ตอนนี้ยอมรับว่าเครียดและอยากหาทางออกกับสิ่งที่กำลังแบกและเผชิญอยู่ครับ
ผมอายุ 34 มีลูก 2 คนแม่ 1 คน ที่ผ่านมาผมพยายามจะลุกขึ้นจากวิกฤตชีวิตชข่วงโควิดแต่ก็ประคองตัวเองร่อแร่มาตลอดจากร้านเสื้อผ้าที่ติดลบหายไปกับตา เลยเลือกจะมาทำงานประจำและทำฟรีแลนซ์เพิ่มเติม เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากสิ่งต่าง ๆ ผมรู้สึกว่าผมแบกภาระทางจิตใจอยู่มากเหมือนกันครับที่ต้องพยายามรักษาสภาพแวดล้อมในครอบครัวให้เป็นสุข หรือให้เป็นปกติสุขธรรมดา
ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา ผมพยายามจะฟื้นจากวิกฤตที่ตัวเองกำลังเจอแต่ด้วยหนี้สิน (ตอนนี้ใกล้หมดแล้ว) และภาระบวกกับปัจจัยอื่นๆ ทำให้ผมต้องรู้สึกเจ็บปวดและท้อกับมัน แต่พยายามสู้เพื่อลูก คุณแม่ผมช่วยขายอาหารเดลิเวอรี่ แม้จะอายุมากแล้ว หลง ๆ ลืม ๆ ทำถูกบ้างผิดบ้างเพราะบางวันผมออกไปทำงานแม่ต้องทำคนเดียว แต่ก็พอจะได้ค่าน้ำค่าไฟมาจุนเจือ ผมเองต้องหาค่าเช่าบ้าน ค่าเทอม ค่ากิน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
แต่ตอนนี้มันหนักมาก ๆ เพราะปัญหาเรื่องงานที่ลูกค้าวางบิล (ผมเป็นฟรีแลนซ์เอเจนซี่อีเว้นท์) จนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบ้านที่เช่าขอให้ผมย้ายออกเพราะผมจ่ายล่าช้า (แต่ไม่เคยติดค่าเช่าข้ามเดือน) ผมต้องไปหาที่อยู่ใหม่ เพราะการย้ายบ้านนั่นคือปัญหาที่ใหญ่สำหรับผม ผมเลือกเช่าบ้านที่อยู่ใกล้โรงเรียนเพื่อที่ลูก ๆ จะได้เดินทางกลับบ้านเองได้ ผมและแม่จะได้มีเวลาทำงาน พยายามให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด
เป็นสิ้งชปีที่สิ้นหวังมาก ๆ ผมแทบจะนอนไม่ได้เลยสะดุ้งตื่นทั้งคืน แต่ต้องทำตัวปกติ ผมไม่รู้ผมจะทำยังไง หรือจะต้องผ่านเรื่องนี้ไปแบบไหน ในทางกลับกันปีหน้าผมมีงานที่กำลังจะเซ็นต์สัญญา และขายงานอีกเยอะแยะมากมาย แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น ผมไม่รู้เลยว่าผมจะอดทนกับตรงนี้ได้มากแค่ไหน แม่ผมเองก็อายุมากแล้วก็เครียดไปด้วย ผมยอมรับว่าพอบรรยากาศในบ้านเป็นแบบนี้มันก็เจ็บปวดเหมือนกัน ยิ่งผมเคยเจอจดหมายที่ระบายความรู้สุกของแม่เชิงไม้อยากอยู่เป็นภาระลูกผมยิ่งเจ็บปวดไปอีกหลายเท่า แทบเป็นปมของผม โชคดีที่ลูก ๆ ของผมเข้าใจ และไม่ได้เป็นทุกข์ไปด้วย เขาก็สดใสและทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ๆ ด้วย
ผมอยากถามพี่ ๆสมาชิกครับว่าใครมีประสบการณ์หรือมีอะไรอยากแนะนำผมให้ผมพอจะมีทางออกจากทางตันตรงนี้ไหมครับ ขอบคุณมากครับ
อยากถามเพ่ือนๆ พี่ๆ ว่ามีวิธีจัดการกับทางตันของชีวิตยังไงบ้างครับ
ผมอายุ 34 มีลูก 2 คนแม่ 1 คน ที่ผ่านมาผมพยายามจะลุกขึ้นจากวิกฤตชีวิตชข่วงโควิดแต่ก็ประคองตัวเองร่อแร่มาตลอดจากร้านเสื้อผ้าที่ติดลบหายไปกับตา เลยเลือกจะมาทำงานประจำและทำฟรีแลนซ์เพิ่มเติม เพื่อให้พอกับค่าใช้จ่าย นอกเหนือจากสิ่งต่าง ๆ ผมรู้สึกว่าผมแบกภาระทางจิตใจอยู่มากเหมือนกันครับที่ต้องพยายามรักษาสภาพแวดล้อมในครอบครัวให้เป็นสุข หรือให้เป็นปกติสุขธรรมดา
ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา ผมพยายามจะฟื้นจากวิกฤตที่ตัวเองกำลังเจอแต่ด้วยหนี้สิน (ตอนนี้ใกล้หมดแล้ว) และภาระบวกกับปัจจัยอื่นๆ ทำให้ผมต้องรู้สึกเจ็บปวดและท้อกับมัน แต่พยายามสู้เพื่อลูก คุณแม่ผมช่วยขายอาหารเดลิเวอรี่ แม้จะอายุมากแล้ว หลง ๆ ลืม ๆ ทำถูกบ้างผิดบ้างเพราะบางวันผมออกไปทำงานแม่ต้องทำคนเดียว แต่ก็พอจะได้ค่าน้ำค่าไฟมาจุนเจือ ผมเองต้องหาค่าเช่าบ้าน ค่าเทอม ค่ากิน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
แต่ตอนนี้มันหนักมาก ๆ เพราะปัญหาเรื่องงานที่ลูกค้าวางบิล (ผมเป็นฟรีแลนซ์เอเจนซี่อีเว้นท์) จนในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาบ้านที่เช่าขอให้ผมย้ายออกเพราะผมจ่ายล่าช้า (แต่ไม่เคยติดค่าเช่าข้ามเดือน) ผมต้องไปหาที่อยู่ใหม่ เพราะการย้ายบ้านนั่นคือปัญหาที่ใหญ่สำหรับผม ผมเลือกเช่าบ้านที่อยู่ใกล้โรงเรียนเพื่อที่ลูก ๆ จะได้เดินทางกลับบ้านเองได้ ผมและแม่จะได้มีเวลาทำงาน พยายามให้ทุกคนดูแลตัวเองให้ได้มากที่สุด
เป็นสิ้งชปีที่สิ้นหวังมาก ๆ ผมแทบจะนอนไม่ได้เลยสะดุ้งตื่นทั้งคืน แต่ต้องทำตัวปกติ ผมไม่รู้ผมจะทำยังไง หรือจะต้องผ่านเรื่องนี้ไปแบบไหน ในทางกลับกันปีหน้าผมมีงานที่กำลังจะเซ็นต์สัญญา และขายงานอีกเยอะแยะมากมาย แต่กว่าจะไปถึงตรงนั้น ผมไม่รู้เลยว่าผมจะอดทนกับตรงนี้ได้มากแค่ไหน แม่ผมเองก็อายุมากแล้วก็เครียดไปด้วย ผมยอมรับว่าพอบรรยากาศในบ้านเป็นแบบนี้มันก็เจ็บปวดเหมือนกัน ยิ่งผมเคยเจอจดหมายที่ระบายความรู้สุกของแม่เชิงไม้อยากอยู่เป็นภาระลูกผมยิ่งเจ็บปวดไปอีกหลายเท่า แทบเป็นปมของผม โชคดีที่ลูก ๆ ของผมเข้าใจ และไม่ได้เป็นทุกข์ไปด้วย เขาก็สดใสและทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ๆ ด้วย
ผมอยากถามพี่ ๆสมาชิกครับว่าใครมีประสบการณ์หรือมีอะไรอยากแนะนำผมให้ผมพอจะมีทางออกจากทางตันตรงนี้ไหมครับ ขอบคุณมากครับ