สวัสดีค่ะ จากกระทู้ก่อนหน้านี้ที่เราได้ปรึกษาเรื่องพี่สาวอายุ 34 ที่ประสบอุบัติเหตุ ทำได้เลือดออกในสมอง ส่งผลให้มีอาการเพ้อหนักมาก ไม่ว่าจะแอบเอารถขับพาลูกไปส่งที่โรงเรียน / หนีขึ้นแท็กซี่ไปทำงานตอนตี3 / ปลุกลูกกลางดึกทำให้ลูกไม่ได้นอน
อาการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วง 3สัปดาห์แรกหลังเกิดเหตุ ปัจจุบันนี้ผ่านมา 1เดือนเต็ม พี่สาวเราดีขึ้นมากแล้วค่ะ รับรู้สถานการณ์ตอนนี้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ความจำกลับมาเยอะ รับรู้ขีดจำกัดของตัวเองแล้วค่ะ
แต่ก็ยังมีบ้างมีจะมีอาการหมกมุ่น อยากทำอะไรต้องได้ทำ เราก็พยายามบอกพี่เขยเราว่านี่คือดีขึ้นมากๆแล้วจากที่ผ่านๆมา
เข้าเรื่องกันเลยนะคะ
เกิดจากวันที่ครอบครัวเหน็ดเหนื่อยจากการดูแลพี่สาวเรา เราแฟนเรา และพี่เขย เลยนั่งดื่มกัน 3คน พี่เขยได้พูดความคิดของเขาออกมาค่ะ จับใจความได้ประมาณว่า
"พี่คิดว่าจริงๆแล้วตามหลักสากล มันไม่ใช่หน้าที่ของพี่ที่ต้องดูแล แม่พี่ยังบอกเลยว่า ให้ส่งไปให้แม่เขาดูแล เพราะพี่ดูแลไม่ไหวหรอก แล้วพี่ก็ไม่ใช่ครอบครัว 100% ทะเบียนสมราก็ไม่ได้จด"
เราอึ้งจริงๆกับคำพูดนี้ค่ะ แล้วคิดว่าเขาไม่มองพี่เราเป็นครอบครัวเลยหรือ ครั้งนั้นเราฟังแต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร เพราะคิดว่าคงพูดออกมาเพราะความเหนื่อยล้า ที่ดูแลหลังออกมา รพ.มาใน3วันแรก
หลังจากครั้งนั้น พี่เขยก็มีการพูดแบบเดิมอีกครั้ง ทำให้เราคิดว่าเขาคงคิดจริงๆแหละ เราเลยติดๆเล่นไม่ให้เครียดว่า
"ถือว่าใช้เวรใช้กรรมละกัน ที่ผ่านมาทำไม่ดีเยอะนี่" เขาก็ตอบกลับมาประมาณว่า
"พี่ไม่เคยคิดว่าพี่ติดค้างอะไรมันนะ ถึงที่ผ่านมามันจะทำงานบ้าน ทำกับข้าวทุกๆอย่าง แต่พี่มองว่าค่าใช้จ่ายพี่ออกเงินมากกว่ามัน"
ทุกครั้งที่พี่เขยเราพูด เรากับแฟนแทบจะทนฟังทัศนคติของเราไม่ไหวเลยค่ะ เรามองว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่ใช่ว่าเพราะติดค้าง เลยต้องทำ แต่มันเป็นสิ่งที่พึงทำในฐานะคู่ชีวิตหรือเปล่าคะ ถึงจะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่อยู่กินกันมา จนมาลูก 6ขวบ มันเกินไปไหมที่เขาพูดแบบนั้นเหมือนว่าไม่ใช่หน้าที่เรา เราเล่าให้แม่ฟังแม่เราก็น้ำตาคลอค่ะ กลายเป็นว่าเขาจะร่วมแต่สุข พอมีทุกข์เมื่อไหร่ไม่ใช่หน้าที่เขา อย่างนี้หรอ?
1เดือนที่ผ่านมานี้ทุกคนหนักมากๆค่ะ ทั้งเรา แม่ และพี่เขย แต่เหมือนพี่เขยมองว่าเขาหนักอยู่คนเดียว
-11วันแรกที่นอน รพ. มีแค่เรากับแม่ที่ผลัดกันนอนเฝ้าตอนกลางคืน ใช้คำว่านั่งตาแข็งเฝ้าดีกว่าค่ะเพราะช่วงนั้นนอนไม่ได้เลย พี่สาวอาละวาดทั้งคืน เราผลัดกับแม่คืนเว้นคืนค่ะ สัก10โมงเช้าก็ผลัดให้พี่เขยมาเฝ้าต่อ ส่วนเรา/แม่ ก็กลับไปนอนกลางวัน ไม่ได้ทำงาน
-พอกลับมาอยู่บ้าน พี่เขยก็ไปทำงานกลางวัน แล้วก็ฝากพี่สาวไว้กับเรา เราก็ไม่ได้ทำงานเลยทั้งเดือน ต้องคอยดูแล ซึ่งปกติเราเปิดร้านต่อขนตาอยู่ที่บ้าน(ออกมาเช่าบ้านอยู่เองไม่ได้อยู่กับแม่ค่ะ) ตกเย็นพี่เขยก็มารับกลับ
เรารู้สึกว่าทุกๆคนก็เสียสละ เราจองสอบตั๋วทนายภาคทฤษฎี รวมคอร์สติวที่ซื้อไว้ก็ 4000กว่าบาท เราก็ไม่ได้ไปสอบ แต่ทุกครั้งที่ฟังพี่เขยพูดเขาจะทำให้ทุกคนดูเหนื่อยน้อยกว่าเขาเพราะเขาต้องดูแลลูกและเมีย แต่เขาลืมไปไหมว่าเราเองก็สวมหมวกหลายใบเหมือนกัน หมวกนักศึกษา หมวกช่างต่อขนตา หมวกแม่บ้านดูแลแมวที่บ้านเรา หมวกเมีย หมวกลูกสาวที่ต้องส่งค่าบ้านให้แม่ แล้ววันนี้เราก็ต้องสวมหมวกของน้องสาว ซึ่งก็คือเมียของคุณ
เขาดูมองไม่เห็นสิ่งนี้ค่ะ ที่เราเหนื่อยเหมือนกัน
ตั้งแต่เรื่องการนอนเฝ้า ที่รพ.ตอนกลางคืน รพ.ให้แค่ผู้หญิงเข้าเฝ้าเท่านั้น ห้ามผู้ชายเข้า พอเราบอกเขาก็มองว่า กลางวันก็เป็นเหมือนกัน แต่เราซึ่งเคยเฝ้าทั้งกลางวันและกลางคืนรับรู้ได้เลยว่ามันเพ้อหนักกว่ากลางวัน พี่สาวจะใช้แรงเพ้อทั้งหมดแล้วไปหลับเอาตอนกลางวัน แต่กลางวันก็มีเพ้อนะคะไม่ใช่ไม่เพ้อ แค่ไม่หนักเท่ากลางคืน
พอกลับมาบ้างก็บอกเราว่าที่เราเฝ้าที่ รพ.ตอนกลางคืนหน่ะสบาย ไม่หนักเท่าเขาตอนดูแลที่บ้าน เพราะพี่สาวถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ หารู้ไม่ว่ายิ่งมัดมือเสียงกรี๊ดมันทำให้เราแทบเป็นบ้า
เราเองก็พยามมองให้เห็นความเหนื่อยของพี่เขยเรา ฐานะพ่อ ฐานะผัว เขาก็ทำได้ดีอยู่ค่ะ แต่ความคิดเขาคือไม่ผ่านเอามากๆ และไม่ควรพูดมันออกมา
บางวันก็มีกินเลี้ยงบริษัทก็มาฝากเราทั้งกลางวันและกลางคืน เราก็แอบคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้เรื่องกินเลี้ยงมันสำคัญกว่าลูกเมียหรือ
เราทำเพื่อพี่สาวเราได้ค่ะ เรามองเห็นว่าเขาดีขึ้นทุกวันๆ แต่เราไม่โอเคกับความคิดพี่เขย แต่ก็ไม่ได้พูดขัดไป เพราะคิดว่าเขาก็ยังทำอยุ่ แต่เขาก็เปรยๆมาแล้วแหละว่าไม่รู้จะดูแลไหวถึงไหน เราเลยตกปากรับคำไปว่า หนูขอเวลาให้พี่สาวหนุ 3เดือน ถ้าไม่ดีขึ้น หนูกับแม่จะดูแลกันเอง เขาก็โอเค เราคิดว่า 3เดือน เป็นเวลาอันสั้นมากนะ😂 แต่ถ้าจะทิ้งกันลงคอก็คิดว่าเอาเลยค่ะ
ที่ผ่านมาเรามองว่าพี่สาวเราน่าสงสารมาตลอดค่ะ เขาก็พยายามทำหน้าที่เมีย หุงข้าวทำกับข้าว เลี้ยงลูก ทำงานไปด้วย รอผัวกินเหล้ากลับบ้าน บางครั้งก็มีติดผู้หญิงบ่อยๆ พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ยิ่งสงสารค่ะ สิ่งที่ทำมาตลอดพี่เขยเราไม่ได้มองว่ามันมีค่า แต่มองว่าไม่ได้ติดค้างอะไรกัน
เราเด็กอายุ 22ปี ยังคิดออกว่าคู่ชีวิตมันไม่ใช่ว่าเราต้องติดค้างกันถึงจะได้มาดูแลกันยามป่วยไข้ แต่อยู่ที่ว่าที่ผ่านมาระหว่างทางเรามีความสุขด้วยกันแค่ไหน เราทำอะไรให้กันบ้าง แค่นั้นก็เป็นเรื่องที่เราต้องขอบคุณซึ่งกันและกันแล้วค่ะ
ที่มั่นใจคือพี่สาวเราต้องหายเป็นปกติแน่นอน แล้วทีนี้มันจะเป็นยังไงกันต่อ
ทุกคนมีความคิดเห็นว่ายังไงกันบ้างคะ ถ้าเขาพูดเรื่องนี้มาอีก เราควรตอบอะไรกลับไปบ้างไหม แต่บอกก่อนว่าเขาหัวแข็งค่ะ คิดว่าตัวเองความคิดดี ไม่ฟังง่ายๆ ทั้งหมดนี้เราแค่อยากจะระบายความรู้สึกที่เจอมาในช่วงนี้ ขอบคุณที่อ่านค่ะ
ปรึกษาคำว่าคู่ชีวิต ยามเจ็บไข้ได้ป่วย
อาการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วง 3สัปดาห์แรกหลังเกิดเหตุ ปัจจุบันนี้ผ่านมา 1เดือนเต็ม พี่สาวเราดีขึ้นมากแล้วค่ะ รับรู้สถานการณ์ตอนนี้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ความจำกลับมาเยอะ รับรู้ขีดจำกัดของตัวเองแล้วค่ะ
แต่ก็ยังมีบ้างมีจะมีอาการหมกมุ่น อยากทำอะไรต้องได้ทำ เราก็พยายามบอกพี่เขยเราว่านี่คือดีขึ้นมากๆแล้วจากที่ผ่านๆมา
เข้าเรื่องกันเลยนะคะ
เกิดจากวันที่ครอบครัวเหน็ดเหนื่อยจากการดูแลพี่สาวเรา เราแฟนเรา และพี่เขย เลยนั่งดื่มกัน 3คน พี่เขยได้พูดความคิดของเขาออกมาค่ะ จับใจความได้ประมาณว่า
"พี่คิดว่าจริงๆแล้วตามหลักสากล มันไม่ใช่หน้าที่ของพี่ที่ต้องดูแล แม่พี่ยังบอกเลยว่า ให้ส่งไปให้แม่เขาดูแล เพราะพี่ดูแลไม่ไหวหรอก แล้วพี่ก็ไม่ใช่ครอบครัว 100% ทะเบียนสมราก็ไม่ได้จด"
เราอึ้งจริงๆกับคำพูดนี้ค่ะ แล้วคิดว่าเขาไม่มองพี่เราเป็นครอบครัวเลยหรือ ครั้งนั้นเราฟังแต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร เพราะคิดว่าคงพูดออกมาเพราะความเหนื่อยล้า ที่ดูแลหลังออกมา รพ.มาใน3วันแรก
หลังจากครั้งนั้น พี่เขยก็มีการพูดแบบเดิมอีกครั้ง ทำให้เราคิดว่าเขาคงคิดจริงๆแหละ เราเลยติดๆเล่นไม่ให้เครียดว่า
"ถือว่าใช้เวรใช้กรรมละกัน ที่ผ่านมาทำไม่ดีเยอะนี่" เขาก็ตอบกลับมาประมาณว่า
"พี่ไม่เคยคิดว่าพี่ติดค้างอะไรมันนะ ถึงที่ผ่านมามันจะทำงานบ้าน ทำกับข้าวทุกๆอย่าง แต่พี่มองว่าค่าใช้จ่ายพี่ออกเงินมากกว่ามัน"
ทุกครั้งที่พี่เขยเราพูด เรากับแฟนแทบจะทนฟังทัศนคติของเราไม่ไหวเลยค่ะ เรามองว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันไม่ใช่ว่าเพราะติดค้าง เลยต้องทำ แต่มันเป็นสิ่งที่พึงทำในฐานะคู่ชีวิตหรือเปล่าคะ ถึงจะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่อยู่กินกันมา จนมาลูก 6ขวบ มันเกินไปไหมที่เขาพูดแบบนั้นเหมือนว่าไม่ใช่หน้าที่เรา เราเล่าให้แม่ฟังแม่เราก็น้ำตาคลอค่ะ กลายเป็นว่าเขาจะร่วมแต่สุข พอมีทุกข์เมื่อไหร่ไม่ใช่หน้าที่เขา อย่างนี้หรอ?
1เดือนที่ผ่านมานี้ทุกคนหนักมากๆค่ะ ทั้งเรา แม่ และพี่เขย แต่เหมือนพี่เขยมองว่าเขาหนักอยู่คนเดียว
-11วันแรกที่นอน รพ. มีแค่เรากับแม่ที่ผลัดกันนอนเฝ้าตอนกลางคืน ใช้คำว่านั่งตาแข็งเฝ้าดีกว่าค่ะเพราะช่วงนั้นนอนไม่ได้เลย พี่สาวอาละวาดทั้งคืน เราผลัดกับแม่คืนเว้นคืนค่ะ สัก10โมงเช้าก็ผลัดให้พี่เขยมาเฝ้าต่อ ส่วนเรา/แม่ ก็กลับไปนอนกลางวัน ไม่ได้ทำงาน
-พอกลับมาอยู่บ้าน พี่เขยก็ไปทำงานกลางวัน แล้วก็ฝากพี่สาวไว้กับเรา เราก็ไม่ได้ทำงานเลยทั้งเดือน ต้องคอยดูแล ซึ่งปกติเราเปิดร้านต่อขนตาอยู่ที่บ้าน(ออกมาเช่าบ้านอยู่เองไม่ได้อยู่กับแม่ค่ะ) ตกเย็นพี่เขยก็มารับกลับ
เรารู้สึกว่าทุกๆคนก็เสียสละ เราจองสอบตั๋วทนายภาคทฤษฎี รวมคอร์สติวที่ซื้อไว้ก็ 4000กว่าบาท เราก็ไม่ได้ไปสอบ แต่ทุกครั้งที่ฟังพี่เขยพูดเขาจะทำให้ทุกคนดูเหนื่อยน้อยกว่าเขาเพราะเขาต้องดูแลลูกและเมีย แต่เขาลืมไปไหมว่าเราเองก็สวมหมวกหลายใบเหมือนกัน หมวกนักศึกษา หมวกช่างต่อขนตา หมวกแม่บ้านดูแลแมวที่บ้านเรา หมวกเมีย หมวกลูกสาวที่ต้องส่งค่าบ้านให้แม่ แล้ววันนี้เราก็ต้องสวมหมวกของน้องสาว ซึ่งก็คือเมียของคุณ
เขาดูมองไม่เห็นสิ่งนี้ค่ะ ที่เราเหนื่อยเหมือนกัน
ตั้งแต่เรื่องการนอนเฝ้า ที่รพ.ตอนกลางคืน รพ.ให้แค่ผู้หญิงเข้าเฝ้าเท่านั้น ห้ามผู้ชายเข้า พอเราบอกเขาก็มองว่า กลางวันก็เป็นเหมือนกัน แต่เราซึ่งเคยเฝ้าทั้งกลางวันและกลางคืนรับรู้ได้เลยว่ามันเพ้อหนักกว่ากลางวัน พี่สาวจะใช้แรงเพ้อทั้งหมดแล้วไปหลับเอาตอนกลางวัน แต่กลางวันก็มีเพ้อนะคะไม่ใช่ไม่เพ้อ แค่ไม่หนักเท่ากลางคืน
พอกลับมาบ้างก็บอกเราว่าที่เราเฝ้าที่ รพ.ตอนกลางคืนหน่ะสบาย ไม่หนักเท่าเขาตอนดูแลที่บ้าน เพราะพี่สาวถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ หารู้ไม่ว่ายิ่งมัดมือเสียงกรี๊ดมันทำให้เราแทบเป็นบ้า
เราเองก็พยามมองให้เห็นความเหนื่อยของพี่เขยเรา ฐานะพ่อ ฐานะผัว เขาก็ทำได้ดีอยู่ค่ะ แต่ความคิดเขาคือไม่ผ่านเอามากๆ และไม่ควรพูดมันออกมา
บางวันก็มีกินเลี้ยงบริษัทก็มาฝากเราทั้งกลางวันและกลางคืน เราก็แอบคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้เรื่องกินเลี้ยงมันสำคัญกว่าลูกเมียหรือ
เราทำเพื่อพี่สาวเราได้ค่ะ เรามองเห็นว่าเขาดีขึ้นทุกวันๆ แต่เราไม่โอเคกับความคิดพี่เขย แต่ก็ไม่ได้พูดขัดไป เพราะคิดว่าเขาก็ยังทำอยุ่ แต่เขาก็เปรยๆมาแล้วแหละว่าไม่รู้จะดูแลไหวถึงไหน เราเลยตกปากรับคำไปว่า หนูขอเวลาให้พี่สาวหนุ 3เดือน ถ้าไม่ดีขึ้น หนูกับแม่จะดูแลกันเอง เขาก็โอเค เราคิดว่า 3เดือน เป็นเวลาอันสั้นมากนะ😂 แต่ถ้าจะทิ้งกันลงคอก็คิดว่าเอาเลยค่ะ
ที่ผ่านมาเรามองว่าพี่สาวเราน่าสงสารมาตลอดค่ะ เขาก็พยายามทำหน้าที่เมีย หุงข้าวทำกับข้าว เลี้ยงลูก ทำงานไปด้วย รอผัวกินเหล้ากลับบ้าน บางครั้งก็มีติดผู้หญิงบ่อยๆ พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ยิ่งสงสารค่ะ สิ่งที่ทำมาตลอดพี่เขยเราไม่ได้มองว่ามันมีค่า แต่มองว่าไม่ได้ติดค้างอะไรกัน
เราเด็กอายุ 22ปี ยังคิดออกว่าคู่ชีวิตมันไม่ใช่ว่าเราต้องติดค้างกันถึงจะได้มาดูแลกันยามป่วยไข้ แต่อยู่ที่ว่าที่ผ่านมาระหว่างทางเรามีความสุขด้วยกันแค่ไหน เราทำอะไรให้กันบ้าง แค่นั้นก็เป็นเรื่องที่เราต้องขอบคุณซึ่งกันและกันแล้วค่ะ
ที่มั่นใจคือพี่สาวเราต้องหายเป็นปกติแน่นอน แล้วทีนี้มันจะเป็นยังไงกันต่อ
ทุกคนมีความคิดเห็นว่ายังไงกันบ้างคะ ถ้าเขาพูดเรื่องนี้มาอีก เราควรตอบอะไรกลับไปบ้างไหม แต่บอกก่อนว่าเขาหัวแข็งค่ะ คิดว่าตัวเองความคิดดี ไม่ฟังง่ายๆ ทั้งหมดนี้เราแค่อยากจะระบายความรู้สึกที่เจอมาในช่วงนี้ ขอบคุณที่อ่านค่ะ