จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ยังเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับพ่อแม่อยู่มั้ย?

ในมุมมองของ ผู้ปกครอง การพาลูกไปหาจิตแพทย์เด็ก และวัยรุ่น  ยังดูเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องน่ากลัว น่าอาย ยังดูเป็นเรื่องป่วยโรคจิตอยู่มั้ย?
อยากรู้ว่าพ่อแม่ ผู้ปกครองยุคนี้ ยังมีทัศนคติเชิงลบกับจิตแพทย์รึเปล่า

________

น่าจะเป็นเรื่องที่เข้าใจพ้องกันไม่ยากในยุคสมัยใหม่ว่า ความป่วยไข้ ไม่ได้มีเฉพาะกับร่างกายเท่านั้น แต่จิตใจของเราก็สามารถป่วยได้  ไม่ได้แตกต่างจาก ตื่นมามีน้ำมูกเพราะอากาศเปลี่ยน เจ็บคอเพราะที่ทำงานอากาศแห้ง นั่งทำงานจนปวดหลังเรื้อรัง หรือ เป็นหวัดคัดจมูกไอไม่หยุดจมูกตีบนอนไม่ได้ กับ กินอาหารอะไรมาก็ไม่รู้แต่ ขรี้แตก จู๊ดดดด

ป่วยทางกายบางอย่าง ไม่ต้องหาหมอ แค่ดูแลรักษาตัวเองให้ดี ไ่มนานก็หาย
บางอย่างซื้อยากินตามอาการ หรือมียาสามัญประจำบ้านเอาไว้แก้ปัญหา
แต่ บางอย่าง หลายวันผ่านไปก็ยังเอาไม่อยู่ กินยาก็ยังไม่หาย เริ่มวิตกแล้วล่ะ หรือจะเป็นไข้เลือดออก? หรือจะติดเชื้อรุนแรง?  หรือ จะเป็นออฟฟิศซินโดรม

ไปตรวจสุขภาพประจำปี ก็เฝ้าคอยสอดส่อง ไขมัน น้ำตาล ความดัน ค่าไต สำหรับผู้หญิงก็ส่องภายใน กับ สำรวจเต้านม กลัวว่า โรคร้ายจะมาคุกคามชีวิต

แล้วสุขภาพทางจิตใจล่ะ?
เรามักรู้ตัวเราเองอยู่ว่า ตอนนี้ "โอเค" มั้ย กินได้ดี นอนหลับ ทำงานมีประสิทธิภาพ โลกดำเนินไป สุขทุกข์สลับๆกัน แต่เมื่อไหร่ ที่เรากินไม่ลง นอนไม่ได้ ทำงานกระวนกระวาย โลกมันไม่น่าอยู่ สังคมไม่น่ามอง ความสุขชักน้อย มีแต่ทุกข์ กับทน หวาดระแวง จนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ  ย้ำคิดย้ำทำจนน้องที่ทำงานทักว่าเป็นอะไร

พวกนี้ เรารู้ตัวเราเองว่าเรา"โอเค" มั้ย
แต่กับลูกของเราล่ะ?

อย่าว่าแต่ พ่อแม่ สังเกตดูอาการทางอารมณ์ จิตใจของลูกเลย บางบ้าน เวลาจะดูว่า เรียน กินอยู่ หลับนอน พฤติกรรมทั่วไป ดำเนินไปได้มั้ย บางทีก็เห็นๆกันว่า พ่อแม่ ยุ่งกับการทำงาน หาเงิน เช้าวนค่ำ เดือนชนเดือน ทบไปทบมา จนลืม"ใส่ใจ" กับจิตใจของลูก
แต่พอมาเจออีกที ก็เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นเสียแล้ว

ลูกขี้เกียจ ลูกไม่รับผิดชอบ ลูกนอนไม่ตื่นเช้า กลางคืนไม่ยอมหลับ ลูกหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ลูกโดนโรงเรียนรายงานว่าชอบใช้ความรุนแรง ลูกมีพฤติกรรมเสี่ยงกับอาชญากรรม ไปกระทั่ง เจอบุหรี่ในกระเป๋าเด็ก เจอถุงยางที่แกะกล่องแล้วในกระเป๋าลูกสาว เจอมีดสปาต้าอยู่ในเป้ลูกชาย

นอกจากตี ทำโทษ ดุ

หลายคนมองว่า จิตแพทย์ เป็นขั้นตอนลำดับท้ายๆของการดูแล เลี้ยงลูกเลย จริงมั้ยครับ

ทั้งที่ความจริง จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นนี่แหละ คือ ด่านแรกๆที่เราควรนึกถึง ไม่ใช่รอให้เด็กมีอาการจิตเวชก่อนถึงจะไปหา การไปพบแพทย์เสียก่อนตั้งแต่เริ่มมีอาการบางอย่าง เบาๆ ในช่วงวัยรุ่น ช่วยประคองให้เค้า รับมือกับการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของเค้าได้

ส่วนตัวเป็นพ่อ ที่มีลูกสาวอายุย่าง 17
ที่บ้าน ให้ลูกสาวพบจตแพทย์เด็กมาตั้งแต่ 8 ขวบ ด้วยเหตุที่ แยกทางกับภรรยา และกังวลว่าเค้าจะมีผลกระทบอะไรกับอารมณ์ จิตใจบ้าง แม้จะคุยกันแล้ว แต่การ"เข้าใจ" ก็ไม่ได้แปลว่า "สุขใจ" ดังนั้น ตั้งแต่ ก่อนจะแยกย้ายกัน ทั้งครอบครัว ไปพบจิตแพทย์เข้ากระบวนการ ค่อยๆเตีนยมตัวเพื่อ"แยกย้าย" อย่างเป็นลำดับ และจากนั้น ลูกสาว ก็อยู่ภายใต้การติดตามสอดส่องจากจิตแพทย์เด็ก

การทำงานระหว่างจิตแพทย์เด็กกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง เป็นสิ่งที่เราต้องทุ่มเทเวลามากขึ้น เราจะถูกบังคับให้ต้องคอยสังเกตลูกมากขึ้น และตัวเค้าเอง ก็ต้องฝึกสังเกตตัวเอง เพื่ออัพเดทกับ"คุณหมอ" ในการนัดแต่ละครั้ง และ ได้รับการฝึกกับนักพฤติกรรมฯ กับ นักจิตวิทยาเด็ก

ตั้งแต่วันนั้น จนถึงตอนนี้ ก็มีนัดอัพเดทกันมาเรื่อยๆ เกือบสิบปี เว้นห่างปีละ 1-2 ครั้ง หรือ บางครั้ง ลูกสาวก็มารีเควสท์เองเลยว่า ช่วงนี้เครียดมาก นอนไม่หลับมาสัปดาห์นึงแล้ว เคีรยดเรื่องสอบ หลังจากหาทางออก ช่วยกันแก้ไขเบื้องต้นก็ยังไม่ดีขึ้น ก็ไปหาหมอกัน

แม้แต่ เรื่องง่ายๆที่น่าจะมีในทุกโรงเรียนอย่าง"แนะแนวการศึกษา" ก็ได้แนวทาง ได้ประโยชน์จากการมีนักจิตวิทยาเด็กติดตามใกล้ชิดมาเกือบสิบปีช่วงวัยรุ่นนี้เองที่ นักจิตวิทยา ช่วยเค้าค้นหาตัวเอง ตัวตน และแนะนำทิศทางให้พ่อแม่วางแผนรับมือได้ มองเห็นความจริงของลูกตัวเอง ว่าเค้า เป็นแบบไหน บุคลิกภาพ ความสนใจ ความถนัด ความไม่ถนัด มีอะไรบ้าง ไปจนถึงความชอบ กับเป้าหมายของชีวิต

กระทั่งตอนนี้ ลูกสาวไปเรียนมัธยมปลายที่อเมริกา แต่ก็ยัง รีโมท อัพเดทออนไลน์กับหมอและนักจิตวิทยาอยู่ ตั้งแต่แรกๆที่ไป (เป็นการไปโครงการแลกเปลี่ยน) เรื่องความกดดัน การปรับตัว ก็มีนัดอัพเดทรายสัปาดห์กัน 3-4 ครั้ง พอเห็นว่าไม่มีอะไรก็เว้นไปเดือนหน้าเจอกัน สองเดือนเจอกัน แล้วก็ เจอกันปีหน้านะ หรือถ้ามีอะไรก็ติดต่อหมอมาได้ ซึ่ง

ผมคงไม่สามารถจะบอกได้ว่า ลูกตัวเอง มีคุณภาพอารมณ์ที่ดีเยี่ยม เพราะเค้าก็คือคนๆนึง มีทุกข์ สุข มีทำดี ทำพลาด มีสมหวัง ผิดหวัง
แต่ จากที่เค้าได้รับการฝึกให้ติดตามอารมณ์ และ ลำดับการคิดของตัวเอง รวมถึง การแก้ปัญหากับอารมณ์และจิตใจตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆ ผ่านทั้งผิดและถูก เป็นบทเรียน

เรียนรู้ผ่านสิ่งที่ผิดทั้งไปเตะปากเพื่อน หรือ ร้องไห้เสียใจเมื่อเพื่อนไม่ซื้อไอเดียทำโครงงานกลุ่ม แม้แต่ ความพลาด หลวมตัวไปอยู่ในสถานที่ ที่เกือบโดนคุกคามทางเพศเพราะความ ไว้ใจ

เค้ากลายเป็นคนที่ซื่อสัตย์กับอารมณ์ตัวเอง รู้ทันทีว่าตอนนี้ตึงแล้ว เคียดแล้ว  กดดันแล้ว และ สิ่งที่เค้าเป็นจากที่หมอและนักจิตฯ แนะนำคือ เป็นคนมีสวิทช์ On/Off กับเรื่องต่างๆ สามารถตัดปัญฆาการเรียน ความล้าทางจิตใจที่เกิดจากความเครียด แล้วไปเล่นเปียโนยาวๆ ไปนั่งวาดรูป หรือ นั่งอ่านนิยาย ดูหนัง
ทุกๆเย็นที่กลับมาบ้าน จะออกไปวิ่งในสวนแถวบ้าน ประมาณ 30-40 นาที
ตอนนี้ อยู่หอที่โรงเรียน ก็ตื่นมา แล้วออกไปวิ่งทนทีที่หอเปิด  (6.00) ก่อนจะกลับมาอาบน้ำ ออกไปกินข้าวแล้วไปเรียน
ตอนเย็นๆถ้าว่าง ก็เล่นกีฬากับเพื่อนๆ (ช่วงนี้ ตีปิงปองในหอ) หัดเล่นเครื่องดนตรีใหม่ๆ

แน่นอนครับ สำหรับ ผู้ปกครองบางท่าน ทั้งหมดนี้ สามารถสอนและทำได้โดยไม่ต้องพึ่งหมอ และนักจิตวิทยาเลยก็ได้ ต้องขอชื่นชม
แต่ สำหรับพ่อแม่ส่วนใหญ่ ที่สอนการบ้านลูกเองไม่ได้(สอนแล้วตีกัน) หรือ เริ่มรู้สึกว่า อาจจะไม่ใช่"เพื่อนแท้" ของลูกเรา  การไปพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ตั้งแต่เริ่มจะย่างเข้าวัยรุ่น ก็เหมือนการไปตรวจสุขภาพ เตรียมตัวเอาไว้ แล้วเรามาหัดดูแลสุขภาพไปด้วยกัน

ถ้าผู้ใหญ่ ไปตรวจสุขภาพตามวัยทะลุเลข 4 แล้วพบว่า ต้องควบคุมอาหาร ลดน้ำตาล ต้องลุกจากโต๊ะทำงานบ้าง ต้องเลิกบุหรี่ หรือ ออกกำลังกาย ไม่งั้น สิ่งไม่พึงประสงค์จะตามมาในไม่ช้า
เด็กๆที่กำลังย่างสู่ "วัยทีน" ก็กำลังจะพบกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นกัน

แล้ว ครอบครัว เดินไปด้วยกัน ลูกวัยทีน กับพ่อแม่จะ"วัยทอง"

ปล.กระทู้นี้ หาคุณ เริ่มนอนแล้วปวดฉี่บ่อย เริ่มอ่านตัวหนังสือเล็กๆใกล้ๆลำบาก ยืดสุดแขนถึงจะชัด กับการกินเท่าเดิมแต่ที่เพิ่มมีแต่น้ำหนักกับรอบเอว คุณน่าจะเข้าใจและอินกับมันได้ง่ายมาก

ปล2.แน่นอนว่า เรื่อง"เงิน"คืออีกปัจจัยสำคัญสำหรับบางครอบครัว แต่อสิ่งที่ควรรู้คือ การพบจิตแพทย์ อยู่ภายใต้การสิทธิ์รักษาสุขภาพถ้วนหน้า หรือสิทธิ์บัตรทองครับ ส่วนจะขยับไปเป็นคลีนิก นอกเวลา เอกชน ก็ตามแต่จะมีกำลัง ซึ่ง มันไม่ได้แพงไปกว่าการกินเที่ยว หรือละเล่นฟุ่มเฟือยอื่นใดที่ผู้ใหญ่นิยม ถูกกว่าตามหวยชุดทุกงวด กับขยันเล่นหวยลามหวยเวียตนาม หรือ ดูดบุหรี่วันละซองแน่นอน




ภาพประกอบการเล่าเรื่อง ดัดแปลงด้วยปัญญาประดิษฐ์เพื่อความเป็นส่วนตัวของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่