นคนที่คาดหวังความแปลกใหม่ หรือบทที่ลึกซึ้งมากๆ อาจจะต้องปรับความคาดหวังลงมาหน่อยครับ เพราะแก่นของเรื่องมันก็ยังคงเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรม การเอาชนะความสิ้นหวัง และการรวมพลังกันครับ
โดยสรุปแล้ว Rebel Moon – Part Two: The Scargiver เป็นหนังที่ผมดูแล้วสนุกครับ มันเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปจากภาคแรก ทำให้เรื่องราวมีความสมบูรณ์มากขึ้น และให้ฉากแอ็คชั่นที่น่าพอใจมากๆ ครับ เป็นหนังที่เหมาะกับการดูเพื่อความบันเทิง ดูเพื่อผ่อนคลาย และดูเพื่อลุ้นระทึกไปกับการต่อสู้ของเหล่าตัวละครครับ
ผมให้คะแนนภาคนี้แบบบ้านๆ เลยก็คือ 7.5/10 ครับ หักคะแนนเล็กน้อยที่บางจุดอาจจะยังมีความคุ้นเคย หรือบทสนทนาที่ยังไม่ถึงกับคมกริบ แต่โดยรวมแล้วคือผ่านครับ เป็นภาคต่อที่ทำได้ดีกว่าภาคแรก และทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องราวของ Rebel Moon มันมีที่มาที่ไปและมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนมากขึ้น
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกว่า หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้ถูกใจทุกคนครับ เพราะสไตล์ของ Zack Snyder มันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ แต่ถ้าคุณเปิดใจ ลองดูกันครับ อาจจะเจอความสนุกที่คุณคาดไม่ถึงก็ได้
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจของทุกท่านครับ แล้วเจอกันใหม่ในรีวิวหน้าครับผม!