ทำไมใบอนุญาต forex ถึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องดู

มีนักลงทุนหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นในวงการเทรด มักถามผมว่า
ทำไมแพลตฟอร์มต่าง ๆ ถึงชอบพูดถึงใบอนุญาตกำกับดูแล (License) แต่ก็มีบางแพลต์ฟอร์มกลับไม่พูดถึงเลย

ซึ่งผมย้ำว่า ควรเป็นสิ่งแรกที่ต้องดู ก่อนเลือกโบรกเกอร์เลยก็ว่าได้
ผมเคยพูดไว้หลายครั้งว่า การเข้าสู่วงการเทรด สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอันดับหนึ่ง ไม่ใช่กำไร ไม่ใช่โบนัส แต่คือ แพลตฟอร์มถูกกำกับดูแลโดยใคร

1. ใบอนุญาต Forex คืออะไร?
ใบอนุญาตกำกับดูแล เปรียบเสมือน ใบรับรองคุณสมบัติของแพลตฟอร์ม

เหมือนกับในประเทศไทย

กองทุนรวม ต้องมีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.
บริษัทหลักทรัพย์ ต้องได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง

ถ้าไม่มีใบอนุญาต ก็เท่ากับ “ประกอบธุรกิจโดยไม่มีตัวตนตามกฎหมาย”
คำถามคือ ถ้าเป็นแบบนั้น คุณกล้านำเงินไปเทรดหรือไม่?

แต่ในอุตสาหกรรมการเทรด แค่มีใบอนุญาตยังไม่พอ ต้องดูว่าเป็นใบอนุญาตระดับไหน

2. ใบอนุญาตไม่ได้เท่ากันทุกประเทศ
ใบอนุญาตถูกออกโดยหน่วยงานกำกับดูแลของแต่ละประเทศ ซึ่งระดับความเข้มงวดแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น สหราชอาณาจักรถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตลาดการเงินเก่าแก่ที่สุดในโลก ดังนั้น ใบอนุญาต FCA (Financial Conduct Authority) ของอังกฤษ จึงถูกมองว่าเป็น “มาตรฐานสูงสุดระดับโลก”

หลายคนอาจสงสัยว่า
“ถ้า FCA ดีขนาดนี้ ทำไมทุกแพลตฟอร์มไม่ไปขอ?”

คำตอบคือ ต้นทุนและข้อกำหนดสูงมาก และนี่คือจุดที่ต้องเข้าใจคำว่า “Onshore (ในประเทศ) และ Offshore (นอกประเทศ)”

3. Onshore vs Offshore คืออะไร?
Onshore Regulation (การกำกับดูแลในประเทศ) หมายถึง แพลตฟอร์มต้องดำเนินธุรกิจจริงในประเทศที่ออกใบอนุญาต
เช่น FCA (อังกฤษ), ASIC (ออสเตรเลีย)

ตัวอย่างข้อกำหนดของ FCA:
-ค่าธรรมเนียมสมัครใบอนุญาต เริ่มต้นกว่า 125,000 ปอนด์
-ต้องจดทะเบียนบริษัทในอังกฤษ
-ต้องมีทีม Compliance และ Risk แบบมืออาชีพ
-มีค่าธรรมเนียมรายปี
-ต้องมีการตรวจสอบบัญชีทุกปี
-ต้องซื้อประกันความเสี่ยงขั้นต่ำ 1 ล้านปอนด์
-เงินลูกค้าต้องแยกเก็บ (Segregation) ตามกฎ CASS
-ฝากเงินลูกค้าไว้กับธนาคารระดับโลกเท่านั้น

ดังนั้น ใบอนุญาตระดับ Onshore โดยเฉพาะ FCA ไม่ใช่แค่มีเงินก็ขอได้ แต่ต้องมีระบบและความโปร่งใสจริง

Offshore Regulation (การกำกับดูแลนอกประเทศ) เหมาะกับการทำธุรกิจระหว่างประเทศ ข้อกำหนดยืดหยุ่นกว่า ระยะเวลาขอใบอนุญาตสั้นกว่า (ประมาณ 2–4 เดือน)

แต่ก็ต้องระวัง เพราะ ไม่ใช่ทุก Offshore จะน่าเชื่อถือ

อย่างไรก็ตาม ยังมี Offshore ระดับสูง เช่น Cayman Islands – CIMA ซึ่งเข้มงวดมาก ในอดีตเคยมีช่วงที่ 10 ปี ออกใบอนุญาตเต็มรูปแบบเพียงไม่กี่รายเท่านั้น

4. ใบอนุญาตมีประโยชน์อะไรอีก?
นอกจากเป็น “ตัวตนทางกฎหมาย” ใบอนุญาตยังมีบทบาทสำคัญอีก 2 ด้าน

(1) เป็นหลักประกันด้านความปลอดภัย
หน่วยงานกำกับดูแลส่วนใหญ่มีระบบไกล่เกลี่ยข้อพิพาท แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่มี ระบบชดเชยเงินจริง

ที่โดดเด่นที่สุดคือ
FSCS ภายใต้ FCA อังกฤษ

-ชดเชยลูกค้าได้สูงสุด 85,000 ปอนด์ต่อคน ตั้งแต่ปี 2001 ช่วยลูกค้าแล้วกว่า 4.5 ล้านราย มูลค่าชดเชยรวมกว่า 26,000 ล้านปอนด์ จนถึงปัจจุบัน ยังไม่เคยมีบริษัทที่ถือ FCA Full License หนีหายไปพร้อมเงินลูกค้า

หน่วยงานอื่น เช่น FINMA (สวิตเซอร์แลนด์), CySEC (ไซปรัส) ก็มีระบบคุ้มครองในระดับหนึ่งเช่นกัน

(2) ส่งผลต่อคุณภาพการเทรดและสภาพคล่อง
นักลงทุนไทยจำนวนมากรู้ว่าค่า Spread สำคัญ แต่ไม่ค่อยรู้ว่า สภาพคล่องต้นน้ำ อยู่ในมือของธนาคารยักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่ง เช่น JP Morgan, Goldman Sachs, UBS ซึ่งถือสภาพคล่องรวมกว่า 60% ของตลาดโลก

ธนาคารเหล่านี้เลือกคู่ค้าอย่างเข้มงวด และ ดูใบอนุญาตเป็นอันดับแรก

แพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตระดับสูง จึงสามารถเชื่อมต่อสภาพคล่องโดยตรงได้หลายแหล่ง ทำให้ราคาเสถียร Slippage ต่ำ และรองรับตลาดผันผวนได้ดีกว่า

บทสรุป
ใบอนุญาตกำกับดูแล ไม่ใช่แค่ “ตราสัญลักษณ์สวย ๆ” แต่คือ ตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของแพลตฟอร์ม หลักประกันด้านความปลอดภัยของเงินทุน ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคุณภาพการเทรด ดังนั้น ก่อนเลือกแพลตฟอร์มใด ๆ อย่าดูแค่โบนัสหรือคำโฆษณา แต่ให้ถามตัวเองก่อนเสมอว่า “แพลตฟอร์มนี้ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของใคร?”

เพราะในโลกของการเทรด ความอยู่รอด สำคัญกว่ากำไรเสมอ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่