รีวิว Avatar: Fire and Ash — ศึกระหว่างศรัทธา... การสูญเสีย... และเปลวเพลิงแห่งความแค้น

[Review] Avatar: Fire and Ash – อวตาร: อัคนีและธุลีดิน
บทนำ: การเดินทางสู่เถ้าถ่าน
"Avatar: Fire and Ash" เปรียบเสมือนบทที่ 2 ของเรื่องราวที่ยังเล่าไม่จบจาก "The Way of Water" เหตุการณ์ในภาคนี้แทบจะดำเนินต่อจากวินาทีที่ภาคก่อนทิ้งท้ายไว้แบบม้วนเดียวจบ หนังพาเรากลับไปสำรวจจิตใจของครอบครัวซัลลี่ย์ที่ยังคงแหลกสลายจากการสูญเสียลูกชายคนโต รอยร้าวในครอบครัวเริ่มปรากฏชัดขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความสัมพันธ์ที่เปราะบาง ภัยคุกคามจากอดีตก็หวนคืนมาอีกครั้ง เมื่อพันเอกไมล์ส ควอริตซ์ ที่รอดตายมาได้ด้วยความช่วยเหลือของ "สไปเดอร์" กลับมาพร้อมเพลิงแค้นที่รอวันสะสาง บทสรุปของซัลลี่และครอบครัวจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะประคองกันฝ่ามรสุมชีวิตระลอกนี้ไปได้หรือไม่ เป็นสิ่งที่คุณต้องไปหาคำตอบด้วยตาตัวเองในโรงภาพยนตร์



เนื้อเรื่อง (Score: 8/10)
สารภาพตามตรงว่าสำหรับไตรภาคนี้ หลายคนอาจรู้สึกว่าภาค 2 และภาค 3 เหมือนถูกมัดรวมเป็นเนื้อเดียวกัน หรือถ้าจะนิยามให้เห็นภาพที่สุด นี่คือ "ภาค 2.5" อย่างแท้จริง ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีนะครับ แต่มันไม่ได้มอบความรู้สึกก้าวกระโดดหรือเปิดโลกใบใหม่ที่ทำให้เราร้อง "ว้าว" ได้เหมือนตอนเปลี่ยนจากภาค 1 มาภาค 2
หนังยังคงปักหลักอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ปมปัญหาเดิม และเป้าหมายเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนคือ "บรรยากาศ" ที่หนักอึ้งและหดหู่ขึ้น การจากไปของเนเทยัมคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่กัดกินจิตใจของหัวหน้าครอบครัวอย่างซัลลี่อย่างรุนแรง ผสมโรงกับการรุกรานของมนุษย์ที่กัดกินทรัพยากรบนดาวแพนดอร่าอย่างตะกละตะกลามยิ่งกว่าเดิม

หลายท่านอาจสงสัยว่า ในเมื่อเรื่องยังดำเนินอยู่ที่หมู่บ้านอาวาอัคลู ท่ามกลางผืนน้ำและวิถีชีวิตชาวเล แล้วชื่อภาค "อัคนีและธุลีดิน" จะเข้ามามีบทบาทได้อย่างไร? คำตอบคือ ในภาคนี้ "ไฟ" ถูกนำเสนอในฐานะขั้วตรงข้ามของ "น้ำ" อย่างสิ้นเชิง หากน้ำคือตัวแทนของชีวิตและการ "ให้" ไฟในภาคนี้ก็คือตัวแทนของความตายและการ "พราก" มันคือเพลิงนรกที่พร้อมเผาผลาญทุกสรรพสิ่งที่ขวางทาง ด้วยความโกรธเกรี้ยว บ้าคลั่ง และไร้ความปรานี สิ่งเดียวที่เปลวเพลิงนี้จะทิ้งไว้เบื้องหลังมีเพียงแค่ "เถ้าธุลี" แห่งความสูญเสียเท่านั้น และผู้ที่ถ่ายทอดความร้อนระอุนี้ได้ดีที่สุดคงหนีไม่พ้น "วารัง" ผู้นำเผ่าแห่งเถ้าธุลี (Ash People) ชนเผ่าที่มีรากเหง้ากำเนิดมาจากความทรหดและการสูญเสีย พวกเขาเลือกที่จะปฏิเสธวิถีแห่ง "เอวา" พระแม่ผู้เป็นดั่งมารดาของทุกสรรพสิ่ง แรงขับเคลื่อนของวารังคือเปลวเพลิงแห่งความเกลียดชังที่พร้อมจะทำให้ผืนป่าลุกเป็นไฟ บอกเลยว่าเธอคือตัวร้ายหลักที่สมน้ำสมเนื้อและน่ากลัวไม่แพ้พันเอกไมล์สเลยทีเดียว

อีกจุดที่ผมขอขยายความเพราะชอบเป็นพิเศษ คือการเล่นประเด็นเรื่อง "ความเชื่อ" หนังกล้าตั้งคำถามว่า สิ่งที่ชาวนาวียึดถือนั้นคือศรัทธาอันแรงกล้า หรือเป็นเพียงความงมงายที่ส่งต่อกันมารุ่นสู่รุ่น? รวมถึงการเติบโตของ "โลอัค" ลูกชายคนรองที่จำต้องก้าวขึ้นมาแบกรับบทบาทผู้นำครอบครัวแทนพ่อ เขาต้องต่อสู้เพื่อการยอมรับ ทั้งจากคนรอบข้างและจากใจของเขาเอง ท่ามกลางครอบครัวที่ต่างฝ่ายต่างต้องเรียนรู้ที่จะเยียวยาบาดแผลให้แก่กัน

นอกจากนี้ มิติความสัมพันธ์ระหว่าง "มนุษย์" กับ "ชาวนาวี" ก็ถูกเล่าผ่านตัวละครอย่างเนทิรี ผู้สูญเสียทุกอย่างให้แก่มนุษย์ กับพันเอกไมล์ส ที่กายละเอียดเริ่มกลายเป็นชาวนาวีเข้าไปทุกที ความขัดแย้งเหล่านี้ถูกหลอมรวมออกมาได้น่าสนใจ ทำให้เห็นว่าต่อให้ครอบครัวเคยแตกสลาย แต่ถ้าหันหน้ามาทำความเข้าใจ มันก็ประกอบร่างสร้างใหม่ได้เสมอ โดยรวมแล้ว Avatar 3 เต็มไปด้วยประเด็นยิบย่อยให้เก็บไปขบคิด และพาเราดำดิ่งสู่ด้านมืดของดาวดวงนี้ โดยย้ำชัดว่าในครั้งนี้... การหนีไม่ใช่ทางออกอีกต่อไป



(​วารัง หนึ่งในตัวร้ายหลักประจำภาคนี้)


งานภาพและการนำเสนอ (Score: 9/10)
ขอออกตัวก่อนเลยว่ารอบนี้ผม "ไม่ได้ดูในระบบ IMAX" นะครับ แต่ขนาดดูจอธรรมดา งานภาพยังโหดจัดสมฐานะทุนสร้างมหาศาลจริงๆ อาจบอกไม่ได้เต็มปากว่าดีกว่าภาคก่อนไหมเพราะมาตรฐานเดิมทำไว้สูงลิบลิ่ว แต่บอกได้คำเดียวว่า "ไร้ที่ติ"
งานศิลป์ แสง สี เสียง ทุกองค์ประกอบทำหน้าที่สอดประสานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ให้ความรู้สึกเหมือนเราถูกวาร์ปไปเดินอยู่บนดาวแพนดอร่าจริงๆ โดยเฉพาะฉากธรรมชาติที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์มารบกวน เป็นความงามที่ชวนให้ลืมหายใจ ใครที่เป็นแฟนเดนตายของแฟรนไชส์นี้ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน แต่ถ้ามีโอกาส ผมก็ยังเชียร์ให้ไปดูในระบบที่จอใหญ่ที่สุดเท่าที่จะหาได้ครับ

  
(​เผ่าทลาลิม​ หรือที่รู้จักในชื่อ วินด์เทรดเดอร์ส)


การแสดง(​Score: 9/10)
แม้เราจะรู้ดีว่านี่คืองาน Motion Capture แต่การถ่ายทอดอารมณ์ทางสีหน้าของตัวละครนั้นทำออกมาได้ยอดเยี่ยมจนน่าขนลุก โดยเฉพาะในฉากดราม่าบีบหัวใจ ไม่มีจังหวะไหนที่ตัวละครดู "หลุด" หรือดูเป็นแค่หุ่นกราฟิกเลยแม้แต่น้อย
อาจจะฟังดูขี้โม้ แต่เทคโนโลยีการจับภาพที่ละเอียดระดับนี้ มันช่วยยกระดับการเล่าเรื่องไปอีกขั้นจริงๆ มันทำให้บทดราม่าของทั้งตัวละครหลักและรองดูมีเลือดเนื้อ มีจิตวิญญาณ และส่งอารมณ์กระแทกใจคนดูได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย


(การแสดงภาคนี้ยังเป็นที่น่าชื่นชมเช่นเคยครับ โดยเฉพาะบทดราม่าที่เป็นอีกจุดเด่นของภาคนี้ อินและเข้าถึงทุกตัวละครเลย)


ความบันเทิง (Score: 10/10)
ภาคนี้ถือว่าคุมจังหวะหนังและกระชับบทได้ดีมากครับ ตอนแรกแอบหวั่นใจกับข่าวลือว่าเนื้อเรื่องไม่ค่อยเดินหน้า บวกกับความยาวระดับ 3 ชั่วโมง แต่พอได้ดูจริงกลับไม่รู้สึกเบื่อเลย
ผมคงไม่พูดว่ามันสนุกจนลืมเวลา แต่มันคือความบันเทิงที่ "ตรึง" ให้เราอยากดูต่อไปเรื่อยๆ อยากรู้ว่าตัวละครจะหาทางออกอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นต่อ และปมที่ค้างคาจะถูกคลี่คลายแบบไหน เป็น 3 ชั่วโมงที่คุ้มค่าตั๋วทุกนาทีครับ



(แม้ตัวหนังจะมีการแบ่งบทย่อยในเรื่องแบบเบาๆ ก็ไม่รู้สึกถึงการขาดตอนเลยแม้แต่น้อยครับ​)


สรุปภาพรวม (Overall score: 9/10)
แม้ "Avatar: Fire and Ash" จะไม่ใช่การก้าวกระโดดที่ดีดตัวเราไปไกลจากจุดเดิมมากนัก แต่มันคือ "ก้าว" ที่หนักแน่น มั่นคง และทรงพลัง ผมเชื่อว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งแรงส่งมหาศาลไปยังภาคต่อไป นี่คือผลงานระดับมาสเตอร์พีซอีกเรื่องของวงการภาพยนตร์ที่สมควร และ "ควรค่า" แก่การตีตั๋วเข้าไปดูสักครั้งครับ

เพี้ยนไม่อยากจะเล่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่