JJNY : 5in1 คลิปผู้ช่วยสส.พท.สร้างจาก AI│โรมบี้ปลดธรรมนัส│กมธ.จี้ช่วยน้ำท่วม│คนไทยมึนสวนทางเงินเฟ้อ│เครมลินเตือนอียู

เพจดังตรวจสอบคลิปผู้ช่วย สส.เพื่อไทย นั่งแช่น้ำท่วมหาดใหญ่ พบสร้างจาก AI ด้านเจ้าตัวชี้แจง

.
“โคแฟค” ตรวจสอบคลิปผู้ช่วย สส.เพื่อไทย นั่งแช่น้ำท่วมหาดใหญ่ เรียกร้อง ปชน.ตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน พบเป็นคลิป AI ด้านเจ้าตัวชี้แจง
.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 ธ.ค.68 เฟซบุ๊กเพจ Cofact โคแฟค เพจที่เกี่ยวกับการป้องกัน “ข่าวลวง” ออกมาเปิดเผตเรื่องราวของคลิปผู้ช่วย สส.เพื่อไทย ยืนแช่น้ำท่วมหาดใหญ่ เรียกร้อง ปชน.ตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน เป็นคลิปที่สร้างจาก Ai โดยทางเพจได้ระบุข้อความว่า
.
เนื้อหาที่ตรวจสอบ คลิปผู้ช่วย สส. ยืนแช่น้ำท่วมที่หาดใหญ่เรียกร้องพรรคประชาชนตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง เป็นคลิปที่สร้างจากเอไอ โดยมีบางส่วนที่เป็นภาพจริง
.
เนื้อหาโดยสรุป คลิป “น้ำท่วมหาดใหญ่ น้ำท่วมภาคใต้ พรรคประชาชนตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน หรือยัง” ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 68 บนบัญชีเฟซบุ๊กและ X ของนายชีพธรรม คำวิเศษณ์ ซึ่งระบุในโปรไฟล์ของตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยนายสุธรรม แสงประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.)
.
ในคลิปความยาว 15 วินาที มีภาพนายชีพธรรมพูดว่า “ผมยืนอยู่กลางน้ำท่วมกลางเมืองหาดใหญ่เลยครับ น้ำสูงเกือบถึงเอว บ้านร้านค้าปิดกันหมด คนต้องอพยพขึ้นเรือแบบนี้กันทั้งเมือง พี่น้องประชาชนเดือดร้อนขนาดไหน ภาพมันชัดหมดแล้ว” และถามหาความรับผิดชอบจากพรรคประชาชนว่าได้ตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล เกี่ยวกับการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยอย่างไรบ้าง
.
โคแฟคตรวจสอบ: ภาพเกือบทั้งหมดในคลิปนี้สร้างจาก Sora ซึ่งเป็นโมเดลเอไอของ OpenAI เจ้าของเดียวกันกับ ChatGPT สังเกตได้จากโลโกและชื่อแอปพลิเคชันที่ปรากฏอย่างชัดเจนตลอดทั้งคลิป รวมถึงยังพบความผิดปกติหลายจุด เช่น ป้ายชื่อร้านค้าในเมืองเป็นกลุ่มคำที่ไม่มีความหมาย ป้ายกระทรวงสาธารณสุขที่สะกดผิดทั้งภาษาอังกฤษและไทย ครุฑสีทองหน้าอาคารที่มีลักษณะต่างกับตราครุฑของจริง และระดับน้ำท่วมที่ไม่สอดคล้องกันโดยเปรียบเทียบจากคำบรรยายว่า “น้ำท่วมเกือบถึงเอว” แต่บริเวณพื้นหลังน้ำท่วมสูงแค่ระดับข้อเท้า
.
อย่างไรก็ตามมีบางส่วนของคลิปที่ใช้ภาพจริง เช่น ช่วงที่นายชีพธรรมนั่งพูดอยู่ในห้อง
.
สำหรับประเด็นที่เสียงในคลิปตั้งคำถามพรรคประชาชน (ปชน.) ว่าได้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอนุทินเกี่ยวกับการจัดการน้ำท่วมหรือยัง รายการ “กรรมกรข่าว คุยนอกจอ” ออกอากาศสดบนช่องยูทูบ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ในวันที่ 2 ธ.ค. สัมภาษณ์นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้า ปชน. ขณะลงพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในประเด็นว่าความโกลาหลในการรับมือวิกฤตอุทกภัยครั้งนี้ร้ายแรงพอที่พรรคประชาชนจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่าทั้ง ปชน. และ พท. มีคะแนนเสียงเพียงพอที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ตนมองว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการมากที่สุดขณะนี้คือความต่อเนื่องในการแก้ไขปัญหา จึงไม่อยากนำเงื่อนไขทางการเมืองอย่างเช่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเป็นตัวกำหนด และอยากให้วาระเร่งด่วนอย่างวิกฤตน้ำท่วมได้รับการแก้ไขก่อน
.
อัปเดต 3 ธ.ค. 2568 เวลา 09.10 น. หลังจากโคแฟคเผยแพร่โพสต์นี้ นายชีพธรรมชี้แจงเป็นข้อความในช่องคอมเมนต์ใต้โพสต์ว่า ภาพทั้งหมดในคลิปสร้างจาก AI รวมทั้งภาพที่เขานั่งพูดหน้ากล้องในห้องด้วย
.
นอกจากนี้ นายชีพธรรม ยังได้ชี้แจงใต้โพสต์คลิปดังกล่าวด้วยว่า “เป็นการทดสอบ Sora AI ครับผม
.
https://www.facebook.com/CofactThailand/posts/pfbid0VzXe5fsynnVyp6AnL6S4Td8ExYrUrqQ3vag76bHo5zmVAFoKHpDHpfyJi8gNeWSWl
.

.
โรม ยกเคสยึดทรัพย์ 9 พันล้าน เบนสมิธ-ยิมเลียก บี้รบ.ปลดธรรมนัส เปิดทางสอบโยงสแกมเมอร์
https://www.matichon.co.th/politics/news_5486910
.
โรม ยกเคสยึด ทรัพย์ 9 พันล้าน เบนสมิธ-ยิมเลียก บี้รบ.ปลดธรรมนัส เปิดทางพิสูจน์โยงสแกมเมอร์
.
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก เรื่อง [ปปง. ยึดทรัพย์ยิม เลียก-เบน สมิธ หรือเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ แล้วรัฐบาลต้องทำอะไรต่อ] โดยมีเนื้อหาดังนี้
.
ตามที่คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ซึ่งมีมติให้ยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะกลุ่มของนายยิม เลียก และนายเบน สมิธ ซึ่งมีมูลค่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดถึง 9 พันล้านบาท จากรายการทรัพย์สินทั้งหมด 66 รายการ ซึ่งการยึดทรัพย์ในครั้งนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากการสืบสวนเส้นทางการเงินในคดีหลอกลวงออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลที่ชื่อ แตงไทย ซึ่งพบว่า มีการทำธุรกรรมเชื่อมโยงกับบัญชีธนาคารของนายยิม เลียก ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดกับทายาทของเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในประเทศกัมพูชา และเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายสแกมเมอร์ที่หลอกลวงคนไทยจำนวนมาก
.
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครือข่ายนี้ มีความเชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะธนาคาร BIC ของนายยิม เลียก ซึ่งถูกใช้เป็นฐานในการฟอกเงินขนาดใหญ่ และมีความเชื่อมโยงกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ในกัมพูชาที่ชื่อว่า “ลองเบย์ดาราสาคร” ซึ่งเกี่ยวพันกับนายเสอ จื้อเจียง ที่ถูกทางการไทยส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้กับทางการจีนไปแล้ว ซึ่งผมขอเรียนให้พี่น้องประชาชนทราบว่า เดิมทีมีความเข้าใจว่าธนาคาร BIC ถูกพาดพิงว่าเป็นเพียงพันธมิตรทางธุรกิจ แต่ข้อมูลล่าสุด พบว่าธนาคารแห่งนี้อาจถูกคว่ำบาตรโดยสหราชอาณาจักรเช่นเดียวกับกรณีของนายเฉิน จื่อ และ Prince Group ซึ่งทำให้การตรวจสอบบุคคลที่เกี่ยวข้องกับธนาคาร BIC มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
.
ทั้งนี้ ผมต้องให้ความเป็นธรรมว่า ธนาคาร BIC มีอยู่สองแห่งคือในประเทศลาวและกัมพูชา โดย BIC ในลาวเป็นผู้ร่วมลงทุนดั้งเดิมแต่ได้ถอนตัวออกไปแล้ว แต่ BIC ในกัมพูชาของนายยิม เลียก กลับมีข้อมูลว่าถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการในการฟอกเงิน และเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญระหว่างนายยิม เลียก กับนายเบน สมิธ ซึ่งนายเบน สมิธ คนนี้เองที่มีความเชื่อมโยงกับนักการเมืองไทยหลายคน รวมถึงร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า
.
สำหรับนายยิม เลียก ผู้นี้เป็นบุตรชายของรองนายกรัฐมนตรีกัมพูชาซึ่งมีความสนิทสนมอย่างยิ่งกับสมเด็จฮุน เซน และยังมีสายสัมพันธ์ผ่านการแต่งงานกับคนไทย รวมถึงมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองไทยหลายคน ส่วนนายเบน สมิธ นอกจากจะเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับนายยิม เลียก แล้ว ยังดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาของสมเด็จฮุน เซน และใช้หนังสือเดินทางทูตในการเดินทางเข้าออกประเทศไทย จากข้อมูลของนายทอม ไรท์ นักข่าวที่เปิดโปงเรื่องนี้ นายเบน สมิธ มีบทบาทเป็นนายหน้าในการจัดการธุรกิจและอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับนักการเมือง เช่น เครื่องบินเจ็ตและเรือยอร์ช เช่นในกรณีของการเดินทางที่หลีเป๊ะ ของนายทักษิณ ชินวัตร และร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไปพบนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย โดยใช้เรือยอร์ชหรูรุ่น wanderlust ซึ่งมีเพียงไม่กี่ลำในโลก ทำให้เกิดคำถามว่า ร.อ.ธรรมนัสซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ ไปมีความสนิทสนมกับเครือข่ายเหล่านี้ได้อย่างไร
.
ซึ่งนายธนดล ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของร.อ.ธรรมนัส ก็ได้ช่วยยืนยันความสัมพันธ์ของร.อ.ธรรมนัส และนายเบน สมิธ ว่านายเบน สมิธ ได้ทำธุรกิจร่วมกับนักการเมืองไทยหลายคน รวมถึงการที่นายธนดล เข้ามาดูแลและดำเนินการฟ้องร้องคดีแทนนายเบน สมิธ ก็มาจากการแนะนำของร.อ.ธรรมนัส ซึ่งยิ่งทำให้น่าสงสัยมากขึ้นว่า ความสัมพันธ์ที่แท้จริงของทั้งสองคนเป็นอย่างไร
.
สำหรับคดีที่ผมถูกนายเบน สมิธ ฟ้องร้อง ความคืบหน้าล่าสุดคือ เพิ่งมีการไต่สวนมูลฟ้องไปเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งผมได้พบความผิดปกติหลายอย่าง เช่น ทนายความผู้รับมอบอำนาจไม่สามารถยืนยันได้ว่าบุคคลในสำเนาหนังสือเดินทางคือนายเบน สมิธ จริงหรือไม่ และไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการมอบอำนาจ ซึ่งทั้งนี้รับเป็นทนายในคดีนี้
.
นอกจากนี้ นายเบน สมิธ ยังใช้ชื่อหลายชื่อในการทำธุรกรรมต่างๆ เช่น เบนจามิน เมาส์เบอร์เกอร์, สมิธ เบน ซึ่งสร้างความสับสนและเป็นที่น่าสงสัย ว่าเหตุใดถึงต้องมีชื่อหลายชื่อขนาดนี้ จำเป็นต้องปกปิดตัวตนไปทำไม
.
ซึ่งผมไม่อยากให้มองว่าเรื่องของนายเบน สมิธ เป็นเพียงเรื่องของสแกมเมอร์เท่านั้น แต่ผมอยากให้มองว่าเป็นปัญหาทุนสีเทาที่กำลังเป็นภัยคุกคามต่อประเทศไทย โดยเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชนและเว็ปพนัน ได้ถูกนำมาฟอกและซื้อกิจการในประเทศ และอาจถูกนำไปใช้ในการซื้อเสียงสำหระบการเลือกตั้งที่จะถึง ซื้อข้าราชการให้เป็นลูกน้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศในระยะยาว
.
นอกจากนี้ เรื่องที่น่าผิดหวังที่สุดสำหรับการออกมาตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ของร.อ.ธรรมนัส และนายเบน สมิธ คือ การที่ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ใช้กระบวนการทางกฎหมายฟ้องร้องประชาชนและสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์ตนเองในประเด็นนี้ โดยเฉพาะที่สถานีตำรวจภูธรจังหวัดพะเยา มีคดีความเกิดขึ้นหลายร้อยคดี ซึ่งเป็นการใช้อำนาจในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเพื่อข่มขู่และปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับสูง
.
รวมถึงตัวผมเอง ก็ถูกร.อ.ธรรมนัสฟ้องร้องต่อศาลจังหวัดพะเยา จากกรณีที่โพสต์ข้อความตั้งคำถามถึงการแต่งตั้งร.อ.ธรรมนัสให้มาปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์ โดยอ้างอิงถึงคำพูดของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่เคยเปรียบเปรยว่า “เอาโจรไปปราบโจร”
.
ดังนั้นผมยังคงยืนยันอีกครั้งว่านายกรัฐมนตรีต้องปลดร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะเริ่มดำเนินการอายัดทรัพย์สินของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องแล้วก็ตาม โดยให้เหตุผลว่า การที่บุคคลที่มีข้อกล่าวหาว่ามีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมร้ายแรงยังคงอยู่ในตำแหน่งสำคัญ อาจสร้างแรงกดดันต่อกระบวนการยุติธรรมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้ เพื่อความสง่างามและความเป็นธรรม ควรให้ร.อ.ธรรมนัสออกจากตำแหน่งไปก่อน เพื่อให้กระบวนการพิสูจน์ความจริงเป็นไปอย่างโปร่งใสและปราศจากข้อกังขา ดังเช่นในกรณีของนายวรภัค ที่เคยทำมาก่อนแล้ว ซึ่งยังไม่รวมถึงพฤติกรรมการฟ้องร้องประชาชนและสื่อมวลชนของร้อยเอกธรรมนัส ที่ไม่มีเหตุผลใดให้นายกรัฐมนตรีต้องเก็บร้อยเอกธรรมนัสไว้ในรัฐบาล ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องดำเนินการปลอดร.อ.ธรรมนัส และเร่งออกหมายจับเพื่อทำลายโครงสร้างองค์กรอาชญากรรมได้แล้ว ซึ่งสำคัญมากในการให้ประเทศที่ลงนามเรื่องตำรวจสากล ช่วยเราทะลายเครือข่ายนี้ได้จากทั่วทุกมุมโลกครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่