ช่วงต้นถึงกลางเดือนธันวาคม 2025 ตลาดหุ้นโลกเผชิญกับการปรับฐานอย่างรุนแรง

ช่วงต้นถึงกลางเดือนธันวาคม 2025 ตลาดหุ้นโลกเผชิญกับการปรับฐานอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี ดัชนี Nasdaq Composite ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของหุ้นกลุ่มเทคฯ มีช่วงสองสัปดาห์ที่แย่ที่สุดในรอบห้าปี โดยมูลค่าลดลงกว่า 12% ขณะที่ดัชนี S&P 500 และ Dow Jones Industrial Average ก็ปิดตัวลงติดต่อกันหลายวัน แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน (เหลือ 3.5%-3.75%) แต่ความกังวลเกี่ยวกับภาวะ "ฟองสบู่ AI" (AI bubble) ประกอบกับการคาดการณ์ผลประกอบการที่น่าผิดหวังจากบริษัทใหญ่ๆ เช่น Oracle และ Broadcom ได้กระตุ้นให้เกิดภาวะ "Risk-Off" (ลดความเสี่ยง) และการโยกย้ายเงินลงทุนครั้งใหญ่ (Great Rotation) ออกจากหุ้นเติบโตที่มีการเก็งกำไรสูง ไปสู่สินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพหรือหุ้นคุณค่าแทน

..

🫧 มุมมองของนักลงทุนต่อหุ้น AI และการเทขายทำกำไร
.
นักลงทุนกำลังปรับเปลี่ยนมุมมองอย่างมีนัยสำคัญจากเดิมที่เคยมอง AI ด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่มีขีดจำกัด มาสู่การตั้งคำถามที่จริงจังมากขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืนของมูลค่าบริษัท ความกังวลหลักคือการลงทุนมหาศาล (Capital Expenditure) ในโครงสร้างพื้นฐาน AI จะสามารถสร้างผลกำไรที่จับต้องได้ในระยะเวลาอันใกล้หรือไม่ มีรายงานว่า แม้มีการลงทุนใน Generative AI ถึง 30,000-40,000 ล้านดอลลาร์ แต่กว่า 95% ขององค์กรกลับได้ "ผลตอบแทนเป็นศูนย์" ซึ่งเน้นย้ำถึงความไม่สอดคล้องกันระหว่างการใช้จ่ายกับการทำกำไรจริง ตลาดจึงเริ่มเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ แสดง "ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจน" (Tangible ROI) แทนที่จะพึ่งพาแค่ศักยภาพการเติบโตในอนาคตเท่านั้น
.
สถานการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการ "เทขายเพื่อปรับฐานมูลค่า" (Valuation Recalibration) ครั้งใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากการขายทำกำไรทั่วไป โดยเป็นการที่นักลงทุนทยอยขายหุ้นที่ราคาสูงเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบันจะรองรับได้ การเทขายทำกำไรได้รุนแรงขึ้นจากความผิดหวังในรายงานผลประกอบการบางส่วน เช่น การที่ Broadcom แจ้งว่าอัตรากำไร (Margin) ในธุรกิจ AI จะลดลง และความกังวลด้านการเงินในกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์รายใหม่ (neoclouds) ผลที่ตามมาคือการหมุนเวียนเงินทุน (Great Rotation) ออกจากหุ้น AI ที่ถูกมองว่า "ตั้งราคาไว้สมบูรณ์แบบเกินไป" (priced for perfection) ไปสู่หุ้นที่มีมูลค่าเหมาะสมกว่าหรือมั่นคงกว่า

..

💥 วิเคราะห์ 10 หุ้น AI ที่โดนเทขายและหลุดจากจุดสูงสุด 52 สัปดาห์
.
ในช่วงครึ่งหลังของเดือนธันวาคม 2025 ตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกำลังถูกตั้งคำถามว่า เมื่อไหร่ AI จะทำรายได้สักที พร้อมความกังวลว่า "ฟองสบู่ AI" อาจกำลังก่อตัวขึ้น นักลงทุนจึงเริ่มถอนทุนออกจากหุ้นที่มีการเก็งกำไรสูง (Speculative Growth Stocks) และหมุนเงินไปยังสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่า ปัจจัยเร่งที่สำคัญคือการที่บริษัท AI ชั้นนำต่าง ๆ ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล (Capital Expenditure) ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Data Center) แต่ยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม (Tangible ROI) ได้อย่างชัดเจน ส่งผลให้หุ้นที่เคยทำราคาสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ (52-week High) ต้องเผชิญกับการเทขายทำกำไรและปรับลดมูลค่าลงอย่างรวดเร็ว
.
📉 หุ้น AI ที่ได้รับผลกระทบจากการเทขายจนราคาหลุดจากจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์อย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่:

..

กลุ่มผู้ผลิตชิปและโครงสร้างพื้นฐาน (Semiconductors & Core Infrastructure)
บริษัทในกลุ่มนี้ถูกเทขายแม้จะยังคงมีความต้องการชิป AI อย่างมหาศาล เนื่องจากตลาดเริ่มกังวลเรื่อง อัตรากำไร (Margins) และความเสี่ยงของลูกค้า (Customer Risk)
.
1️⃣  NVDA (NVIDIA Corporation):
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: แม้จะเป็นผู้นำตลาดชิป AI แต่ราคาหุ้นถูกฉุดลงจากความกังวลในวงกว้างของตลาดเทคฯ ความเสี่ยงที่นักลงทุนจับตาคือความมั่นคงทางการเงินของลูกค้าหลัก (Neoclouds) ที่ซื้อชิป GPU จำนวนมากโดยอาศัยการก่อหนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การชะลอคำสั่งซื้อในอนาคต
.
2️⃣ AVGO (Broadcom Inc.)
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: การร่วงลงอย่างรุนแรงเป็นผลมาจากความกังวลเรื่อง "อัตรากำไรที่ลดลง" (Margin Compression) แม้ว่าบริษัทจะรายงานผลประกอบการที่สูงกว่าคาด แต่ผู้บริหารได้ส่งสัญญาณว่าสัดส่วนของรายได้จากชิป AI แบบกำหนดเอง (Custom AI chips) ที่มีอัตรากำไรต่ำกว่าธุรกิจอื่น ๆ จะเพิ่มขึ้น
.
3️⃣ AMD (Advanced Micro Devices)
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: ได้รับผลกระทบจากการปรับฐานมูลค่าทั่วทั้งกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูงไปยังประเทศจีน ซึ่งคาดว่าจะทำให้บริษัทสูญเสียรายได้จำนวนมากในปี 2025
.
4️⃣ TSM (Taiwan Semiconductor Manufacturing Company)
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: ตลาดแสดงความกังวลต่อ "ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์" (Geopolitical Risks) ที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน และต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายโรงงานการผลิต (Fab) ไปยังต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบให้ อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ลดลง 2-3% ต่อปี ในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า
.
5️⃣ ALAB (Astera Labs Inc.)
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: หุ้นถูกเทขายทำกำไรและปรับฐานราคาลงกว่า 43% เนื่องจากตลาดมองว่ามูลค่าของบริษัท (Valuation) ถูกตั้งไว้สูงเกินจริงหลังจากที่ราคาหุ้นพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผลิตภัณฑ์เชื่อมต่อความเร็วสูง (PCIe 6 retimers) จะเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งในโครงสร้างพื้นฐาน AI ก็ตาม
กลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์เฉพาะทางและซอฟต์แวร์ (Neoclouds & AI Software)
กลุ่มนี้ต้องเผชิญกับคำถามที่หนักหน่วงเรื่อง ความสามารถในการทำกำไร (Profitability) และ ภาระหนี้สิน (Leverage) ที่ใช้ในการสร้างศูนย์ข้อมูล
.
6️⃣ ORCL (Oracle Corporation):
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: Oracle ถูกมองว่าเป็น "ตัวอย่างของความเห่อ AI ที่เกินตัว" (poster child for AI-related excess) หุ้นร่วงหลังรายงานผลประกอบการพลาดเป้า และความกังวลว่าบริษัทต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายลงทุน (Capex) ใน AI เป็น 50,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2026 ซึ่งกระตุ้นความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้รวมที่สูงกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ และตอกย้ำด้วยรายงานว่า อัตรากำไรจากการให้เช่าเซิร์ฟเวอร์ AI นั้นต่ำมาก (ประมาณ 14%) นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากข่าวดีลสำคัญมูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในมิชิแกนกับ Blue Owl Capital ได้ยุติลง แม้จะมีการออกมาปฏิเสธในภายหลังก็ตาม
.
7️⃣ CRWV (CoreWeave Inc.)
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: CoreWeave ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ Neocloud เฉพาะทางด้าน AI ต้องเผชิญกับ "พายุที่สมบูรณ์แบบ" (Perfect Storm) ราคาหุ้นดิ่งลง 64% จากจุดสูงสุด 52-week Hight เนื่องจากความล่าช้าในการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลสำคัญในรัฐเท็กซัสสำหรับ OpenAI ถึง 60 วันจากพายุฝน ทำให้บริษัทต้องปรับลดประมาณการรายได้ (Guidance) และนักลงทุนแสดงความกังวลอย่างหนักต่อหนี้สินรวม 14,200 ล้านดอลลาร์
.
8️⃣ NBIS (Nebius Group)
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: หุ้นถูกกดดันจากการปรับฐานของกลุ่ม Neoclouds ตลาดแสดงความกังวลต่อ "คำถามเกี่ยวกับความเข้มข้นของการลงทุน" (Capital Intensity Questions) เนื่องจากบริษัทต้องเร่งขยายศูนย์ข้อมูลอย่างมากเพื่อรองรับสัญญาพันธมิตรขนาดใหญ่กับ Microsoft และ Meta
.
9️⃣ IREN (IREN Ltd)
    ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: หุ้นร่วงลงกว่า 53% จากจุดสูงสุด 52-week Hight โดยเป็นผลกระทบลูกโซ่จากความกังวลในกลุ่ม Neoclouds และความกังวลเรื่อง ภาระการลงทุน (Capex Burden) ที่เร่งตัวสูงขึ้น อย่างรวดเร็ว เพื่อเปลี่ยนผ่านจากการขุด Bitcoin ไปสู่การให้บริการ AI Cloud
.
🔟 PLTR (Palantir Technologies Inc.)
   ◦ สาเหตุการเทขายหลัก: หุ้นร่วงลงกว่า 12% จากจุดสูงสุด 52-week Hight เนื่องจากนักลงทุนกังวลเกี่ยวกับ "มูลค่าที่สูงเกินไป" (Lofty Valuation) โดยมีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) สูงถึง 230.14 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอย่างมาก ทำให้ตลาดไม่มั่นใจว่าการเติบโตของแพลตฟอร์ม AI (AIP) จะสามารถรองรับราคาปัจจุบันได้หรือไม่

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่