ความรู้รอบตัว - EP8 : ควรทำอย่างไรเมื่อคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้า

โรคซึมเศร้า (Depression หรือ Major Depressive Disorder) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมอง ในส่วนที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ ความรู้สึก พฤติกรรม รวมถึงสุขภาพทางกาย ที่พบได้บ่อยในสังคมปัจจุบัน และมีผลกระทบลึกซึ้งต่อผู้ป่วย รวมถึงคนรอบข้าง หลายครั้งคนที่เป็นโรคนี้ไม่ได้แสดงอาการชัดเจนเสมอไป บางคนยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความเศร้า ความสิ้นหวัง หรือความรู้สึกไร้ค่า การที่เรามีคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรัก เพื่อนร่วมงาน สมาชิกในครอบครัว หรือเพื่อนสนิทกำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้า อาจทำให้เรารู้สึกสับสน ไม่รู้ควรทำอย่างไร พูดแบบไหน หรือช่วยเหลืออย่างไรจึงจะเหมาะสม บทความนี้จึงรวบรวมแนวทางและทักษะพื้นฐานที่ควรรู้ เพื่อให้เรากลายเป็นพลังสนับสนุนที่ดี โดยไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกกดดันหรือแย่ลงกว่าเดิม


1. เข้าใจว่าโรคซึมเศร้าไม่ใช่ความอ่อนแอ
ข้อแรกที่สำคัญคือ เปลี่ยนมุมมองเสียก่อน หลายคนเข้าใจผิดว่าโรคซึมเศร้าเป็นแค่ความคิดลบ หรือเป็นนิสัยอ่อนไหวเกินเหตุ ความจริงแล้วมันเป็นความผิดปกติทางสมองที่เกี่ยวข้องกับสารเคมี เช่น เซโรโทนิน และโดปามีน การพูดว่า “อย่าคิดมาก” หรือ “ทำไมไม่เข้มแข็งหน่อย” ยิ่งทำให้ผู้ป่วยรู้สึกผิดและโดดเดี่ยว สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่าโรคนี้เป็นภาวะทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษา และผู้ป่วยไม่ได้เลือกที่จะเป็น

2. รับฟังอย่างใส่ใจ ไม่ตัดสิน
สิ่งที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าต้องการมากที่สุด คือ “พื้นที่ปลอดภัย” ในการพูด ระบาย หรือแสดงออกถึงความรู้สึกของตนเอง การเป็นผู้ฟังที่ดีไม่ใช่แค่ตั้งใจฟังคำพูด แต่คือการฟังด้วยใจ ไม่โต้แย้ง ไม่รีบให้คำปรึกษา และไม่ลดทอนความรู้สึก เช่น

ประโยคที่ควรหลีกเลี่ยง
- คิดบวกหน่อย เดี๋ยวก็หาย
- คนอื่นแย่กว่าเธอตั้งเยอะ
- เรื่องแค่นี้เอง ทำไมต้องเครียด

ประโยคที่ควรใช้แทน
- เราอยู่ตรงนี้ ถ้าอยากคุยเสมอ
- ฉันรับฟังเธอได้นะ ไม่ต้องกังวล
- ความรู้สึกนี้สำคัญ เข้าใจว่ามันคงลำบากมาก

เพียงแค่ผู้ป่วยรู้ว่ามีใครสักคนไม่ทอดทิ้ง ก็ช่วยลดความคิดด้านลบได้มากแล้ว


3. สนับสนุนให้พบหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ
โรคซึมเศร้ามีระดับความรุนแรงแตกต่างกัน ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงขั้นที่มีความคิดทำร้ายตัวเอง การรักษาที่ถูกต้องอาจต้องเกี่ยวข้องกับแพทย์ นักจิตบำบัด หรือจิตแพทย์ การชวนไปพบแพทย์ควรทำด้วยความอ่อนโยน ไม่บังคับ ไม่ใช้คำพูดเชิงตีตรา เช่น

ไม่ควรใช้ ...เธอบ้าไปแล้ว ต้องพบหมอ
ควรใช้ ... เราเป็นห่วงนะ ถ้าลองคุยกับผู้เชี่ยวชาญ อาจจะช่วยให้เธอรู้สึกดีขึ้นก็ได้ เราไปด้วยกันไหม?

หากผู้ป่วยลังเล คุณสามารถช่วยหาข้อมูล สถานที่ นัดหมาย หรือเสนอไปเป็นเพื่อนในวันตรวจ เพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น

4. ช่วยดูแลกิจวัตรเล็ก ๆ น้อย ๆ
โรคซึมเศร้าทำให้ผู้ป่วยไม่มีเรี่ยวแรงทั้งกายและใจ การทำสิ่งธรรมดา เช่น ลุกจากเตียง อาบน้ำ หรือกินข้าว อาจกลายเป็นเรื่องยาก การช่วยเหลือในชีวิตประจำวันอย่างพอดี เช่น ชวนเดินออกกำลังกายเบาๆ รับประทานอาหารที่ดี หรือทำกิจกรรมที่เคยชอบด้วยกัน เป็นการช่วยพาพวกเขาออกจากความหม่นหมองโดยไม่กดดัน

อย่างไรก็ตาม อย่าคาดหวังผลลัพธ์เร็วเกินไป เพราะโรคนี้ต้องการเวลาในการฟื้นฟู

5. ไม่เล่นบทผู้กอบกู้
หลายคนพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ผู้ป่วยหายเร็วที่สุด แต่การกดดันเช่นนี้อาจสร้างภาระทางจิตใจ การช่วยเหลืออย่างถูกต้อง คือการเป็นเพื่อนร่วมทาง ไม่ใช่คนแก้ปัญหาแทน ยอมรับว่าสิ่งที่เราทำได้มีขอบเขต การติดต่อผู้เชี่ยวชาญเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ความล้มเหลวของเรา

6. ระวังสัญญาณเสี่ยง
หากพบสิ่งต่อไปนี้ ควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทันที
- พูดถึงความตายหรืออยากหายไปจากโลก
- พูดลักษณะสั่งเสีย เช่น “ฝากดูแลแมวด้วยนะ”
- เก็บตัวผิดปกติ ไม่พบปะใคร
- พฤติกรรมที่เคยชอบหายไปหมด
- การทำร้ายตัวเอง หรือวางแผนฆ่าตัวตาย
- การเพิกเฉยต่อสัญญาณเหล่านี้อาจนำไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

การสังเกตุตัวเองว่ากำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าหรือไม่
- รู้สึกเศร้า เบื่อ ท้อแท้ หรือหงุดหงิดง่ายอย่างต่อเนื่อง
- เลิกสนใจสิ่งที่เคยชอบมากๆ หรือไม่อยากทำสิ่งที่เคยชอบทำ
- พฤติกรรมการกินเปลี่ยนไป กินมากไป กินน้อยไป จนทำให้น้ำหนักขึ้นหรือลงผิดปกติ
- จากที่เคยหลับง่ายก็หลับยากขึ้น หรือไม่ก็นอนมากเกินไป
- มีอาการกระวนกระวายหรือเฉื่อยชาที่แสดงออกให้เห็นชัด
- รู้สึกหมดเรี่ยวแรง ไม่มีพลัง ไม่อยากลุกขึ้นมาทำอะไรเลย
- รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิด โทษตัวเองในทุกๆ เรื่อง
- ไม่มีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆ มีปัญหาเรื่องการคิดหรือตัดสินใจ
- คิดถึงความตายหรืออยากตาย หรืออยากฆ่าตัวตายบ่อยๆ


กรมสุขภาพจิตได้เปิดเผยข้อมูลสถิติขององค์การอนามัยโลก ในปี ค.ศ.2017 ระบุว่ามีผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ทั่วโลกประมาณ 322 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 4.4 ของประชากรโลก และในประเทศไทย มีข้อมูลการสำรวจความชุกของโรคซึมเศร้า พ.ศ.2551 พบว่า มีคนไทยป่วยซึมเศร้า 1.5 ล้านคน หากพิจารณาตามเพศและอายุของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า พบว่า ผู้หญิงเสี่ยงป่วยมากกว่าผู้ชาย 1.7 เท่า โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานอายุ 25-59 ปี ร้อยละ 62 รองลงมาเป็นวัยสูงอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 26.5 และเป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี ร้อยละ 11.5 ทั้งนี้แม้ในกลุ่มเยาวชนจะมีสัดส่วนของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าน้อยกว่าในกลุ่มวัยทำงานและวัยผู้สูงอายุ แต่นับเป็นปัญหาที่ต้องให้ความสำคัญ และต้องเร่งแก้ไขเนื่องจากวัยรุ่นเป็นทรัพยากรที่มีค่าในการพัฒนาประเทศในอนาคต ซึ่งมีแนวโน้มการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น โดยมีข้อมูลพบว่า ในปี 2560 กลุ่มเยาวชนอายุ 20-24 ปี มีอัตราการฆ่าตัวตายที่ 4.94 ต่อประชากรแสนคน ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 5.33 ต่อประชากรแสนคน ฟังแล้วช่างน่าตกใจจริงๆ

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อมีคนใกล้ตัวเป็นโรคซึมเศร้าคือ ความเข้าใจ ความอดทน และการอยู่ข้างเขาอย่างจริงใจ เราไม่จำเป็นต้องมีคำตอบที่ถูกต้องทุกอย่าง ไม่ต้องแก้ปัญหาแทน แค่รับฟังโดยไม่ตัดสิน ช่วยประคับประคองให้เขาเดินไปข้างหน้า และสนับสนุนให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ก็ถือเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่แล้ว

โรคซึมเศร้าอาจไม่ใช่เส้นทางที่ฟื้นตัวได้ในเวลาอันสั้น แต่ด้วยความร่วมมือระหว่างผู้ป่วย คนรอบข้าง และผู้เชี่ยวชาญ ความหวังและแสงสว่างปลายทางยังคงมีเสมอ ขอเพียงอย่าปล่อยให้ใครต้องต่อสู้เพียงลำพัง

ที่มา : กรมสุขภาพจิต, Johns Hopkins U., Wikipedia, ChatGPT
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่