สารคดี "พลังสายฟ้าของอังกฤษ" English Electric Lightning

สารคดี "พลังสายฟ้าของอังกฤษ" English Electric Lightning

ในยุคสงครามเย็น ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเงาของเครื่องบินรบที่กลายเป็นตำนาน ไม่ว่าจะเป็น F-4 Phantom, MiG-21 หรือ F-104 Starfighter แต่ท่ามกลางเหล่าไอคอนิคเจ็ตเหล่านี้ มีเครื่องบินสัญชาติอังกฤษลำหนึ่งที่โดดเด่นออกมาด้วยความสุดขั้วและขัดแย้งในตัวเองอย่างน่าประหลาด เครื่องบินลำนั้นคือ English Electric Lightning มันไม่ใช่แค่เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง แต่มันคือจรวดทางดิ่งที่ถูกสร้างขึ้นจากความบังเอิญ เป็นผลงานชิ้นเอกที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่อง และเป็นตำนานที่เกือบจะไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในฐานะเครื่องบินรบด้วยซ้ำ

1. เครื่องบินรบที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินรบ
เรื่องน่าประหลาดใจที่สุดเกี่ยวกับ Lightning คือจุดกำเนิดของมัน เครื่องบินลำนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาตั้งแต่ต้นให้เป็นเครื่องบินขับไล่ แต่มีวิวัฒนาการมาจากโครงการแท่นทดสอบเครื่องยนต์ความเร็วเหนือเสียง (supersonic engine test bed) ของบริษัท British Aircraft Corporation ซึ่งในขณะนั้นกำลังทดสอบเครื่องยนต์สำหรับเที่ยวบินความเร็วเหนือเสียงโดยเฉพาะ แพลตฟอร์มดั้งเดิมมีหัวใจเป็นการวางเครื่องยนต์เจ็ตสองตัวซ้อนกันในแนวตั้ง ซึ่งเป็นรูปแบบที่แปลกประหลาดมากในยุคนั้น ก่อนที่ทีมวิศวกรจะ "แปะ" ห้องนักบินเข้าไปที่ด้านหน้า
นี่คือความน่าทึ่งของมัน เครื่องบินขับไล่สกัดกั้นที่น่าเกรงขามที่สุดลำหนึ่งในยุคของมัน ถือกำเนิดขึ้นจากโครงการทดลอง ไม่ใช่โครงการพัฒนาเครื่องบินรบโดยตรง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงอัจฉริยภาพทางวิศวกรรมที่เกิดขึ้นจากความจำเป็นและความบังเอิญ

"As I say it was a it was a test bed it developed from a test bed. It was never really designed as a as a fighter airplane."
ซึ่งแปลได้ว่า "อย่างที่ผมบอก มันคือแท่นทดสอบ มันถูกพัฒนามาจากแท่นทดสอบ มันไม่เคยถูกออกแบบมาให้เป็นเครื่องบินรบจริงๆ เลย"

2. ทรงพลังดั่งจรวด แต่กระหายเชื้อเพลิงอย่างหนัก
พละกำลังของ Lightning นั้นอยู่ในระดับปรากฏการณ์ ด้วยอัตราส่วนแรงขับต่อน้ำหนักที่ 1:1 (แรงขับ 36,000 ปอนด์ ต่อน้ำหนักเครื่อง 36,000 ปอนด์) มันจึงเป็นเครื่องบินรบลำแรกที่สามารถไต่ระดับขึ้นไปในแนวดิ่งได้ทันทีหลังจากเทคออฟ และยังสามารถทำความเร็วเหนือเสียงได้โดยใช้เครื่องยนต์เพียงตัวเดียว พลังของมันมหาศาลถึงขนาดที่นักบินคนหนึ่งเล่าว่า เขาสามารถทำเวลาไต่ระดับจากพื้นขึ้นไปที่ 30,000 ฟุต โดยใช้สันดาปท้าย (reheat) ได้ในเวลาเพียงหนึ่งนาทีครึ่งเท่านั้น

แต่พลังมหาศาลนี้ก็ต้องแลกมาด้วยจุดอ่อนร้ายแรง นั่นคืออัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่เลวร้ายและพิสัยการบินที่จำกัดมาก นักบินสามารถเผาเชื้อเพลิงจนหมดเกลี้ยงได้ในเวลาเพียง 10 นาทีระหว่างการรบแบบหนึ่งต่อหนึ่ง นี่คือ "ส้นเท้าของ Achilles" ของมัน ซึ่งเป็นผลมาจาก "ข้อกำหนดที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรง" ที่ระบุว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อภารกิจป้องกันฐานทัพเครื่องบินทิ้งระเบิด V bomber โดยมีรัศมีการปฏิบัติการเพียง 150 ไมล์ทะเลเท่านั้น สิ่งนี้จำกัดบทบาทของมันให้เป็นเพียงเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นระยะสั้นไปโดยปริยาย

3. พิมพ์เขียวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเครื่องบินรบสมัยใหม่
นอกเหนือจากความเร็วและอัตราการไต่ระดับแล้ว มรดกที่ยั่งยืนที่สุดของ Lightning คือรูปแบบการออกแบบของมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผสมผสานระหว่างปีกที่ลู่ไปด้านหลังในมุมสูง (highly swept wings) และแพนหางระดับที่ติดตั้งไว้ต่ำ (low-mounted tail plane)
รูปแบบการออกแบบนี้ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพสูงผ่านเครื่องบินทดสอบอย่าง P-1 และ SB.5 ได้กลายเป็นพิมพ์เขียวมาตรฐานสำหรับเครื่องบินรบของโลกตะวันตกในยุคต่อๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็น F-15, F-16 หรือแม้แต่ Eurofighter Typhoon สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าอิทธิพลของ Lightning นั้นแผ่ขยายไปไกลเกินกว่าอายุการใช้งานของมันเอง

"...they all have swept wings low tail plane and that that is a legacy of the lightning. The lightning started the fashion and that's the way they'll always be."
ซึ่งหมายความว่า "...เครื่องบินเหล่านั้นล้วนมีปีกแบบลู่ไปด้านหลังและแพนหางต่ำ และนั่นคือมรดกของไลท์นิ่ง ไลท์นิ่งคือผู้ริเริ่มแฟชั่นนี้ และมันก็จะเป็นเช่นนั้นตลอดไป"

4. ข้อถกเถียงเรื่องการถอดปืน: เมื่อขีปนาวุธคือทุกสิ่ง
ในการพัฒนารุ่น Lightning F3 ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุด นั่นคือการ "ถอดปืนใหญ่อากาศออกทั้งหมด" การตัดสินใจครั้งนี้มีพื้นฐานมาจากปรัชญาทางการทหารในยุคนั้น ที่เชื่อว่าการรบทางอากาศในอนาคตจะตัดสินกันด้วยขีปนาวุธอากาศสู่อากาศเท่านั้น ปืนจึงกลายเป็นสิ่งล้าสมัยและไม่จำเป็น
แน่นอนว่านักบินขับไล่มองว่านี่คือ "ความผิดพลาดครั้งใหญ่" ในที่สุด ความคิดนี้ก็ได้รับการแก้ไขในเครื่องบินรุ่น F6 ซึ่งได้นำปืนกลับมาติดตั้งอีกครั้งในรูปแบบ "pack" ที่ติดใต้ลำตัว เรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นถึงข้อถกเถียงที่สำคัญของยุคสมัย ระหว่างการต่อสู้ระยะประชิดแบบดั้งเดิม (dogfighting) กับการสกัดกั้นด้วยขีปนาวุธจากระยะไกล

5. ประสบการณ์ของนักบิน: "ผมควบคุมมันได้...จนกระทั่งปล่อยเบรก"
สำหรับนักบินที่เคยชินกับเครื่องบินเจ็ตความเร็วต่ำกว่าเสียง การได้ขึ้นบินกับ Lightning เป็นครั้งแรกถือเป็น "ก้าวกระโดดครั้งใหญ่" (Quantum Leap) พลังของมันนั้นมหาศาลจนน่าเกรงขาม นักบินหลายคนถึงกับเผลอทำความเร็วทะลุกำแพงเสียงในเที่ยวบินเดี่ยวครั้งแรก เพียงเพราะพยายามไต่ระดับตามปกติเท่านั้น มีเรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับนักบินทดสอบชาวยุโรปคนหนึ่ง ที่ได้รับคำเตือนไม่ให้ใช้สันดาปท้าย (reheat) ตอนเทคออฟ แต่เขาก็ตัดสินใจที่จะลองดี ผลลัพธ์คือเครื่องบินได้ "วิ่งหนีจากเขาไป" และเขาไม่สามารถเก็บล้อได้จนกระทั่งเครื่องไต่ระดับไปถึง 28,000 ฟุต

ประสบการณ์อันน่าทึ่งนี้ถูกสรุปไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุดในคำพูดอันโด่งดังของนักบินคนหนึ่งที่ถูกถามถึงความรู้สึกในเที่ยวบินแรกของเขากับ Lightning
"I was with it all the way till I let the brakes off."
ซึ่งแปลความได้ว่า "ผมควบคุมมันได้อยู่หมัด...จนกระทั่งตอนที่ผมปล่อยเบรกนั่นแหละ"

English Electric Lightning คือเครื่องบินที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งอันยอดเยี่ยม มันคือการออกแบบที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญจนกลายเป็นตำนาน, เป็นจรวดทางดิ่งที่แทบไม่มีพิสัยการบิน และเป็นก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่มอบบทเรียนอันล้ำค่าให้กับโลกการบิน มันคือบทพิสูจน์ว่าบางครั้งผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ไม่ได้มาจากความสมบูรณ์แบบ แต่มาจากข้อบกพร่องที่ถูกผลักดันไปจนสุดขีดจำกัด
เรื่องราวของ Lightning สอนอะไรเราเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการออกแบบที่มุ่งมั่น, อัจฉริยภาพที่ไม่ได้ตั้งใจ และนิยามของความสำเร็จในโลกเทคโนโลยี?

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่