
TITLE: สตีเวน สปีลเบิร์ก กับ "Schindler's List" : น้ำตาที่ไหลรินให้กับชีวิตที่ถูกพรากไป
สวัสดีครับเพื่อนสมาชิก Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องอยากจะมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ผมดูแล้วมันติดอยู่ในใจไปเลยครับ เป็นภาพยนตร์ขาวดำที่ชื่อว่า "Schindler's List" ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ครับ ใครที่ยังไม่เคยดู ผมบอกเลยว่าพลาดไม่ได้จริงๆ ครับ แต่ถ้าใครดูแล้ว ก็มาคุยกันได้นะครับ
ผมยอมรับเลยว่าตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่อง "Schindler's List" แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นหนังสงครามธรรมดาทั่วไป แต่พอได้ลองเปิดดูเท่านั้นแหละครับ โลกทั้งใบของผมมันเปลี่ยนไปเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่หนังสงครามธรรมดา แต่มันคือบันทึกประวัติศาสตร์ที่ทรงพลังมากๆ ครับ มันพาเราย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ยุโรปตกอยู่ในเงามืดของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ "Holocaust"
สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ตั้งแต่แรกเห็นเลยคือ การเลือกใช้ภาพยนตร์ขาวดำครับ มันไม่ใช่แค่การสร้างบรรยากาศให้ดูคลาสสิก หรือย้อนยุค แต่มันช่วยขับเน้นความโหดร้าย ทารุณ และความสิ้นหวังของยุคนั้นออกมาได้ชัดเจนมากๆ ครับ สีขาวดำมันเหมือนจะบอกเราว่า โลกในตอนนั้นมันไม่มีสีสัน มันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก และความตาย การที่ไม่มีสีสันเข้ามา ทำให้เราโฟกัสไปที่อารมณ์ สีหน้า แววตาของตัวละคร และความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ข้างในได้อย่างเต็มที่ครับ
ตัวละครหลักของเรื่องคือ ออสการ์ ชินด์เลอร์ (Oskar Schindler) ที่รับบทโดย เลียม นีสัน (Liam Neeson) ครับ ชินด์เลอร์เป็นนักธุรกิจชาวเยอรมันที่เข้ามาทำธุรกิจในโปแลนด์ช่วงที่นาซีเรืองอำนาจ ตอนแรกเลย ชินด์เลอร์ก็เป็นคนธรรมดาๆ ครับ เห็นแก่ตัวนิดๆ ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากสงคราม เขาใช้แรงงานชาวยิวราคาถูกเพื่อผลิตสินค้าให้กับกองทัพนาซี แล้วก็ทำเงินได้มหาศาลเลยครับ
แต่จุดเปลี่ยนของชินด์เลอร์มันค่อยๆ เกิดขึ้นครับ จากที่เขาเริ่มเห็นความโหดร้าย ทารุณ ที่พวกนาซีกระทำต่อชาวยิวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ สิ่งที่ผมชอบคือ หนังไม่ได้ทำให้ชินด์เลอร์กลายเป็นวีรบุรุษในทันทีนะครับ มันค่อยๆ สร้างพัฒนาการทางอารมณ์ของตัวละครให้เราเห็น ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป จากคนที่เคยหากำไรจากความทุกข์ยากของคนอื่น กลายมาเป็นคนที่ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตคนเหล่านั้น
อีกตัวละครหนึ่งที่ผมจะลืมไม่ได้เลยคือ อาโมส กอธ (Ammon Goeth) ผู้บัญชาการค่ายกักกัน พลาซอฟ (Płaszów) ที่รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ (Ralph Fiennes) ครับ ตัวละครตัวนี้มันคือภาพสะท้อนของความชั่วร้ายที่แท้จริงครับ เขาเป็นคนอำมหิต โหดเหี้ยม ไร้ความปรานี ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นราวกับฆ่าแมลงสาบ ฉากที่เขามายืนยิงชาวยิวจากระเบียงบ้านพักของตัวเองทุกวัน มันเป็นอะไรที่สะเทือนใจมากๆ ครับ เรล์ฟ ไฟนส์ แสดงได้แบบขนลุกจริงๆ ครับ เขาทำให้เราเกลียดตัวละครนี้ได้แบบสุดหัวใจเลย
หนังเรื่องนี้มันไม่ได้มีแค่ฉากแอ็คชั่น หรือฉากต่อสู้ที่หวือหวาครับ แต่ความระทึกขวัญของมันอยู่ที่การค่อยๆ บีบคั้นอารมณ์เราครับ การที่เราได้เห็นชีวิตประจำวันของชาวยิวที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของนาซี ความหวาดกลัว ความไม่แน่นอนของชีวิต การถูกปฏิบัติเหมือนไม่ใช่คน มันถูกนำเสนอออกมาได้อย่างละเอียดอ่อนและทรงพลังมากๆ ครับ
ฉากที่ผมจำได้แม่นเลยคือ ฉากเด็กผู้หญิงใส่ชุดสีแดงครับ ในโลกที่เต็มไปด้วยสีเทาของสงคราม มีเพียงเด็กผู้หญิงคนเดียวที่ใส่ชุดสีแดงสดใสเดินท่ามกลางความโกลาหลของชาวยิวที่ถูกเนรเทศออกจากค่ายกักกัน ฉากนั้นมันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความหวังเล็กๆ ท่ามกลางความมืดมิด แต่แล้วพอเราเห็นเธออีกครั้งในกองศพ มันก็ยิ่งตอกย้ำความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้แบบเจ็บปวดที่สุดครับ
"Schindler's List" มันทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างครับ มันสอนให้เรารู้ว่า มนุษย์เรามีทั้งด้านมืดและด้านสว่างจริงๆ แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ยังมีคนดีๆ ที่พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ชินด์เลอร์คือตัวอย่างของคนที่มีความกล้าหาญ และมีจิตใจที่สูงส่ง เขาใช้ทรัพย์สินและบารมีทั้งหมดที่มี เพื่อซื้อชีวิตของชาวยิวจำนวนกว่า 1,000 ชีวิต จากเงื้อมมือของพวกนาซี
การที่ชินด์เลอร์ทำ "รายชื่อ" ขึ้นมา เพื่อ "ซื้อ" ชีวิตคน มันเป็นอะไรที่กินใจผมมากๆ ครับ การที่เขาต้องใช้เงิน ทอง หรือสิ่งของมีค่า แลกกับชีวิตมนุษย์ มันสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตที่ถูกลดทอนลงไปในยุคนั้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างสุดกำลังของชินด์เลอร์ ที่จะรักษาชีวิตเหล่านั้นไว้
ฉากจบของหนัง ที่ชินด์เลอร์ยืนอยู่หน้าหลุมศพของคนที่เขาช่วยไว้ แล้วร้องไห้เสียใจที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือได้มากกว่านี้อีก เขาพูดว่า "If I had more money, I could have saved more people." (ถ้าผมมีเงินมากกว่านี้ ผมคงช่วยคนได้มากกว่านี้) ประโยคนั้นมันทำให้ผมน้ำตาไหลพรากเลยครับ มันแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิด ความเสียใจ และความรับผิดชอบที่เขามีต่อชีวิตเหล่านั้น
ผมอยากจะบอกว่า "Schindler's List" ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์นะครับ แต่มันคือบทเรียนทางประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องเตือนใจให้เราไม่ลืมความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก มันทำให้เราได้เห็นถึงคุณค่าของมนุษยธรรม ความเมตตา และความกล้าหาญ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ ครับ
หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ผมรู้สึกทั้งเศร้า โกรธ และประทับใจในเวลาเดียวกันครับ มันเป็นอารมณ์ที่ผสมปนเปกันไปหมด แต่มันทำให้ผมได้คิด ได้ตระหนักถึงความสำคัญของชีวิต และการไม่เพิกเฉยต่อความอยุติธรรม
สำหรับใครที่ยังลังเลว่าจะดูดีไหม ผมอยากให้ลองเปิดใจดูครับ เตรียมทิชชู่ไว้เยอะๆ ก็ดีนะครับ เพราะน้ำตามันไหลแน่นอน แต่รับรองว่ามันคุ้มค่ามากๆ ครับ "Schindler's List" เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การจดจำ และควรค่าแก่การบอกต่อมากๆ ครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ ถ้าใครมีความคิดเห็น หรืออยากแชร์ประสบการณ์หลังจากดูเรื่องนี้ ก็มาคุยกันได้เลยนะครับ ผมพร้อมรับฟังเสมอครับ
สตีเวน สปีลเบิร์ก กับ "Schindler's List" : น้ำตาที่ไหลรินให้กับชีวิตที่ถูกพรากไป
TITLE: สตีเวน สปีลเบิร์ก กับ "Schindler's List" : น้ำตาที่ไหลรินให้กับชีวิตที่ถูกพรากไป
สวัสดีครับเพื่อนสมาชิก Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องอยากจะมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่ผมดูแล้วมันติดอยู่ในใจไปเลยครับ เป็นภาพยนตร์ขาวดำที่ชื่อว่า "Schindler's List" ของผู้กำกับระดับตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ครับ ใครที่ยังไม่เคยดู ผมบอกเลยว่าพลาดไม่ได้จริงๆ ครับ แต่ถ้าใครดูแล้ว ก็มาคุยกันได้นะครับ
ผมยอมรับเลยว่าตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่อง "Schindler's List" แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเป็นหนังสงครามธรรมดาทั่วไป แต่พอได้ลองเปิดดูเท่านั้นแหละครับ โลกทั้งใบของผมมันเปลี่ยนไปเลย ภาพยนตร์เรื่องนี้มันไม่ใช่แค่หนังสงครามธรรมดา แต่มันคือบันทึกประวัติศาสตร์ที่ทรงพลังมากๆ ครับ มันพาเราย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ยุโรปตกอยู่ในเงามืดของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ "Holocaust"
สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ ตั้งแต่แรกเห็นเลยคือ การเลือกใช้ภาพยนตร์ขาวดำครับ มันไม่ใช่แค่การสร้างบรรยากาศให้ดูคลาสสิก หรือย้อนยุค แต่มันช่วยขับเน้นความโหดร้าย ทารุณ และความสิ้นหวังของยุคนั้นออกมาได้ชัดเจนมากๆ ครับ สีขาวดำมันเหมือนจะบอกเราว่า โลกในตอนนั้นมันไม่มีสีสัน มันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก และความตาย การที่ไม่มีสีสันเข้ามา ทำให้เราโฟกัสไปที่อารมณ์ สีหน้า แววตาของตัวละคร และความรู้สึกที่มันอัดอั้นอยู่ข้างในได้อย่างเต็มที่ครับ
ตัวละครหลักของเรื่องคือ ออสการ์ ชินด์เลอร์ (Oskar Schindler) ที่รับบทโดย เลียม นีสัน (Liam Neeson) ครับ ชินด์เลอร์เป็นนักธุรกิจชาวเยอรมันที่เข้ามาทำธุรกิจในโปแลนด์ช่วงที่นาซีเรืองอำนาจ ตอนแรกเลย ชินด์เลอร์ก็เป็นคนธรรมดาๆ ครับ เห็นแก่ตัวนิดๆ ต้องการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากสงคราม เขาใช้แรงงานชาวยิวราคาถูกเพื่อผลิตสินค้าให้กับกองทัพนาซี แล้วก็ทำเงินได้มหาศาลเลยครับ
แต่จุดเปลี่ยนของชินด์เลอร์มันค่อยๆ เกิดขึ้นครับ จากที่เขาเริ่มเห็นความโหดร้าย ทารุณ ที่พวกนาซีกระทำต่อชาวยิวมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เริ่มตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองกำลังทำอยู่ สิ่งที่ผมชอบคือ หนังไม่ได้ทำให้ชินด์เลอร์กลายเป็นวีรบุรุษในทันทีนะครับ มันค่อยๆ สร้างพัฒนาการทางอารมณ์ของตัวละครให้เราเห็น ว่าทำไมเขาถึงเปลี่ยนไป จากคนที่เคยหากำไรจากความทุกข์ยากของคนอื่น กลายมาเป็นคนที่ยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตคนเหล่านั้น
อีกตัวละครหนึ่งที่ผมจะลืมไม่ได้เลยคือ อาโมส กอธ (Ammon Goeth) ผู้บัญชาการค่ายกักกัน พลาซอฟ (Płaszów) ที่รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ (Ralph Fiennes) ครับ ตัวละครตัวนี้มันคือภาพสะท้อนของความชั่วร้ายที่แท้จริงครับ เขาเป็นคนอำมหิต โหดเหี้ยม ไร้ความปรานี ฆ่าคนอย่างเลือดเย็นราวกับฆ่าแมลงสาบ ฉากที่เขามายืนยิงชาวยิวจากระเบียงบ้านพักของตัวเองทุกวัน มันเป็นอะไรที่สะเทือนใจมากๆ ครับ เรล์ฟ ไฟนส์ แสดงได้แบบขนลุกจริงๆ ครับ เขาทำให้เราเกลียดตัวละครนี้ได้แบบสุดหัวใจเลย
หนังเรื่องนี้มันไม่ได้มีแค่ฉากแอ็คชั่น หรือฉากต่อสู้ที่หวือหวาครับ แต่ความระทึกขวัญของมันอยู่ที่การค่อยๆ บีบคั้นอารมณ์เราครับ การที่เราได้เห็นชีวิตประจำวันของชาวยิวที่ต้องอยู่ภายใต้การปกครองของนาซี ความหวาดกลัว ความไม่แน่นอนของชีวิต การถูกปฏิบัติเหมือนไม่ใช่คน มันถูกนำเสนอออกมาได้อย่างละเอียดอ่อนและทรงพลังมากๆ ครับ
ฉากที่ผมจำได้แม่นเลยคือ ฉากเด็กผู้หญิงใส่ชุดสีแดงครับ ในโลกที่เต็มไปด้วยสีเทาของสงคราม มีเพียงเด็กผู้หญิงคนเดียวที่ใส่ชุดสีแดงสดใสเดินท่ามกลางความโกลาหลของชาวยิวที่ถูกเนรเทศออกจากค่ายกักกัน ฉากนั้นมันเหมือนเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความหวังเล็กๆ ท่ามกลางความมืดมิด แต่แล้วพอเราเห็นเธออีกครั้งในกองศพ มันก็ยิ่งตอกย้ำความโหดร้ายของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ได้แบบเจ็บปวดที่สุดครับ
"Schindler's List" มันทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างครับ มันสอนให้เรารู้ว่า มนุษย์เรามีทั้งด้านมืดและด้านสว่างจริงๆ แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ก็ยังมีคนดีๆ ที่พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ชินด์เลอร์คือตัวอย่างของคนที่มีความกล้าหาญ และมีจิตใจที่สูงส่ง เขาใช้ทรัพย์สินและบารมีทั้งหมดที่มี เพื่อซื้อชีวิตของชาวยิวจำนวนกว่า 1,000 ชีวิต จากเงื้อมมือของพวกนาซี
การที่ชินด์เลอร์ทำ "รายชื่อ" ขึ้นมา เพื่อ "ซื้อ" ชีวิตคน มันเป็นอะไรที่กินใจผมมากๆ ครับ การที่เขาต้องใช้เงิน ทอง หรือสิ่งของมีค่า แลกกับชีวิตมนุษย์ มันสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของชีวิตที่ถูกลดทอนลงไปในยุคนั้น แต่ในขณะเดียวกัน มันก็แสดงให้เห็นถึงความพยายามอย่างสุดกำลังของชินด์เลอร์ ที่จะรักษาชีวิตเหล่านั้นไว้
ฉากจบของหนัง ที่ชินด์เลอร์ยืนอยู่หน้าหลุมศพของคนที่เขาช่วยไว้ แล้วร้องไห้เสียใจที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือได้มากกว่านี้อีก เขาพูดว่า "If I had more money, I could have saved more people." (ถ้าผมมีเงินมากกว่านี้ ผมคงช่วยคนได้มากกว่านี้) ประโยคนั้นมันทำให้ผมน้ำตาไหลพรากเลยครับ มันแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิด ความเสียใจ และความรับผิดชอบที่เขามีต่อชีวิตเหล่านั้น
ผมอยากจะบอกว่า "Schindler's List" ไม่ใช่แค่ภาพยนตร์นะครับ แต่มันคือบทเรียนทางประวัติศาสตร์ เป็นเครื่องเตือนใจให้เราไม่ลืมความโหดร้ายที่เคยเกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก มันทำให้เราได้เห็นถึงคุณค่าของมนุษยธรรม ความเมตตา และความกล้าหาญ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ ครับ
หลังจากดูหนังเรื่องนี้จบ ผมรู้สึกทั้งเศร้า โกรธ และประทับใจในเวลาเดียวกันครับ มันเป็นอารมณ์ที่ผสมปนเปกันไปหมด แต่มันทำให้ผมได้คิด ได้ตระหนักถึงความสำคัญของชีวิต และการไม่เพิกเฉยต่อความอยุติธรรม
สำหรับใครที่ยังลังเลว่าจะดูดีไหม ผมอยากให้ลองเปิดใจดูครับ เตรียมทิชชู่ไว้เยอะๆ ก็ดีนะครับ เพราะน้ำตามันไหลแน่นอน แต่รับรองว่ามันคุ้มค่ามากๆ ครับ "Schindler's List" เป็นภาพยนตร์ที่ควรค่าแก่การจดจำ และควรค่าแก่การบอกต่อมากๆ ครับ
ขอบคุณที่อ่านจนจบนะครับ ถ้าใครมีความคิดเห็น หรืออยากแชร์ประสบการณ์หลังจากดูเรื่องนี้ ก็มาคุยกันได้เลยนะครับ ผมพร้อมรับฟังเสมอครับ