ตั้งแต่ลงทุนแมน พบนโยบายภาษีมา ต้องยอมรับว่า คราวนี้แปลกใจที่สุด
เรียกได้ว่าเป็นนโยบายที่ขาดการสร้างกำลังใจให้กับกลุ่มบุคคลที่เป็นคนเสียภาษีมากที่สุดในไทย ที่หลายคนเรียกว่าเป็น “ตัวแบก” ประเทศ
กลุ่มบุคคลนี้ คือ กลุ่มพนักงานเงินที่อยู่ในระบบ ที่มีเงินเดือนสูงมากกว่า 120,000 บาท
กลุ่มนี้มีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ
แต่คนกลุ่มนี้กำลังจ่ายภาษีมากกว่าคนอื่นที่เหลือ
และพวกเขากำลังโดนลดสิทธิ การลดหย่อนภาษีจากเดิมที่เคยได้ ให้น้อยลง 30% ในปีหน้า ในการซื้อกองทุนลดหย่อน
เรื่องนี้น่าแปลกใจอย่างไรลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
https://www.facebook.com/share/p/1ACw2rCPMj/?mibextid=wwXIfr
คนไทยวัยทำงานมี 40,000,000 คน
อยู่ในระบบภาษี 10,000,000 คน
และเป็นพนักงานเงินเดือนสูงเกิน 100,000 บาท
มีอยู่ประมาณ 300,000 คน คิดเป็นเพียง 0.5% ของประชากรทั้งประเทศ
คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวแบกในการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของโครงสร้างภาษีประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะคนกลุ่มจะเสียอัตราภาษีที่สูง 25%ไปจนถึง 35%
ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่มากกว่าทุกคน รวมถึงทุกนิติบุคคลในระบบภาษีด้วย
ตอนนี้บริษัทขนาดใหญ่ เสียภาษีนิติบุคคลอัตรา 20%
และยังมีคนนอกระบบรายได้สูงจำนวนมากไม่เสียภาษี หรือเสียในอัตราที่น้อยมาก
เรียกว่าเป็นตัวแบกในการเสียภาษีอัตราที่สูงจริง ๆ
แต่ล่าสุด รมว. คลัง ดร.เอกนิติ ให้สัมภาษณ์ว่ากำลังเสนอเรื่องนี้เข้า ครม. เพื่ออนุมัติในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
-คนที่มีเงินได้สูงกว่าปีละ 1.5 ล้านบาท (คำนวนเงินได้ต่อเดือนสูงกว่า 125,000 บาท) ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป เมื่อซื้อกองทุน จะลดหย่อนได้เพียง 0.7 เท่า..
-โดยคนที่มีเงินได้ต่ำกว่าปีละ 1.5 ล้านบาท เมื่อซื้อกองทุน จะลดหย่อนได้ 1.3 เท่า
เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะตั้งใจอธิบายว่า รัฐอยากเอาสิทธิ 0.3 เท่าของคนมีเงินได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท ไปใส่ให้คนที่มีเงินได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท
แต่พอมาคิดดี ๆ แล้ว
หากเราเป็นวัยทำงาน ที่กำลังพยายามถีบตัวเอง จนมีเงินเดือนมากกว่า 125,000 บาท
เราคงฉุกคิดว่าแทนที่เราจะดีใจ แต่กลับถูก “ทำโทษ” ด้วยการหักลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีลง 30% ทันที..
ถ้าคนกลุ่มนี้ อยากลดหย่อนภาษีได้เท่าเดิม
เทียบเป็นตัวเลข แบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าต้องการลดหย่อนภาษี 100,000 บาท
แบบเดิม
-ซื้อกองทุน 100,000 บาท ลดหย่อนได้ 100,000 บาท
แบบใหม่
-คนเงินเดือนต่ำกว่า 125,000 บาท (1.30 เท่า)
ต้องซื้อกองทุนราว 76,923 บาท เพื่อลดหย่อน 100,000 บาท
-คนเงินเดือนสูงกว่า 125,000 บาท (0.7 เท่า)
ต้องซื้อกองทุน 142,857 บาท พูดง่าย ๆ คือต้องลงทุนเพิ่มขึ้น 42% เพื่อให้สิทธิเหมือนแต่ก่อน..
ตอนนี้คงเริ่มมีคำถามกันแล้วว่าสรุป คนทำงานดี ได้เงินเดือนเกิน 125,000 บาท แต่ดันซวยที่อยู่ในระบบ เลยโดนหักสิทธิ แล้วมองออกไปคนนอกระบบ ได้รายได้เกินเลขนี้ต่อเดือนมีเยอะแยะ แต่โชคดีที่อยู่นอกระบบ เลยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
คนที่มีเงินได้ 125,000 บาทต่อเดือน อาจจะดูเหมือนรวย แต่เขาอาจจะเป็นหัวหน้าครอบครัวทำงานคนเดียว ทุกคนในครอบครัวไม่มีเงินได้ เขาอาจจะเป็นวัยที่มีภาระ ทั้งข้างบนที่ต้องเก็บเงินรักษาพ่อแม่ ทั้งข้างล่างที่ต้องเก็บเงินจ่ายค่าเล่าเรียนลูก
กลุ่มนี้ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย แถมยังโดนลดสิทธิ มันผิดที่เกิดมาขยันทำงานได้เงินเดือนสูง หรือผิดที่อยู่ในระบบที่คอยกัดกินจากเขา
ความเจ็บปวดของมนุษย์เงินเดือนกลุ่มนี้พอมองออกไป คนอีกกลุ่มที่รายได้มหาศาล แต่ "ลอยตัว" อยู่เหนือระบบภาษี เช่น
-
พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยอดขายหลักล้าน
-ธุรกิจเงินสดเศรษฐกิจนอกระบบ
คนเหล่านี้อาจมีรายได้สุทธิ มากกว่ามนุษย์เงินเดือนระดับผู้บริหารเสียอีก
แต่กลับเสียภาษีน้อยมาก หรือไม่เสียเลย เพราะรัฐ "ตามเก็บยาก" หรือ "ไม่มีข้อมูล"
นอกจากนั้นก็ยังมีคนถือบัตรสวัสดิการรัฐอีกเป็นสิบล้านคนที่รอคอยรับเงินช่วยเหลือ
ในทางกลับกัน มนุษย์เงินเดือนกลับเป็นของตายให้รัฐ เพราะมีข้อมูลรายได้โชว์อยู่ในระบบ
รัฐจึงเลือกเล่นท่าง่ายด้วยการรีดภาษี และตัดสิทธิจากคนกลุ่มนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แทนที่จะทุ่มเทกำลังไปดึงคนนอกระบบเข้ามาให้ถูกต้อง
สถานการณ์แบบนี้ไม่ต่างอะไรไปจาก การบีบคั้นชนชั้นกลางที่อยู่ในระบบ ที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนองค์กรและเศรษฐกิจให้รู้สึกไม่เป็นธรรมมากขึ้น
เมื่อความพยายามในการหารายได้เพิ่ม หมายถึงการถูกเพ่งเล็งและตัดสิทธิ แรงจูงใจในการทำงานหนักก็จะลดลง
และต่อไปการเลี่ยงภาษีแบบถูกกฎหมายอาจมีมากขึ้น ผู้มีเงินได้สูงจะเริ่มจดทะเบียนบริษัทรับเงินแทน เพื่อเสียภาษีในอัตรา 20% แทนที่จะยอมเสีย 35% ในนามบุคคลธรรมดา
แต่วิธีนี้ก็ทำได้เฉพาะคนที่มีอาชีพอิสระ แต่พนักงานในระบบก็จะทำไม่ได้และถูกบีบอยู่ดี
การกระจายรายได้และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเป็นเรื่องที่ดี แต่มันควรมาจากภาษีของแรงงานส่วนใหญ่ในระบบหรือไม่ ไม่ใช่ประชากรเพียงหยิบมือ ที่แต่เดิมเขามีสิทธิที่จะลดหย่อนภาษีจากเงินลงทุนเพื่อใช้ในยามเกษียณของเขา และกลับมาลดสิทธิซ้ำเติม
และเมื่อพวกเขาไม่มีเงินในยามเกษียณมากพอ ในอนาคตรัฐกลับจะเสียมากกว่าได้ เพราะต้องแบ่งงบประมาณมาช่วยเหลือ ทั้งที่คนเหล่านี้เขาอาจจะอยู่ได้ด้วยตัวเองหากสามารถสะสมเงินได้มากพอ
นอกจากนั้นก็จะมีคำถามที่สงสัยมากมายว่า รัฐเอาเงินภาษีไปทำอะไรที่เกิดประโยชน์ ดูจากโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ มีความโปร่งใสสำหรับคนเสียภาษีหรือไม่..
ปิดท้ายด้วยคำพูดที่น่าสนใจของ ดร.เอกนิติ รมต. คลัง ว่า “ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีประมาณ 300,000 คน นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษี ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท”
แค่ฟังจากพูดก็รู้แล้ว ว่า ดร.เอกนิติ ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของผู้เสียภาษี 300,000 คนกลุ่มนี้ และคิดว่าการเก็บเงินได้ 10,000 ล้านบาทต่อปีจากคนกลุ่มนี้ มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก สำคัญกว่าการสร้างแรงจูงใจให้ 300,000 คนนี้อยากที่จะอยู่ในระบบต่อไป
ลงทุนแมนแนะนำว่า สิทธิอะไรที่พวกเขาเคยได้ อย่างน้อยควรได้เท่าเดิมเพื่อรักษากำลังใจหรือไม่ มันคุ้มค่ากับเงิน 10,000 ล้านบาทเพื่อรัฐจะเอาไปจัดจ้างแปลก ๆ ในโครงการใหม่ ๆ ได้มากขึ้นขนาดนั้นเลยหรือ ?
ในเมื่อมุมมองการเก็บภาษีของกลุ่มในระบบ 300,000 คนเป็นแบบนี้
แทนที่จะให้เหรียญรางวัลดีเด่น แต่กลับบอกว่า
คุณทำดีน้อยไป จากแบกแล้ว ต้องแบกเพิ่มนะ
คำถามง่าย ๆ คือ
พอแนวคิดรัฐเป็นแบบนี้ คนที่มีเงินได้สูง ใครคนไหน ? จะอยากเข้ามา อยู่ในระบบ ที่คอยจะหาช่องให้แบกเพิ่มอยู่ตลอดเวลา..
แบกแล้ว แบกขึ้นอีก พนักงานเงินเดือนสูง เตรียมโดนลดหย่อนภาษี ได้น้อยกว่าเดิม 30% /โดย ลงทุนแมน
เรียกได้ว่าเป็นนโยบายที่ขาดการสร้างกำลังใจให้กับกลุ่มบุคคลที่เป็นคนเสียภาษีมากที่สุดในไทย ที่หลายคนเรียกว่าเป็น “ตัวแบก” ประเทศ
กลุ่มบุคคลนี้ คือ กลุ่มพนักงานเงินที่อยู่ในระบบ ที่มีเงินเดือนสูงมากกว่า 120,000 บาท
กลุ่มนี้มีจำนวนไม่มากเมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ
แต่คนกลุ่มนี้กำลังจ่ายภาษีมากกว่าคนอื่นที่เหลือ
และพวกเขากำลังโดนลดสิทธิ การลดหย่อนภาษีจากเดิมที่เคยได้ ให้น้อยลง 30% ในปีหน้า ในการซื้อกองทุนลดหย่อน
เรื่องนี้น่าแปลกใจอย่างไรลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
https://www.facebook.com/share/p/1ACw2rCPMj/?mibextid=wwXIfr
คนไทยวัยทำงานมี 40,000,000 คน
อยู่ในระบบภาษี 10,000,000 คน
และเป็นพนักงานเงินเดือนสูงเกิน 100,000 บาท
มีอยู่ประมาณ 300,000 คน คิดเป็นเพียง 0.5% ของประชากรทั้งประเทศ
คนกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวแบกในการจ่ายภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ของโครงสร้างภาษีประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะคนกลุ่มจะเสียอัตราภาษีที่สูง 25%ไปจนถึง 35%
ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่มากกว่าทุกคน รวมถึงทุกนิติบุคคลในระบบภาษีด้วย
ตอนนี้บริษัทขนาดใหญ่ เสียภาษีนิติบุคคลอัตรา 20%
และยังมีคนนอกระบบรายได้สูงจำนวนมากไม่เสียภาษี หรือเสียในอัตราที่น้อยมาก
เรียกว่าเป็นตัวแบกในการเสียภาษีอัตราที่สูงจริง ๆ
แต่ล่าสุด รมว. คลัง ดร.เอกนิติ ให้สัมภาษณ์ว่ากำลังเสนอเรื่องนี้เข้า ครม. เพื่ออนุมัติในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
-คนที่มีเงินได้สูงกว่าปีละ 1.5 ล้านบาท (คำนวนเงินได้ต่อเดือนสูงกว่า 125,000 บาท) ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป เมื่อซื้อกองทุน จะลดหย่อนได้เพียง 0.7 เท่า..
-โดยคนที่มีเงินได้ต่ำกว่าปีละ 1.5 ล้านบาท เมื่อซื้อกองทุน จะลดหย่อนได้ 1.3 เท่า
เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะตั้งใจอธิบายว่า รัฐอยากเอาสิทธิ 0.3 เท่าของคนมีเงินได้สูงกว่า 1.5 ล้านบาท ไปใส่ให้คนที่มีเงินได้ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท
แต่พอมาคิดดี ๆ แล้ว
หากเราเป็นวัยทำงาน ที่กำลังพยายามถีบตัวเอง จนมีเงินเดือนมากกว่า 125,000 บาท
เราคงฉุกคิดว่าแทนที่เราจะดีใจ แต่กลับถูก “ทำโทษ” ด้วยการหักลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีลง 30% ทันที..
ถ้าคนกลุ่มนี้ อยากลดหย่อนภาษีได้เท่าเดิม
เทียบเป็นตัวเลข แบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าต้องการลดหย่อนภาษี 100,000 บาท
แบบเดิม
-ซื้อกองทุน 100,000 บาท ลดหย่อนได้ 100,000 บาท
แบบใหม่
-คนเงินเดือนต่ำกว่า 125,000 บาท (1.30 เท่า)
ต้องซื้อกองทุนราว 76,923 บาท เพื่อลดหย่อน 100,000 บาท
-คนเงินเดือนสูงกว่า 125,000 บาท (0.7 เท่า)
ต้องซื้อกองทุน 142,857 บาท พูดง่าย ๆ คือต้องลงทุนเพิ่มขึ้น 42% เพื่อให้สิทธิเหมือนแต่ก่อน..
ตอนนี้คงเริ่มมีคำถามกันแล้วว่าสรุป คนทำงานดี ได้เงินเดือนเกิน 125,000 บาท แต่ดันซวยที่อยู่ในระบบ เลยโดนหักสิทธิ แล้วมองออกไปคนนอกระบบ ได้รายได้เกินเลขนี้ต่อเดือนมีเยอะแยะ แต่โชคดีที่อยู่นอกระบบ เลยไม่ต้องกังวลเรื่องนี้
คนที่มีเงินได้ 125,000 บาทต่อเดือน อาจจะดูเหมือนรวย แต่เขาอาจจะเป็นหัวหน้าครอบครัวทำงานคนเดียว ทุกคนในครอบครัวไม่มีเงินได้ เขาอาจจะเป็นวัยที่มีภาระ ทั้งข้างบนที่ต้องเก็บเงินรักษาพ่อแม่ ทั้งข้างล่างที่ต้องเก็บเงินจ่ายค่าเล่าเรียนลูก
กลุ่มนี้ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย แถมยังโดนลดสิทธิ มันผิดที่เกิดมาขยันทำงานได้เงินเดือนสูง หรือผิดที่อยู่ในระบบที่คอยกัดกินจากเขา
ความเจ็บปวดของมนุษย์เงินเดือนกลุ่มนี้พอมองออกไป คนอีกกลุ่มที่รายได้มหาศาล แต่ "ลอยตัว" อยู่เหนือระบบภาษี เช่น
-พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยอดขายหลักล้าน
-ธุรกิจเงินสดเศรษฐกิจนอกระบบ
คนเหล่านี้อาจมีรายได้สุทธิ มากกว่ามนุษย์เงินเดือนระดับผู้บริหารเสียอีก
แต่กลับเสียภาษีน้อยมาก หรือไม่เสียเลย เพราะรัฐ "ตามเก็บยาก" หรือ "ไม่มีข้อมูล"
นอกจากนั้นก็ยังมีคนถือบัตรสวัสดิการรัฐอีกเป็นสิบล้านคนที่รอคอยรับเงินช่วยเหลือ
ในทางกลับกัน มนุษย์เงินเดือนกลับเป็นของตายให้รัฐ เพราะมีข้อมูลรายได้โชว์อยู่ในระบบ
รัฐจึงเลือกเล่นท่าง่ายด้วยการรีดภาษี และตัดสิทธิจากคนกลุ่มนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แทนที่จะทุ่มเทกำลังไปดึงคนนอกระบบเข้ามาให้ถูกต้อง
สถานการณ์แบบนี้ไม่ต่างอะไรไปจาก การบีบคั้นชนชั้นกลางที่อยู่ในระบบ ที่เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนองค์กรและเศรษฐกิจให้รู้สึกไม่เป็นธรรมมากขึ้น
เมื่อความพยายามในการหารายได้เพิ่ม หมายถึงการถูกเพ่งเล็งและตัดสิทธิ แรงจูงใจในการทำงานหนักก็จะลดลง
และต่อไปการเลี่ยงภาษีแบบถูกกฎหมายอาจมีมากขึ้น ผู้มีเงินได้สูงจะเริ่มจดทะเบียนบริษัทรับเงินแทน เพื่อเสียภาษีในอัตรา 20% แทนที่จะยอมเสีย 35% ในนามบุคคลธรรมดา
แต่วิธีนี้ก็ทำได้เฉพาะคนที่มีอาชีพอิสระ แต่พนักงานในระบบก็จะทำไม่ได้และถูกบีบอยู่ดี
การกระจายรายได้และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเป็นเรื่องที่ดี แต่มันควรมาจากภาษีของแรงงานส่วนใหญ่ในระบบหรือไม่ ไม่ใช่ประชากรเพียงหยิบมือ ที่แต่เดิมเขามีสิทธิที่จะลดหย่อนภาษีจากเงินลงทุนเพื่อใช้ในยามเกษียณของเขา และกลับมาลดสิทธิซ้ำเติม
และเมื่อพวกเขาไม่มีเงินในยามเกษียณมากพอ ในอนาคตรัฐกลับจะเสียมากกว่าได้ เพราะต้องแบ่งงบประมาณมาช่วยเหลือ ทั้งที่คนเหล่านี้เขาอาจจะอยู่ได้ด้วยตัวเองหากสามารถสะสมเงินได้มากพอ
นอกจากนั้นก็จะมีคำถามที่สงสัยมากมายว่า รัฐเอาเงินภาษีไปทำอะไรที่เกิดประโยชน์ ดูจากโครงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ มีความโปร่งใสสำหรับคนเสียภาษีหรือไม่..
ปิดท้ายด้วยคำพูดที่น่าสนใจของ ดร.เอกนิติ รมต. คลัง ว่า “ปัจจุบันมีผู้เสียภาษีประมาณ 300,000 คน นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อหน่วยลงทุนมาหักลดหย่อนภาษี ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ปีละประมาณ 10,000 ล้านบาท”
แค่ฟังจากพูดก็รู้แล้ว ว่า ดร.เอกนิติ ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของผู้เสียภาษี 300,000 คนกลุ่มนี้ และคิดว่าการเก็บเงินได้ 10,000 ล้านบาทต่อปีจากคนกลุ่มนี้ มันเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่มาก สำคัญกว่าการสร้างแรงจูงใจให้ 300,000 คนนี้อยากที่จะอยู่ในระบบต่อไป
ลงทุนแมนแนะนำว่า สิทธิอะไรที่พวกเขาเคยได้ อย่างน้อยควรได้เท่าเดิมเพื่อรักษากำลังใจหรือไม่ มันคุ้มค่ากับเงิน 10,000 ล้านบาทเพื่อรัฐจะเอาไปจัดจ้างแปลก ๆ ในโครงการใหม่ ๆ ได้มากขึ้นขนาดนั้นเลยหรือ ?
ในเมื่อมุมมองการเก็บภาษีของกลุ่มในระบบ 300,000 คนเป็นแบบนี้
แทนที่จะให้เหรียญรางวัลดีเด่น แต่กลับบอกว่า
คุณทำดีน้อยไป จากแบกแล้ว ต้องแบกเพิ่มนะ
คำถามง่าย ๆ คือ
พอแนวคิดรัฐเป็นแบบนี้ คนที่มีเงินได้สูง ใครคนไหน ? จะอยากเข้ามา อยู่ในระบบ ที่คอยจะหาช่องให้แบกเพิ่มอยู่ตลอดเวลา..