[รีวิว] Avatar: Fire and Ash - ครึ่งหลังของมหาศึกสายน้ำ ทวีคูณทุกองค์ประกอบเพื่อบทสรุปสุดตราตรึง

1) Fire and Ash เป็นภาคที่เข้ามาเติมเต็มสิ่งที่เกิดขึ้นใน The Way of Water จนเราแทบจะเรียกภาคนี้ว่าเป็น The Way of Water Part 2 ได้เลย ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเพราเดิมทีแล้วผู้กำกับอย่าง "เจมส์ คาเมรอน" (James Cameron) หมายมั่นจะเล่าเรื่องทั้งสองภาคนี้ยาวเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวแบบไร้รอยต่อ แต่การจะให้ภาพยนตร์สักเรื่องยาวประมาณ 5-6 ชั่วโมงคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาจึงจำใจต้องแบ่งมันออกเป็นสองภาคตามที่เราได้ชมกันไป (เพราะหากจะให้ตัดบางส่วนของหนังทิ้งละก็คนอย่างเจมส์ คาเรรอน คงเลือกที่จะไม่ฉายเลยดีกว่า) และนั่นจึงทำให้โครงเรื่องของภาคนี้ให้อารมณ์ความรู้สึกของการ "วนซ้ำ" กับภาคก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
.
2) แม้จะเป็นการเล่าเรื่องเดิม แต่มองไม่เห็นแง่มุมไหนเลยที่เราจะบอกได้ว่า Avatar: Fire and Ash ของเจมส์ คาเมรอน เป็นงานในระดับที่ "ว่างก็ไปดู" เหมือนเวลาเห็นภาพยนตร์ภาคต่อของแฟรนไชส์ที่หากคุณไม่เคยติดตามมาก่อนไม่ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจแบบนั้น เพราะนี่เป็นสิ่งที่เจมส์ คาเมรอน ทุ่มเททุนทรัพย์และเวลากว่าค่อนชีวิต ร่วมกับทีมงานและศิลปินมากฝีมืออีกหลายร้อยชีวิต จนสามารถพูดได้เต็มปากว่างานสร้างของ Avatar ทุกภาคนั้น อยู่ในระดับสูงที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถทำได้แล้ว หากคุณเป็นคนที่รักในภาพยนตร์ การจะเข้าไปดู "ที่สุด" ของภาพยนตร์ ต่อให้ไม่ว่างก็ต้องไปดูให้ได้
.
3) เสน่ห์ของดาวแพนโดร่ายังคงความขลังและความน่าตื่นตาอยู่เสมอ ใน The Way of Water เจมส์ คาเมรอน พาผู้ชมไปท่องใต้ท้องทะเลสุดวิจิตรกับชนเผ่า “เมตคายีน่า” (Metkayina Clan) มาแล้ว เมื่อการเดินทางครั้งใหม่ของ "เจค ซัลลี่" (Sam Worthington) และครอบครัวอุบัติขึ้น จึงเปิดโอกาสให้เราได้เห็นพื้นที่ใหม่ๆ ของดาวแพนโดร่า ทั้งการเดินทางบนฟ้าไปกับชนเผ่า "ทลาลิม" (Tlalim Clan) หรือที่เรียกกันว่า "วินด์ เทรดเดอร์" (Windtraders) และการพาไปรู้จักบริเวณภูเขาไฟที่ชนเผ่ามังควาน (Mangkwan Clan) ปกครองอยู่ ซึ่งฝ่ายหลังมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า "เผ่าธุลี" (Ash People) แน่นอนว่าเผ่าธุลีนี้กลายเป็นดาวเด่นตามชื่อภาคเช่นกัน
.
4) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบทบาทของเผ่าธุลียังน้อยไปหน่อยหากเทียบกับการถูกชูเป็นชื่อภาค ผู้นำเผ่าอย่าง "วารัง" (Oona Chaplin) แม้จะแพร่งพรายเสน่ห์อย่างเหลือล้น และถ่ายทอดพิธีกรรมการบูชาไฟอันลึกลับน่าค้นหา แต่สุดท้ายแล้วเธอยังเป็นเพียงแค่หมากของผู้พัน "ไมลส์ ควอริทช์" (Stephen Lang) ที่ยังคงเป็นตัวร้ายหลักของเรื่อง แต่ ณ เวลานี้ต่างออกไปเล็กน้อย คือ ความขัดแย้งที่ซับซ้อนขึ้นในจิตใจระหว่างการเลือกเป้าหมายเดิมตอนเป็นมนุษย์หรือยอมเกิดใหม่ในร่างอวตาร (เหมือนแบบที่เจคเป็น) นั่นทำให้ตัวละครนี้โดดเด่นขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัวจากภาคที่แล้ว ส่วนทางด้านวารัง คาดว่าตัวละครนี้จะสำคัญขึ้นในภาคต่อไปแน่นอน (ภาคนี้ขายสวยไปก่อน)
.
5) ใน The Way of Water เชื่อว่าหลายคนจะมีคำถามหลายอย่างคาใจอยู่ หลักๆ เป็นเรื่องของ "คิรี" (Sigourney Weaver) ที่มีใบหน้าคล้ายมนุษย์มากทั้งๆ ที่เธอไม่ได้เป็นร่างอวตารของใคร (แต่มองยังไงก็ต้องเกี่ยวข้องกับ ดร.เกรซ แน่ๆ) หรือการมีอยู่ของ "สไปเดอร์" (Jack Champion) ที่มีบทบาทน้อยเกินไปในภาคที่แล้ว ครั้งนี้ใน Fire and Ash ทุกอย่างถูกไขกระจ่างและเติมเต็มได้น่าพอใจ เป็นไปตามที่คาดว่าสไปเดอร์จะมีบทบาทมากในภาคนี้ แถมยังไม่ใช่แค่ผิวเผิน เจมส์ คาเมรอน เอาประเด็นเรื่องความต่างระหว่างเผ่าพันธุ์มานำเสนอได้อย่างลึกซึ้งและกินใจ
.
6) โดยเป็นการคลายปมที่ใหญ่ที่สุดของเรื่อง นั่นก็คือ การยอมรับในตัวตนที่แตกต่าง โดยตัวละครที่มีปมกับเรื่องนี้มากที่สุดหนีไม่พ้น "เนย์ทิรี" (Zoe Saldana) อย่าลืมว่าเธอเป็นชาวนาวีแท้ๆ แต่ดั้งเดิม การเข้ามารุกรานของมนุษย์ทำให้เธอต้องจากบ้านเกิดมาไกลก็หนักหนาพออยู่แล้ว ยิ่งการที่เสียลูกชายคนโตอย่าง "นาทายัม" (Jamie Flatters) ไปด้วยน้ำมือของมนุษย์(กลุ่มเดิม)ในภาคที่แล้วอีก ก็ยิ่งเป็นการสร้างบาดแผลในใจให้กับเธออย่างแสนสาหัส
.
7) แม้จะไม่ได้เป็นตัวละครหลักแบบภาคแรกแต่เนย์ทิรีก็ยังมีความสำคัญในแง่ของการถ่ายทอดแก่นเรื่อง การจากบ้านเกิดเผ่า “โอมาติกายา” (Omatikaya) มาไกล ทำให้เนย์ทิรีที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของเผ่าไม่สามารถเชื่อมต่อกับเอวาได้ ความทุกข์โศกนี้ทำให้เธอไม่ยอมรับสิ่งใดอีก กระทั่งดูถูกสมุนไพรของเผ่าเมตคายีน่าว่าดีไม่เท่าของเผ่าตัวเอง จนเกือบจะทะเลาะกับ “โรแนล” (Kate Winslet) ด้วยซ้ำ นั่นยิ่งทำให้การที่เธอเรียนรู้ในตัวของสไปเดอร์มีค่าอย่างมหาศาลและกลายเป็นสิ่งที่งดงามมากๆ ในภาคนี้ ซึ่งแน่นอนต้องชื่นชม โซอี้ ซัลดาน่า ที่ถ่ายทอดการแสดงอันน่าทึ่งนี้ให้กับเรา
.
8) ด้วยเวลากว่า 3 ชั่วโมง 15 นาที มีเวลาเหลือเฟือให้เจมส์ คาเมรอน เล่าเรื่องได้ตามที่เขาต้องการ ในภาพเล็กที่เป็นปมของตัวละครจึงถูกถ่ายทอดได้ครบถ้วน กระทั่งตัวของลูกชายคนเล็กอย่าง "โลอัค" (Britain Dalton) ก็ยังมีพัฒนาการเพิ่มขึ้น แต่ทว่าในภาพใหญ่มันยังคงเป็นปมระหว่างมนุษย์และชาวนาวีแบบเดิมๆ ฝั่งมนุษย์ที่นำโดย RDA ก็ยังคงดำสนิทไม่เปลี่ยนแปลง (มีกลับใจบ้างบางคน) แต่นั่นก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าผิด เพราะอย่างที่บอกไปว่าภาคนี้มันคือการตามมาปิดปมใน The Way of Water นั่นเอง
.
9) เหนือสิ่งอื่นใดขึ้นชื่อว่า Avatar แล้ว ตั้งแต่วินาทีแรกที่ตัวภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้น ก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ที่ไม่ว่ามันจะเห็นทะเลสักกี่รอบ เห็นภูเขา ป่าไม้ ฝูงสัตว์ ชาวนาวี กองทัพ RDA ก็ล้วนแล้วแต่น่าหลงใหล มันไม่มีจุดไหนเลยที่จะรู้สึกว่าเป็นการทำเพื่อสุกเอาเผากิน ความอลังการของฉากแอคชั่นที่หากเป็นภาพยนตร์เรื่องอื่นมันอาจจะเป็นจุดไคลแมกซ์ได้เลย แต่สำหรับ Avatar มันเกิดขึ้นแทบทั้งเรื่อง ยิ่งฉากต่อสู้สุดท้ายนั้นต้องบอกเลยว่าทั้งอันตรายแต่ก็งดงาม
.
10) เชื่อว่าผู้ชมคงจะเต็มอิ่มกับเรื่องราวของ เจค ซัลลี่และครอบครัวของเขาแล้ว ใน Avatar 4 อาจจะต้องขยับขยายเนื้อเรื่องไปในทิศทางอื่นมากขึ้น อาจจะเป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของเจค ที่ตัวเขากลายเป็นตำนานวีรบุรุษ หรือ การไปสำรวจพื้นที่ใหม่ๆ บนดาวแพนโดร่าที่มีเนื้อเรื่องให้น่าค้นหามากขึ้น หรือปมใหญ่ที่สุดอย่าง “เอวา” ที่ถูกแง้มมากขึ้นในภาคนี้ก็เชื่อว่าจะมีความสำคัญในอนาคตเช่นกัน ดีไม่ดีอาจจะทำให้ Avatar กลายเป็นภาพยนตร์ไซไฟปรัชญาที่ล้ำลึกเช่นเดียวกับ The Matrix เลยก็เป็นได้

Story Decoder
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่