ยิ่งพูดอธิบายปรมัตถธรรมก็ยิ่งเลอะเทอะ เพราะจะตกสู่บัญญัติธรรม จึงต้องอธิบายสภาวะธรรมด้วยการเห็นสภาวะจริงตรงหน้าขณะนั้น
สภาวะจริงตรงหน้าขณะนั้น ก็ต้องแยกออกได้ว่าอะไรคือผู้เห็น อะไรคือผู้ถูกเห็น สภาวะธรรมอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเกิดการเห็นใหม่ เปลี่ยนแปลง
ไปอย่างไร จึงะกลายมาเป็นคำพูดอย่างบัญญัติ เช่น
Q:เมื่อพูดว่าจิตได้รับการชำระ จึงสว่าง ว่าง ใส โล่ง สบายขึ้น
A:อธิบายสภาวะธรรมข้างต้นตามพระไตรปิฎกด้วย “มหาสุญญตาสูตร”
แต่จะรู้สึกด้วยิตใจอันเป็น“ผล” ว่า โล่ง ใส สว่าง เบา ว่าง สงบ
ผลจากการปฏิบัติ คือธรรมแท้จริงที่เกิดอยู่ตรงหน้าขณะนั้น
สภาวะจริงตรงหน้าขณะนั้น ก็ต้องแยกออกได้ว่าอะไรคือผู้เห็น อะไรคือผู้ถูกเห็น สภาวะธรรมอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเกิดการเห็นใหม่ เปลี่ยนแปลง
ไปอย่างไร จึงะกลายมาเป็นคำพูดอย่างบัญญัติ เช่น
Q:เมื่อพูดว่าจิตได้รับการชำระ จึงสว่าง ว่าง ใส โล่ง สบายขึ้น
A:อธิบายสภาวะธรรมข้างต้นตามพระไตรปิฎกด้วย “มหาสุญญตาสูตร”
แต่จะรู้สึกด้วยิตใจอันเป็น“ผล” ว่า โล่ง ใส สว่าง เบา ว่าง สงบ