ฟังธรรมน้อยหรือมาก ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย
.
พระพาหิยะ กับ พระจูฬปันถก
.
คำถามที่ว่า “ต้องฟังธรรมมากแค่ไหนจึงจะบรรลุธรรม” เป็นคำถามที่พบได้บ่อยทั้งในแวดวงนักปฏิบัติและผู้อ่านทั่วไป แต่เมื่อย้อนดูพุทธประวัติ จะพบว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ “จำนวนครั้ง” หากแต่อยู่ที่ “ความพร้อมของจิต” เป็นสำคัญ
.
บทความนี้ชวนพิจารณาผ่านพระอรหันต์สองรูปที่มีเส้นทางต่างกันอย่างชัดเจน คือ พระพาหิยะ และ พระจูฬปันถก
.
พระพาหิยะ: ธรรมสั้นที่สุด แต่แทงตลอดที่สุด
พระพาหิยะเป็นตัวอย่างสำคัญในพระไตรปิฎกฝ่ายขุททกนิกาย อุทาน ที่มักถูกยกขึ้นอ้างอิงเมื่อกล่าวถึงการบรรลุธรรมอย่างฉับพลัน ท่านเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและขอพระธรรมโดยเร่งด่วน พระพุทธเจ้าประทานคำสอนเพียงไม่กี่ประโยค โดยชี้ตรงไปที่การรับรู้อารมณ์ตามความเป็นจริง
.
สาระสำคัญของธรรมบทนั้นคือ การหยุดการปรุงแต่งอัตตาในสิ่งที่เห็น ได้ยิน สัมผัส และรู้คิด เมื่อจิตไม่เข้าไปยึดถือว่าเป็น “เรา” หรือ “ของเรา” วงจรแห่งทุกข์ย่อมสิ้นสุดลง
.
ตามคัมภีร์ระบุว่า พระพาหิยะ บรรลุพระอรหัตผลทันทีในขณะฟังธรรม และต่อมาไม่นานก็ถึงมรณภาพ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านว่าเป็นผู้ตรัสรู้โดยเร็วที่สุดในหมู่สาวก
ในเชิงปริมาณ จึงกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า พระพาหิยะเป็นผู้ที่ ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าน้อยมากที่สุด แต่เป็นธรรมที่ “ตรงจริต ตรงจุด และตรงเวลา”
.
พระจูฬปันถก: ธรรมที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป
พระจูฬปันถกปรากฏใน อรรถกถาธรรมบท ในฐานะพระภิกษุผู้มีข้อจำกัดด้านความจำ แม้จะพยายามท่องคาถาสั้น ๆ ก็ไม่สามารถจำได้ ความล้มเหลวนี้มิได้กลายเป็นอุปสรรคถาวร หากกลับเป็นจุดเริ่มต้นของอุบายการสอนที่ลึกซึ้ง
.
พระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนจากการสอนด้วยถ้อยคำ มาเป็นการสอนผ่านการปฏิบัติ โดยให้ผ้าสะอาดและกำหนดคำภาวนา “รโชหรณํ” ขณะเช็ดผ้า เมื่อผ้าขาวค่อย ๆ หม่นลง พระจูฬปันถกจึงเกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยงและความเศร้าหมองของสังขาร จนนำไปสู่การบรรลุพระอรหัตผลในที่สุด
.
กรณีนี้สะท้อนว่า พระจูฬปันถก ไม่ได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียว แต่ได้รับการชี้แนะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในลักษณะของกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับพื้นฐานของตน
.
เมื่อพิจารณาทั้งสองกรณีร่วมกัน จะเห็นความจริงเชิงพุทธปรัชญาที่สำคัญอย่างน้อยสามประการ
.
ประการแรก ปริมาณการฟังธรรมไม่ใช่ตัวชี้ขาดการบรรลุธรรม พระพาหิยะฟังน้อยมากแต่บรรลุเร็ว ส่วนพระจูฬปันถกฟังมากกว่าแต่ต้องใช้เวลา
.
ประการที่สอง พระพุทธเจ้าทรงใช้หลัก อุบายโกศล อย่างยิ่งยวด ธรรมเดียวกันอาจไม่เหมาะกับทุกคน วิธีการสอนจึงต้องสอดคล้องกับอินทรีย์และพื้นฐานจิตของผู้ฟัง
.
ประการที่สาม การฟังธรรมในพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงการ “ได้ยินถ้อยคำ” เท่านั้น หากรวมถึงการรับคำชี้แนะแล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดปัญญา
.
บทสรุป
.
หากถามอย่างตรงไปตรงมาว่า
ใครฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าน้อยกว่ากัน
คำตอบตามคัมภีร์คือ พระพาหิยะ
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคำตอบนั้นคือ บทเรียนที่พุทธประวัติกำลังสื่อสารกับเรา
ธรรมะไม่วัดกันที่จำนวนครั้งที่ฟัง
แต่วัดกันที่จิตพร้อมจะ “วาง” หรือยัง
บางคนต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
บางคนใช้เพียงชั่วขณะ
แต่เมื่อถึงจุดที่จิตปล่อยวางได้จริง
เส้นทางก็จบลงตรงกัน
.
แหล่งอ้างอิง
-พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เรื่องพระพาหิยะ
-อรรถกถาธรรมบท เรื่องพระจูฬปันถก
-Buddhaghosa, Dhammapada-aṭṭhakathā (PTS)
ก็อปข้อความจากเวปข้างล่าง
ผมไม่ได้เขียนเอง
https://www.facebook.com/groups/1630835563799505/permalink/4203702533179449/?app=fbl
เข้ามาอ่านบรรลุธรรม2แบบตามเนื้อหาพระไตรปิฏก
.
พระพาหิยะ กับ พระจูฬปันถก
.
คำถามที่ว่า “ต้องฟังธรรมมากแค่ไหนจึงจะบรรลุธรรม” เป็นคำถามที่พบได้บ่อยทั้งในแวดวงนักปฏิบัติและผู้อ่านทั่วไป แต่เมื่อย้อนดูพุทธประวัติ จะพบว่าคำตอบไม่ได้อยู่ที่ “จำนวนครั้ง” หากแต่อยู่ที่ “ความพร้อมของจิต” เป็นสำคัญ
.
บทความนี้ชวนพิจารณาผ่านพระอรหันต์สองรูปที่มีเส้นทางต่างกันอย่างชัดเจน คือ พระพาหิยะ และ พระจูฬปันถก
.
พระพาหิยะ: ธรรมสั้นที่สุด แต่แทงตลอดที่สุด
พระพาหิยะเป็นตัวอย่างสำคัญในพระไตรปิฎกฝ่ายขุททกนิกาย อุทาน ที่มักถูกยกขึ้นอ้างอิงเมื่อกล่าวถึงการบรรลุธรรมอย่างฉับพลัน ท่านเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและขอพระธรรมโดยเร่งด่วน พระพุทธเจ้าประทานคำสอนเพียงไม่กี่ประโยค โดยชี้ตรงไปที่การรับรู้อารมณ์ตามความเป็นจริง
.
สาระสำคัญของธรรมบทนั้นคือ การหยุดการปรุงแต่งอัตตาในสิ่งที่เห็น ได้ยิน สัมผัส และรู้คิด เมื่อจิตไม่เข้าไปยึดถือว่าเป็น “เรา” หรือ “ของเรา” วงจรแห่งทุกข์ย่อมสิ้นสุดลง
.
ตามคัมภีร์ระบุว่า พระพาหิยะ บรรลุพระอรหัตผลทันทีในขณะฟังธรรม และต่อมาไม่นานก็ถึงมรณภาพ พระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านว่าเป็นผู้ตรัสรู้โดยเร็วที่สุดในหมู่สาวก
ในเชิงปริมาณ จึงกล่าวได้อย่างชัดเจนว่า พระพาหิยะเป็นผู้ที่ ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าน้อยมากที่สุด แต่เป็นธรรมที่ “ตรงจริต ตรงจุด และตรงเวลา”
.
พระจูฬปันถก: ธรรมที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป
พระจูฬปันถกปรากฏใน อรรถกถาธรรมบท ในฐานะพระภิกษุผู้มีข้อจำกัดด้านความจำ แม้จะพยายามท่องคาถาสั้น ๆ ก็ไม่สามารถจำได้ ความล้มเหลวนี้มิได้กลายเป็นอุปสรรคถาวร หากกลับเป็นจุดเริ่มต้นของอุบายการสอนที่ลึกซึ้ง
.
พระพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนจากการสอนด้วยถ้อยคำ มาเป็นการสอนผ่านการปฏิบัติ โดยให้ผ้าสะอาดและกำหนดคำภาวนา “รโชหรณํ” ขณะเช็ดผ้า เมื่อผ้าขาวค่อย ๆ หม่นลง พระจูฬปันถกจึงเกิดปัญญาเห็นความไม่เที่ยงและความเศร้าหมองของสังขาร จนนำไปสู่การบรรลุพระอรหัตผลในที่สุด
.
กรณีนี้สะท้อนว่า พระจูฬปันถก ไม่ได้ฟังธรรมเพียงครั้งเดียว แต่ได้รับการชี้แนะ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในลักษณะของกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะกับพื้นฐานของตน
.
เมื่อพิจารณาทั้งสองกรณีร่วมกัน จะเห็นความจริงเชิงพุทธปรัชญาที่สำคัญอย่างน้อยสามประการ
.
ประการแรก ปริมาณการฟังธรรมไม่ใช่ตัวชี้ขาดการบรรลุธรรม พระพาหิยะฟังน้อยมากแต่บรรลุเร็ว ส่วนพระจูฬปันถกฟังมากกว่าแต่ต้องใช้เวลา
.
ประการที่สอง พระพุทธเจ้าทรงใช้หลัก อุบายโกศล อย่างยิ่งยวด ธรรมเดียวกันอาจไม่เหมาะกับทุกคน วิธีการสอนจึงต้องสอดคล้องกับอินทรีย์และพื้นฐานจิตของผู้ฟัง
.
ประการที่สาม การฟังธรรมในพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงการ “ได้ยินถ้อยคำ” เท่านั้น หากรวมถึงการรับคำชี้แนะแล้วนำไปปฏิบัติจนเกิดปัญญา
.
บทสรุป
.
หากถามอย่างตรงไปตรงมาว่า
ใครฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าน้อยกว่ากัน
คำตอบตามคัมภีร์คือ พระพาหิยะ
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคำตอบนั้นคือ บทเรียนที่พุทธประวัติกำลังสื่อสารกับเรา
ธรรมะไม่วัดกันที่จำนวนครั้งที่ฟัง
แต่วัดกันที่จิตพร้อมจะ “วาง” หรือยัง
บางคนต้องใช้เวลาทั้งชีวิต
บางคนใช้เพียงชั่วขณะ
แต่เมื่อถึงจุดที่จิตปล่อยวางได้จริง
เส้นทางก็จบลงตรงกัน
.
แหล่งอ้างอิง
-พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เรื่องพระพาหิยะ
-อรรถกถาธรรมบท เรื่องพระจูฬปันถก
-Buddhaghosa, Dhammapada-aṭṭhakathā (PTS)
ก็อปข้อความจากเวปข้างล่าง
ผมไม่ได้เขียนเอง
https://www.facebook.com/groups/1630835563799505/permalink/4203702533179449/?app=fbl