“หลักในการสนทนา ที่จริง จะต้องแม่น ด้วยการที่จะได้สมานกัน ในทางการศึกษา, ดังนั้น จึงควรคำนึง หรือจำต้องกังวล ต่อความที่ไม่ได้อยู่ ในระนาบเดียวกัน จะไม่ทำอย่างนั้น, ซึ่งว่า ระนาบ เดียวกัน ย่อมหมายความว่า พึงเป็นการให้รู้ และให้เกิดการศึกษา ร่วมกัน ในการที่จะพึงกำหนด ถึงความเป็นอยู่โดยชอบ หรือถึงความพ้นไปได้โดยชอบ, ด้วยว่า การกล่าวเลิศลอย เช่นนั้น ก็ย่อมมีบ้าง ตามความจำเป็นบางอย่าง หรือเป็นเพราะว่า ยังมีความจำเป็น ที่จะให้แสดงความมีมติต่อการพัฒนา หรือ มีการงานร่วมกันไม่ได้
แต่ความดังนี้ กลับเกิดข้อสังเกต ในทางคติธรรม ครั้ง เมื่อพบว่า หรือเห็นว่า ได้ มีคนที่สนทนากันได้ทั้งวัน โดยไม่มีความติดข้อง หรือขุ่นมัวต่อกันเลย มี, ซึ่ง บางที่ บางตอน นั้น ก็ย่อมที่จะต้องน่าทึ่ง หรือน่าประหลาดใจด้วยดีเหมือนกัน เมื่ออ่านดู, เช่นว่า พระพุทธเจ้าอยู่ร่วม กับภิกษุรูปนั้น ได้เป็นวันเป็นคืน พระพุทธเจ้าสนทนากับภิกษุรูปนั้น ได้เป็นวันเป็นคืนเลยทีเดียว, ดังนั้น ก็เป็นเรื่องที่มีความหมาย, ในการที่สงฆ์ พึงมีความสมานสามัคคีกันได้ โดยมิได้ต้องกระทำการเป็นนานาสังวาส, หรือประดา บรรดา นักปราชญ์บัณฑิต เรา อาจสมานกันได้ หรือมีมติ มีความเห็นร่วมกันได้, โดยการรับประกัน ต่อความถูกต้อง ต่าง ๆ นั้นด้วยกัน พอสมควร
ดังนั้น หลักในการ สนทนา หรือหลักในการที่จะกระทำอลังการ หรือกระทำพลความ ไปให้ กับ สิ่งดี สิ่งชอบ หรือสิ่งที่เจริญถาวร ที่มีอยู่แล้ว, ด้วย บทตั้ง หรือ หลักที่จะสนทนา ดังนั้น ก็พึงควรที่จะต้องมีหลัก มีเกณฑ์ร่วมกัน มิใช่ ทำแต่อย่างกว้าง หรือทำอย่าง หลวม ๆ เท่านั้น คือ ประกาศ แต่แค่ว่า
แท็กพระไตรปิฎก หรือแท็กพระพุทธเจ้า ร่วมกัน, อันนี้ ถ้าบอกประมาณ ได้ บอกแค่เท่านั้น ก็ย่อมแปลว่า ยังไม่ได้นำสิ่งความ หรือยกสิ่งความเข้าสู่การสนทนา หรือ ได้ สร้างบาทฐาน ในการที่จะวิเคราะห์วิจัย ร่วมกัน หรือสังเคราะห์ สิ่งต่าง ๆ ให้ได้เกิดความบริสุทธิ์ ร่วมกัน ในแง่ ของการ ทำถูก ภาคี หรือเพราะความ ที่ ได้ยกสิ่งความ ที่วิเคราะห์วิจัยร่วมกัน เป็นวิชชาภาคี
ดังนั้น จึงพึงยกความรู้ ความชัดเจน อัน ไม่เปลี่ยน ที่มีมาแต่โบราณ นั่นแหละ ยก ขึ้นก่อน เป็น บทตั้ง หรือ หลักที่จะสนทนากัน, เช่นว่า บทตั้งมีว่า ‘ใจจิต เป็นสรรพสิ่ง เป็นต้น แลสรรพสิ่ง สำเร็จได้ด้วยใจ’ เป็นต้น, ดังนั้น ในเรื่อง จิต (สรรพสิ่ง) โดยมาก ก็ย่อม จะกล่าว กันไป ว่า จิตเป็นภวังค์, จิตเป็นนิพพาน (ฐีติ), หรือจิตเป็นสุญญะ ในกรณี ที่ถือได้ว่า จิตนั้น หรือสรรพสิ่งนั้น ได้ถึงความเป็น นามธรรม
ดังนั้น เมื่อ เกิด ปุจฉา-วิสัชนา หรือการ แจกประเด็น ที่จะ ทำสิ่งความ ในทาง ภาษา หรือบัญญัติ ต่อไปแล้ว, ปุจฉา-วิสัชนา หรือ คำถาม-คำตอบ ก็ย่อมจะเกิดขึ้น เป็น ต้น เช่นว่า เกิด จากรูป ที่เป็นสรรพสิ่ง แล้วกล่าวว่า มันเป็น สัจจะ หรือ สัตตะ มันเกิดขึ้น แล้ว ตรงไหน?, ซึ่ง ตำรา ท่านแสดง ว่า เพราะ เครื่อง ต่อ มี คือ อายตนะ เช่นว่า มีรูป! นี่ เป็นสรรพสิ่ง (ใจเป็นสรรพสิ่ง) แต่มันยังไม่เป็น สัจจะ หรือ เป็น สัตตะ เพราะไม่ปรากฏ เครื่องต่อ หรือ มีเครื่องต่อ, แต่พอมีเครื่องต่อ คือ ตา ดังนี้ เมื่อมีตา มีเครื่อง ต่อ (อายตนะ) เรื่องก็เริ่มที่ จะเป็นสรรพชีวิตแล้ว คือ ย่อมเริ่ม ที่จะเป็น สัจจะ หรือ สัตตะ
ดังนี้ หลัก ก็คือ เมื่อ มาถึง สัจจะ หรือ สัตตะ ก็พึงต้องเกิดการกำหนด หรือ การใคร่ธรรม หรือความมีธรรม ที่ ก็ซึ่ง ได้ให้กำหนด ต่อความเป็นอยู่โดยชอบ หรือกำหนดต่อความพ้นไปโดยชอบ ในสรรพอณูแห่งความรู้ หรือวิชาความรู้เหล่านั้น, ซึ่งความรู้นั้น ได้เกิดขึ้นแล้ว ทางอายตนะ
แล้วนี้ พบเห็นว่า นอกจาก ที่จะต้อง สนทนา ว่า ใจ จิต หรือใจ คือสรรพสิ่ง จากนั้น แล้ว มันจะไปเรื่องไหนได้อีก ในการที่มันได้มีเครื่อง ต่อ จากรูป เป็นต้น จน ได้เป็น สัจจะ หรือ เป็น สัตตะ แล้ว เช่นว่า ย่อมเห็นว่า หรือรู้ว่า
☺ ใจรูป, ใจเสียง, ใจกลิ่น, ใจรส, ใจสัมผัส, ใจจิต, ใจนิพพาน, และใจบัญญัติ คือ สรรพสิ่ง
☺ ใจตา, ใจหู, ใจจมูก, ใจลิ้น, ใจกาย, ใจสุขแลทุกข์, ใจวิมุตติ, และการใช้งานภาษา คือ สัจจะ หรือสัตตะ
ดังนี้ ก็ไม่ยาก แล้ว เมื่อนั้น พึงยกกล่าว แบบโบราณกาล นานมาแล้ว นั่นแหละ ถูกที่ สุด คือ กล่าวถึง ‘นิรุตติธรรม นิรุตติสภา และความเป็นสภาพ’, หรือความที่ไม่ทิ้งความ หรือสิ่งความ นั้น ๆ, เช่นว่า จิต ก็คือ นิรุตติสภา นั่นเอง และนิรุตติ นั้น มี สภาพ ก็เรียกว่า จิต มีมรรคผล จิตมีความวิจิตร, ซึ่ง ว่า จิต ที่เป็นมรรคผล หรือประกอบ ด้วย มรรคผล จะ วิจิตร เป็นสุญญะ ก็ดี, จะ วิจิตร เป็น ฐีติ ก็ดี, หรือ จะวิจิตร เป็นภวังค์อันปราศจาก ก็ดี, ล้วนแล้วแต่ จะ พึงกล่าว ลงบทตั้ง แก่ทำนอง ที่บอกว่า ‘ใจคือสรรพสิ่ง ใจเป็นสรรพสิ่ง’
แต่ลงว่า ทีนี้ ว่าพึงกล่าวอย่างไร?, ที่จริง ก็พึง กล่าว อย่าง โบราณกาล มานั้นแหละ ที่ว่า พึงกำหนด ถึงความเป็นอยู่โดยชอบ หรือกำหนดถึงความพ้นไปโดยชอบ, แล้วถ้าถามว่า อันความกำหนด จะ มีอยู่ที่ไหน? ดังนั้น ตอบว่า ก็พึง กำหนดจากจิต คือ นิรุตติสภา นั่นแหละ นั่นเอง พึงได้กำหนดถึงความมีสภาพ กำหนดถึงมรรคถึงผล กำหนดถึงความมีเครื่อง ต่อ คือ สัจจะ หรือ สัตตะ นั่นแหละ, คือ เรื่องมันจะต้องมีระนาบ สำหรับธรรม ที่ปรากฏ อัน จะต้องมีความสมานกัน กับสิ่งที่มีความกำหนดได้, มิใช่ ทำการแสดง แต่ ความเป็นต่างหาก หรือ มุ่ง แสดง แต่ความเป็นสิ่งลอย ๆ เข้าว่า”
☺ ระนาบ และการสมานกันทางการศึกษา : !?